9 พ.ค. 2021 เวลา 10:38 • ประวัติศาสตร์
ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin): ราชากระยาจกแห่งโลกมายา
Charles Spencer Chaplin
เราอาจไม่รู้ว่าผู้ก่อตั้ง "ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ (United Artists Corporation (UA))" หนึ่งในจำนวนบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งมีชื่อเสียงและผลงานโด่งดังมากมาย จนทุกวันนี้มีชื่อว่า "ชาร์ลี แชปลิน"
สัญลักษณ์ของ ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ จาก วิกิพีเดีย
ถูกต้องแล้วครับ ชาร์ลี แชปลินคนเดียวกับที่เป็นดาวตลกแห่งยุคหนังเงียบ ผู้มีสไตล์การแต่งตัวที่ไม่มีใครเหมือนนั่นแหละ นอกเหนือจากจะเป็นดารายอดนิยมที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั้งโลกแล้ว เขายังมีตำแหน่งเป็นเจ้าของบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์แห่งสำคัญ
ของฮอลลีวูด ซึ่งมีนามว่า ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ อีกด้วย
นั่นก็หมายความว่า เจ้าของบทบาทกระยาจกผู้สวมเสื้อนอกคับติ้ว แต่กลับสวมกางเกงหลวมรุ่มร่ามและรองเท้าที่มีขนาดโตจนผิดส่วน กับท่าเดินที่มีจังหวะ
กระตุกเร็ว ๆ จนดูเป็นเชยอย่างน่าขบขันนั้น แท้จริงแล้วมีความมั่งคั่งร่ำรวยชนิดเป็นอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งของโลกทีเดียว
แต่ใครจะเชื่อบ้างว่ากว่าที่เขาจะก้าวขึ้นมายืนอยู่บนกองเงินกองทองและความสำเร็จอย่างงดงามนั้น เขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายอย่างที่มนุษย์น้อยคนนักจะทนได้ ใครจะคิดบ้างว่ากว่าที่เขาจะคิดค้นจนพบหนวดรูปทรงประหลาดที่นอกจากจะมีพลังเพียงพอที่จะจี้ต่อมขำของผู้คนให้ทำงานอย่างทันทีทันใด รวมทั้งยังช่วยบดบังใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนเยาว์และงดงามเกินกว่าจะเป็นนักแสดงตลกออกมาได้ เขาต้องผ่านพบ
กับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงใด คนที่รู้และเข้าใจมันอย่างดีและลึกซึ้งที่สุดก็คือ ตัวของเขาเอง "ชาร์ลี สเปนเซอร์ แชปลิน (Charlie Spencer Chaplin)"
เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ.1889 ที่อีสต์สตรีท วาลวอร์ด (East Street, Walworth) ในประเทศอังกฤษ แม่เป็นนักแสดงละครสาวสวยเชื้อสายยิปซีชื่อ ฮันนา (Hannah Chaplin) ส่วนพ่อก็เป็นนักแสดงละครเช่นเดียวกันแต่แยกกันอยู่ตั้งแต่ชาร์ลียังเล็ก ๆ ชาร์ลีเล่าว่าตาของเขาชื่อ ชาลส์ ฮิล (Charles Frederick Hill) เป็นชาวไอริช เดินทางมาจากเคาน์ตีคอร์ดในไอร์แลนด์ หลังจากพบกับยายของเขา ซึ่งเป็นลูกครึ่งยิปซีชื่อ แมรี่ (Mary Ann Hodges) ก็แต่งงานกันจนมีลูกสาวสองคน คนโตคือฮันนา แม่สุดที่รักของเขา ส่วนคนที่สองเป็นน้าสาวของเขาชื่อเคต ทั้งฮันนาและเคตต่างยึดอาชีพเป็นนักแสดงละครด้วยกันทั้งคู่ แต่นิสัยเข้ากันไม่ได้ ด้วยแม่ของเขาเป็นคนอารมณ์เย็น เรียบร้อย นุ่มนวล แต่น้าเคตกลับเลือดร้อน เอาแต่ใจตัว ระหว่างนี้ชาลส์ ฮิล ตาของเขาก็หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเป็นช่างทำรองเท้า
ภาพ Hannah Chaplin จากวิกิพีเดีย
ชาร์ลี มีพี่ชายร่วมมารดาคนหนึ่งอายุมากกว่าเขา 4 ปี ชื่อ ซิดนีย์ (Sydney John Chaplin) แม่ของเขาได้แสดงละครร่วมกับพ่อเมื่อตอนอายุได้ 16 ปี แต่เมื่ออายุได้ 18 ปีเธอกลับหนีตามลอร์ดฮอว์ค (Sydney Hawke) แก่ ๆ คนหนึ่งไปอยู่ในแอฟริกาใต้ และที่นั่นเธอให้กำเนิดลูกชายคนแรกกับเขาคือ ซิดนีย์ ต่อมาเมื่อแยกทางกับลอร์ดผู้นั้นแล้วแม่ของเขาจึงได้แต่งงานกับพ่อและมีลูกชายอีกคนหนึ่ง แต่เพราะความที่พ่อเป็นคนไม่รับผิดชอบ ดื่มเหล้าจัดมากจึงไม่สามารถดูแลครอบครัวได้ ในที่สุดก็แยกทางไป ก่อนที่เขาจะเกิดเสียด้วยซ้ำ
ฮันนาแม่ของเขาจึงรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกชายทั้งสองคนเรื่อยมาโดยไม่ได้รับเงินค่าเลี้ยงดูจากพ่อเลย งานที่เธอทำก็คือแสดงละคร ซึ่งขณะนั้นต้องใช้เสียงแท้ ๆ ของผู้แสดงเอง เพราะยังไม่มีเครื่องขยายเสียงที่ทันสมัย การตะเบ็งเสียงมาก ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานทำให้ฮันนามีปัญหาเรื่องหลอดเสียงเสมอ บางครั้งเสียงของเธอก็ขาดหายไปเฉย ๆ บางครั้งก็แหบแห้งลง สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ชมมาก
อย่างไรก็ตาม ชีวิตในวัยเด็กของชาร์ลีและซิดนีย์ก็ค่อนข้างมีความสุข เพราะ ฮันนาแม่ของเธอยังมีรายได้อย่างงดงามจากการแสดงละครอยู่ ทำให้สามารถเช่าบ้านที่เวสต์ สแควร์ (West Square, Southwark) ถนนจอร์จในแลมเบตอยู่ได้อย่างกว้างขวางและสวยงาม
แต่เมื่ออายุของเขาย่างเข้า 5 ขวบ ลางแห่งความเลวร้ายก็เริ่มก่อตัวขึ้น อาการป่วยทางหลอดเสียงของฮันนากำเริบหนักสร้างความวิตกกังวลกับแม่ของเขามาก
จนเริ่มมีอาการทางประสาท ซึ่งกลับเป็นผลร้ายกับแม่ของเขามากขึ้น ในท้ายที่สุดทางโรงละครก็ตัดสินใจเลิกจ้างฮันนาแสดงละครโดยเด็ดขาด
จะว่าไปแล้ว ปัญหาเรื่องเสียงของมารดาก็ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายแก่เขาไปเสียทั้งหมด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่จูงเด็กชายชาร์ลีวัย 5 ปีไปที่โรงละครด้วย วันนั้นขณะที่เขา
ยืนเกาะหลังม่านดูแม่แสดงอยู่บนเวทีนั้นเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้น เสียงของแม่เขาหายไปเฉย ๆ ทำให้คนดูพากันส่งเสียงโห่ฮาไล่จนแม่ของเขาต้องเดินเข้าฉากด้วยความเสียใจ
แต่ในขณะที่กำลังตะลึงอยู่กับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนนั้น ก็มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเขา (ชาร์ลี) แล้วจูงออกไปกลางเวทีพร้อมกับประกาศว่า เขาจะร้องเพลงให้ฟัง ซึ่งชาร์ลีก็ตกใจมาก แต่ด้วยนิสัยรักการแสดงที่ฝังอยู่ในสายเลือดอย่างไม่รู้ตัวก็ทำให้เขานึกถึงเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมมากในเวลานั้นชื่อ แจ๊ค โจนส์ขึ้นมาได้ จึงร้องออกไป แรก ๆ ก็ไม่มีใครสนใจฟังเท่าใดนัก แต่ต่อมาเสียงพูดคุยก็เริ่มเงียบกริบลง มีเศษเหรียญโยนขึ้นมาบนเวทีแสดงความพึงพอใจ เหตุการณ์วันนั้นทำให้แม่และตัวของเขาเองรู้ถึงความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี
หลังจากตกงาน รายได้ก็หดหาย แม่ของเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ห้องเช่าถูก ๆ ในแหล่งเสื่อมโทรม จากนั้นก็หันไปยึดอาชีพเย็บเสื้อผ้า ตอนนี้สิ่งที่แม่ของเขาต้องการก็คือเงินค่าเลี้ยงดูจากพ่อของเขาซึ่งรับปากเอาไว้ว่าจะส่งให้สัปดาห์ละสิบชิลลิง แต่ก็
เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น
การทำงานหนักและความเครียดทำให้ฮันนาล้มป่วย แต่ก็ไม่สามารถรักษาตัวได้นาน ในที่สุดเมื่อไม่มีรายได้เพียงพอแม่ของชาร์ลีจึงตัดสินใจเข้าโรงงานแลมเบต และที่นี่แหละที่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กน้อยชาร์ลีที่ต้องพลัดพรากจากแม่อันเป็นที่รักที่สุดของเขา โรงงานจัดให้ฮันนาไปอยู่ที่หอพักคนงาน ส่วนลูกชายทั้งสองคือซิดนีย์ และชาร์ลีก็ถูกส่งไปอยู่ที่บ้านเด็ก ซึ่งมีโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้าและอนาถา ชื่อโรงเรียน
ฮานเวลล์ อยู่ห่างกรุงลอนดอนไปประมาณสิบสองไมล์
ขณะมาอยู่ที่โรงเรียนฮานเวลล์ ชาร์ลีอายุ 6 ปีเศษ ส่วนซิดนีย์อายุ 10 ปี ต่อมาทั้งสองถูกส่งไปอยู่ที่โรงเรียนนอร์วูด แต่อยู่ไม่นานนักแม่ของเขาก็มีอาการทางประสาทกำเริบต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้ชิดนีย์และชาร์ลีต้องไปอยู่ในความดูแลของพ่อพักหนึ่ง เมื่อแม่ของเขาหายดีแล้วจึงกลับมาอยู่ด้วยกันตามเดิมแต่ย้ายมาเช่าห้องอยู่ใกล้ ๆ โรงงานแตงดอง
ช่วงนี้เองที่พ่อของเขาฝากฝังให้เป็นสมาชิกของคณะระบำรองเท้าไม้แปดหนุ่มแลงคาเชียร์ (The Eight Lancashire Lads clog-dancing troupe) ออกตระเวนแสดงไปตามที่ต่าง ๆ ชาร์ลีต้องใช้วิธีไปแสดงที่ไหนก็เรียนหนังสือที่นั่นเรื่อยมา และที่นี่เองที่เด็กน้อยอายุแปดปีเริ่มมองเห็นภาพตนเองในอนาคตแล้วว่าเขาจะเป็นราชากระยาจก ติดหนวดและใส่แหวนเพชรวงโตเพื่อออกไปแสดงกลางเวที แต่ความคิดนี้ของเขาไม่มีคนสนใจ
ชาร์ลีในวัยเด็ก
ในยุคสมัยนั้น เป็นยุคสมัยที่ผู้คนนิยมชมละครเวทีที่มีตลกแสดงประกอบ จึงไม่เป็นการแปลกเลยที่เด็กชายชาร์ลี แชปลินจะมีความฝันว่าเขาจะเป็นดาราตลกผู้
ยิ่งใหญ่กับเขาบ้าง แต่วันเวลายังอีกยาวนาน หลังจากอยู่กับคณะแปดหนุ่มแลงคาเชียร์ไม่นาน เขาก็เริ่มมีอาการหอบหืดทำให้ต้องล้มเลิกการแสดงหันไปเรียนหนังสือพร้อม กับทำงานอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นขายหนังสือพิมพ์ ลูกจ้างในโรงพิมพ์ เป่าแก้ว ทำของเล่น
และเด็กรับใช้ในคลีนิก แต่ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ทั้งซิดนีย์และชาร์ลีก็ไม่เคยสักครั้งเดียวที่จะเลิกล้มความตั้งใจในอันที่จะเป็นนักแสดง เขาตระเวนสมัครงานแสดงไปเรื่อย ๆ ได้เล่นบ้าง ไม่ได้เล่นบ้าง จนอายุ 16 ปีก็ได้เข้าไปทำงานอยู่กับคณะละครของคาร์โน (Karno) และหลังจากทำงานอยู่กับคาร์โนหลายปีเขาก็สบโอกาสเมื่อผู้จัดการคาร์โน ประจำสหรัฐอเมริกาเดินทางกลับมาอังกฤษเพื่อคัดตัวละครไปแสดงที่อเมริกา และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับคัดเลือก
ที่สหรัฐอเมริกา เขาได้เรียนรู้ว่า นอกเหนือจากละครแล้วยังมีกิจการที่เกี่ยวข้องกับการแสดงที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ ภาพยนตร์ และนักแสดงที่จะสามารถพบความสำเร็จได้อย่างแท้จริงก็จะต้องแสดงภาพยนตร์เท่านั้น
แม้การแสดงตลกของเขาจะได้รับความนิยมมากพอใช้ในอังกฤษ แต่สำหรับคนอเมริกันแล้วถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง บทบาทที่เขาเคยเล่นไม่ได้รับความนิยมเลยเกือบไม่มีใครหัวเราะกับการแสดงของเขาเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ย่อท้อตั้งหน้าก้าวเดินต่อไปโดยพยายามหาทางสมัครเข้าไปทำงานในโรงถ่ายคีย์สโตน (Keystone Studios) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมากในเวลานั้น และที่นี่เองที่ความฝันของเขาซึ่งก่อร่างสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเด็กสมัยที่ร่วมแสดงละครอยู่กับคณะระบำแลงคาไซร์ได้รับความสนใจและ เป็นจริงเป็นจังขึ้น แม้ว่าจะค่อนข้างเป็นความบังเอิญ แต่ความบังเอิญนั้นก็ยังผลอันงดงามที่สุดให้แก่ชีวิตของเขาตลอดมา
ขณะที่เซนเนต (Mack Sennett) ผู้กำกับมือทองของยุคสมัยกำลังจะถ่ายทำฉากที่สองของภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขาซึ่งเป็นฉากภายในโรงแรม พลันสมองอันปราดเปรื่องของ
ผู้กำกับใหญ่ก็แวบขึ้นมาได้ว่า ควรมีตอนตลกแทรกอยู่ในฉากนี้ด้วย แต่ไม่มีคนแสดงเพราะไม่ได้เตรียมเอาไว้ในบท เซนเนตหันไปหันมาเห็นชาร์ลียืนว่างงานอยู่จึงร้องสั่งให้ไปแต่งตัวมาลองแสดงดู
คำพูดคำนั้นเหมือนเป็นคำอนุญาตของสวรรค์ที่เปิดทางให้กับราชากระยาจกผู้รอคอยเวลามาช้านาน เขารีบเดินไปยังห้องแต่งตัวพร้อมกับขบคิดอย่างหนักว่าจะ
แต่งตัวอย่างไรจึงจะทำให้ได้รับความสนใจ ในที่สุดแบบฟอร์มของราชากระยาจกที่เขาคิดไว้ช้านานก็ปรากฏขึ้น ชาร์ลีตัดสินใจสวมกางเกงหลวมรุ่มร่าม สูทคับตั้วและสวมหมวกเดอบี้กับรองเท้าคู่ใหญ่โตผิดส่วน ปัญหาใหญ่ของเขาอยู่ที่ใบหน้าซึ่งค่อนข้างหนุ่มและดีเกินไปกว่าจะเป็นตัวตลก ในที่สุดชาร์ลีก็เลือกติดหนวดรูปสี่เหลี่ยมแผ่นหนึ่งไว้เหนือริมฝีปากพร้อมกับถือไม้เท้าเดินกลับออกมา
ชาร์ลี (ซ้าย) กับบทบาทแรกใน Making a Living
หลังจากอธิบายบุคลิกของราชากระยาจกให้เซนเนตฟังแล้วก็เริ่มแสดงท่าทางตลกให้ดู ปรากฏว่าผู้กำกับใหญ่หัวเราะชอบใจตลอดเวลา เมื่อถ่ายทำจบเขาก็ได้รับคำชมเชยมาก
ต่อจากนั้นชาร์ลีก็เริ่มได้เล่นหนังมากขึ้น บทบาทของราชากระยาจกเริ่มแพร่สะพัดออกไป หนังของชาร์ลีทำสถิติจำหน่ายสูงสุดมากว่าหนังทุก ๆ เรื่องคือ สี่สิบห้า
ม้วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด แต่เขาก็ต้องออกจากคีย์สโตนเมื่อหมดสัญญา
ชาร์ลี แชปลินไปทำงานกับโรงถ่ายไนลส์ ซึ่งถ่ายทำภาพยนตร์ตะวันตกอยู่พักหนึ่ง เขาก็เซ็นสัญญากับบริษัทมิวชวล (Mutual Film Corporation) ในอันที่จะเข้าสังกัดเป็นดาราของบริษัทด้วย โดยได้ค่าจ้างถึงปีละหกแสนเจ็ดหมื่นดอลลาร์
เขาทำงานที่มิวชวลอย่างมีความสุขเงินทองไหลมาเทมาสัปดาห์ละหลายแสนเหรียญ ขณะที่มีอายุเพียง 27 ปีเขาก็เข้าขั้นเป็นเศรษฐีไปแล้ว หลังจากหมดสัญญา
กับมิวชวล ชาร์ลีก็ไปทำงานกับเฟิร์ส เนชั่นแนล (First National) ช่วงนี้เขามั่งมีพอที่จะซื้อที่ดินในฮอลลีวูดสำหรับสร้างโรงถ่ายภาพยนตร์ของตัวเอง โรงถ่ายแห่งนี้ถือเป็นโรงแรกที่มีระบบสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมที่สุดทั้งห้องล้างฟิล์ม ห้องตัดต่อ และสำนักงาน นอกจากนั้นที่ดินที่เหลืออยู่อีกประมาณห้าเอเคอร์เขายังสั่งให้ปลูก มะนาว ส้ม และพีช เอาไว้ด้วย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้น บริษัทยูไนเต็ด อาร์ติสท์ก็ได้รับการก่อตั้งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ช่วงนี้ซิดนีย์พี่ชายของเขาได้มาช่วยวางแผนงานในธุรกิจด้วย และหลังจากมีฐานะมั่นคงมากขึ้นแล้ว ชาร์ลีก็ส่งคนไปรับแม่ของเขายังประเทศอังกฤษให้เดินทางมาอยู่กับเขาและพี่ชายที่สหรัฐอเมริกา โดยให้การปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด ภาพยนตร์ที่ชาร์ลีแสดงและสร้างขึ้นออกฉายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เขากลายเป็นดาราเด่นที่ได้รับความนิยมยกย่องสูงสุดคนหนึ่งของยุคสมัย โดยเฉพาะในยุคที่เรียกว่าหนังเงียบ จนต้องมาถึงยุคเสียงในฟิล์ม
ภาพยนตร์เสียงในฟิล์มเรื่องแรกที่เขาแสดงและสร้างขึ้นชื่อ ซิตี ไลท์ (City Lights) ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1931 ได้รับความนิยมยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาสาระดีเยี่ยมมากเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อครั้งที่นำไปฉายในประเทศสหภาพโซเวียตรัสเซียก็เป็นที่โปรดปรานของจอมเผด็จการสตาลินอย่างมาก ถึงขนาดเวียนดูแล้วดูเล่าอยู่หลายรอบ นอกจากนั้นยังเล่าลือกันด้วยว่า ทุกรอบที่จอมเผด็จการดูหนังเรื่องนี้
เป็นต้องร้องห่มร้องไห้น้ำตาไหลพรากด้วยเหตุที่ว่าเนื้อหาในเรื่องช่างเหมือนกับชีวิตของตนเสียเหลือเกิน
ภาพมิลเดรด แฮร์ริส
สำหรับชีวิตครอบครัว นอกจากการแต่งงานครั้งแรกอย่างเป็นทางการกับ มิลเดรด แฮริส (Mildred Harris) ดาราสาวสวยที่มีคนหมายปองมากมายด้วยเหตุผลที่เธอตั้งครรภ์ขึ้น
มา แต่ตอนหลังเขามาจับได้ว่าเรื่องนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธอกุขึ้นเพื่อหลอกให้เขาแต่งงานด้วยจึงแยกทางกัน แล้วก็ยังมีผู้หญิงสาวสวยอีกมากมายหลายคน แต่ที่แต่งงานอยู่กินกันอย่างจริงจังเห็นจะเป็น อูนา (Oona O'Neill) ลูกสาวคนสวยของ ยูจีน โอ นีล นักประพันธ์ชื่อดังนั่นเอง โดยมีบุตรด้วยกันถึง 8 คนเป็นชาย 3 คนและเป็นหญิง 5 คน
ภาพ Oona O'Neill
ระหว่างที่มีชื่อเสียงโด่งดังชาร์ลีเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกและได้รับการต้อนรับจากบุคคลสำคัญของประเทศเหล่านั้นมากมาย เขาเคยได้รับเกียรติจาก
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลอย่างใกล้ชิด ได้เข้าพบมหาตมะ คานธี และได้รับเกียรติยศสูงสุดจากราชสำนักอังกฤษให้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น เค บี อี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางของอังกฤษด้วย
ชาร์ลี แชปลิน สิ้นชีวิตเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1977 ขณะอายุ 88 ปี
#PassiveDeathWish
#รบชนฮซหคชห

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา