9 พ.ค. 2021 เวลา 08:31 • นิยาย เรื่องสั้น
"บ้านเกิดเมืองนอน"
ก่อนตะวันรอน ตอนที่ 6 : บ้านเกิดเมืองนอน
บทประพันธ์ โดย : งามดอกบัว
(ภาพจากเว็บไซต์ : www.canva.com)
ครอกฟี้ ! ครอกฟี้ !
เสียงกรนของสาวต้อยที่นั่งคอพับคออ่อน  เพราะกำลังหลับลึกอยู่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามบ่าวเขื่อนบนโบกี้รถไฟสาย ที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่แดนอีสานบ้านเกิดของพวกเขา
1
ยามที่เธอหลับแบบนี้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ไร้พิษสงลงไปเยอะเลย  ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มใด ๆ ยิ่งทำให้น่ามองมากขึ้น ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล  ชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้างามนั่นได้เลย  ผมบ๊อบสั้นได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของสาวเจ้าไปแล้ว  แม้ว่าแฟชั่นทรงผมของสาว ๆ เขาจะฮิตกันทรงไหน  แต่สาวต้อยก็ยังคงมั่นในรักกับทรงผมบ๊อบสั้น ๆ ของเธอ
1
ทุกครั้งที่สาวต้อยสัปหงก  ปอยผมด้านข้างของเธอจะตกลงมาปกคลุมใบหน้างาม   ทำให้ชายหนุ่มรำคาญไม่น้อย  จนอดที่จะยื่นมือไปปัดออกให้พ้นทางสายตาคมนั้นไม่ได้
1
มือใหญ่หนาของบ่าวเขื่อนยังคงเคล้าเคลียกับปอยผมและใบหน้าของสาวต้อยอยู่
โดยหารู้ไม่ว่าสาวเจ้าตื่นและรู้สึกตัวสักพักแล้ว  แต่ยังแกล้งหลับต่อ
“มืออ้ายเขื่อนจับผมเบา ๆ เฮาคือรู้สึกว่ามันหนักแท้วะ สิมืนตากะย้านเพิ่นรู้ว่าตื่นแล้ว  ถึงสิหนักแต่สัมผัสของอ้ายเขื่อนก็เฮ็ดให้เฮาตื่นเต้นดี” สาวต้อยคิดในใจ  จนเผลอยิ้มออกมา  ทำให้บ่าวเขื่อนรู้ว่าเธอตื่นแล้ว
“โอ้ย ! เฮ็ดอิหยังอ้ายเขื่อน !” ต้อยร้องตะโกนด้วยความตกใจ  หลังจากโดนเขื่อนดึงจมูกน้อย ๆ ของเธอ
“สมน้ำหน้าทำท่าหลับดีหลาย ฮ่า  ฮ่า" บ่าวเขื่อนหัวเราะชอบใจที่แกล้งสาวต้อยได้สำเร็จ
“บ่อยากตื่นซื่อ ๆ นิ บ่อยากเบิ่งหน้าคน" สาวต้อยแกล้งบ่นให้บ่าวเขื่อน  แต่ในใจลึก ๆ แล้วเธออยากมองใบหน้าหล่อเหลานั่นจะตาย  แต่ทำได้แค่แอบมองเวลาเขาเผลอเท่านั้น  จะไปมองตรง ๆ ได้ยังไง  เดี๋ยวได้ใจ  อ้ายเขื่อนผีบ้า
“บ่อยากเบิ่งอิหลีติ" เขื่อนยื่นหน้าทะเล้นเข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายหอม ๆ ของหญิงสาว
“หยับออกไป๊ ! บักเขื่อนผีบ้า !” สาวต้อยอายหน้าแดง รีบยกมือผลักใบหน้าของบ่าวเขื่อนให้ออกไปไกล ๆ จากใบหน้าของเธอ  ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
1
“ฮ่า ฮ่า  เอ๊า ! หว่างได๋ยังเอิ้นอ้ายเขื่อนดี ๆ ยุ" เขื่อนขยับใบหน้าออกห่าง  และหัวเราะอย่างพอใจ
ต้อยไม่ตอบแต่ทำตาเขียวปั๊ดใส่
(ภาพจากผู้เขียน)
“เห็นแต่เขาจูบเย้ยจันทร์  หมู่เฮาจูบเย้ยพระอาทิตย์ โอ้ว คัก ๆ หมอ ฮ่า  ฮ่า" เชิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขื่อน  พูดแซวเพื่อนเกลอ
2
“พระอาทิตย์บ้านมึงติ  อีเกิ้งเพ่อเว่ออยู่นั่น  บ่เห็นบ่  ? จูบ เจิบ อิหยังนั่นนำ มึงกะเว้าไปเดี๋ยวน้องนุงเขาเสียหาย” เขื่อนทำเสียงดุกำชับให้เชิดระวังคำพูด
“กูกะเว้าหยอกซื่อ ๆ นิหล่ะ คันแมนจูบอีหลีกะผิดผีทอนั่นแหล่ว  งานแต่งคือสิมีสองคู่วะบ้านเฮา  ต้อยน้อยกับต้อยใหญ่ ฮ่า ฮ่า" เชิดยังพูดเล่นไม่ยอมเลิก
“เจ้าคือกันเด้อบักอ้ายเชิด  สมพ้อได้เป็นมูกัน  ผีบ้าทั้งคู่เลย คันบ่เซาสิเอากำปั้นยัดปากละบานนิ" ต้อยโกรธจนหน้าแดง  เพราะเชิดพูดเกินเลยไปมากแล้ว
“ค้าบ ค้าบ เซาแล้ว เซาแล้ว" เชิดรับคำ  แต่ก็ไม่วายที่จะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
ปึ๊ก !
โอ๊ย !
เสียงสาวขาวชกหน้าอกเชิดเข้าเต็มรัก  ตามด้วยเสียงร้องโอดโอยของเชิด
“วอนหาเรื่องคัก มันต้องได้กินจักหมัด บ่สั่นบ่แล้ว"  ขาวพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ  เพราะเธอหมั่นใส้ท่าทีกะล่อนของเชิดมาสักพักแล้ว
“พุสาวหยังวะ ตีนหนักมือหนักขนาด" เชิดบ่นอุบ
“รึสิเอาอีก  อันนั้นมือ  ถ้าตีนเจ้าบ่ได้มานั่งเว้ายุนิดอก" ขาวขู่ฟ่อ
“ค้าบ แม่ค้าบ บ่กล้าแล้วค้าบ" เชิดทำเสียงหงอ  เกรงว่าจะทำให้ขาวไม่พอใจ พาลไม่อยากคบกับเขาต่อ
“โหดทั้งคู่เลยว่ะหมอพุสาวเฮา" เชิดหันไปกระซิบกับเขื่อนใกล้ ๆ เกรงว่าสาว ๆ จะได้ยิน  ทั้งคู่ได้แต่ปิดปากหัวเราะกันเบา ๆ
ต้อยและขาวมองหน้ากันอย่างระอากับท่าทีของสองหนุ่มที่กวนไม่เลิก
“เอาจนสุดสายน้อพุบ่าวพุสาวทางนั่น” ตานายร้องทักมาทางฝั่งที่เขื่อน เชิด ต้อยและขาวนั่งอยู่
หนุ่ม ๆ สาว ๆ มองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ เกรงจะโดนตานายดุ
“ฮอดบ้านละเด้อ พากันเตรียมข้าวเตรียมของ" ตานายกำชับทุกคนอีกรอบ
ปู๊น ปู๊น ! ปู๊น ปู๊น !
รถไฟเริ่มลดความเร็วลง  เพื่อเข้าจอดที่ชานชาลา  บรรยากาศภายนอกคลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย  และเหล่าบรรดาสามล้อถีบ  ส่วนผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟมีไม่มากนัก  เพราะสถานีนี้เป็นสถานีเกือบสุดท้ายแล้ว
เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา  ผู้ที่โดยสารมากับรถไฟขบวนนี้ก็เริ่มทยอยหอบข้าวของลงไปรวมกลุ่มกันด้านล่าง ชาวบ้านดอนผักหวานก็เช่นกัน
“มากันเหมิดไป๊ อีนางแดงเอิ้นเอามูเอาพวกมา  สิได้ไปต่อรถบัสอีก  เดี๋ยวมันสิบ่ทันรถเที่ยวนี้”
“มาครบเหมิดแล้วจ้า” แดงตอบยายเผื่อน  หลังจากที่เห็นขาวและเพื่อน ๆ กำลังเดินมาสมทบ
ชาวดอนผักหวานมาทันขึ้นรถบัสที่จะต่อไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี  กว่ารถบัสจะเคลื่อนตัวออกจากตัวจังหวัดก็ใช้เวลาเกือบ 20 นาที  เบาะสองนั่งสามคนหรือสี่คนถ้ามีเด็กด้วย  เป็นอะไรที่ผู้โดยสารชินชากันแล้ว  ไม่ใช่เพราะว่ามีผู้คนสัญจรเข้าออกตัวจังหวัดวันละเยอะ ๆ  แต่เป็นเพราะรอบรถที่แล่นผ่านเส้นทางแต่ละเส้นมีน้อยนิดเหลือเกิน  คนที่เดินทางเลยต้องจัดสรรที่นั่งที่ยืน  ให้ได้เดินทางไปในรถรอบเดียวกันให้ได้
แสงจันทร์สาดส่องลงมา  พอให้เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ตามสองข้างทางอยู่ห่างกันปละปลาย  สำหรับชาวไร่ชาวนาอย่างผู้คนดอนผักหวานเดาได้ไม่ยาก  ว่าวิวทิวทัศที่รถบัสแล่นผ่านไปนั้นคือท้องทุ่งนา  อีกไม่กี่อึดใจแล้ว  พวกเขาก็จะได้ไปเดินเหยียบย่ำน้ำย่ำโคลนที่ดอนผักหวานกันแล้ว
ตอนนี้มีเพียงกลิ่นหอมของไอดินและกลิ่นหญ้าที่พึ่งผ่านการราดลดของน้ำฝนหลงฤดูเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา  กระตุ้นให้คนที่เดินทางมาจากเมืองบางกอกอยากให้ถึงบ้านเกิดเมืองนอนไว ๆ
1
ในขณะเดียวกันที่หมู่บ้านดอนผักหวาน
บ้านของสาวน้อยเดอลา
"นาง.. นางหล่า.ได้ยินบ่.. นางหล่า ‼ ตื่นได้แล้ว ไก่ขันแล้ว…. ลุกไปหานึ่งข้าวนึ่งน้ำ"
เสียงของแม่ร้องเรียกให้เดอลาตื่นเพื่อไปก่อไฟนึ่งข้าวเหนียว  มีไม่กี่ครอบครัวที่จะปลูกข้าวเจ้าไว้กิน  เพราะข้าวเจ้ากินแล้วไม่อยู่ท้องสำหรับคนที่ทำไร่ทำนาหรือใช้แรงงาน   เพราะฉะนั้นข้าวที่ผู้คนในหมู่บ้านดอนผักหวานนิยมปลูกกันคือข้าวเหนียว
ในเช้ามืดของทุก ๆ วันหลังจากที่ได้ยินเสียงไก่ขันตอบรับกันสองสามครั้ง  จากทางคุ้มกลางบ้านบ้าง จากเถียงนากลางทุ่งบ้าง  จากคุ้มวัดที่บ้านเดอลาตั้งอยู่บ้าง  เสียง "เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้กกกก" ดังและนานพอที่จะปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล  เพื่อเริ่มหน้าที่การงานของวันใหม่  แม่เดอลาถูกปลุกจากไก่ด้วยเช่นกัน  แล้วก็มาปลุกเดอลาต่อ  อีกทอดหนึ่ง
การที่เด็กหญิงในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเดอลา
รับหน้าที่ตื่นมานึ่งข้าวให้สมาชิกในบ้านได้กินกัน  ตามบ้านนอกถือว่าธรรมดามาก
ส่วนหม้อนึ่งข้าวจะไหม้ไปสักกี่ใบก็อีกเรื่อง  เดอลาเองก็เผลอทำหม้อข้าวไหม้อยู่บ่อยครั้ง  เวลาที่เธอทำข้าวไหม้หม้อ  ทุกคนในบ้านต้องทนกินข้าวที่มีกลิ่นไหม้ ๆ จนกว่าข้าวไหม้หม้อชุดนั้นจะหมดไป  สาเหตุส่วนมากที่ทำให้หม้อข้าวไหม้เพราะเธอเผลอหลับนั่นเอง
บางครั้งก็ไหม้บางครั้งข้าวก็ไม่สุก  ก็ด้วยความเผลอหลับนี่แหละ เลยลืมใส่ฟืนเข้าไปในเตาทำให้ไฟดับ  ข้าวที่นึ่งเลยไม่สุก  แต่นางก็ฝึกให้เดอลารู้จักตื่นเช้า  ฝึกให้รู้จักวิธีก่อไฟ รู้จักวิธีนึ่งข้าวกิน  เหมือนลูกสาวบ้านอื่น ๆ เขา
"เป็นแม่ย่าแม่หญิง  ให้ฮู้จักตื่นแตเดิกแต่เซ้า
เฮ็ดแนวอยากแนวกิน "
ประโยคนี้แม่พูดกรอกหูเดอลาแทบทุกวัน จนเธอจำได้ขึ้นใจ  และเริ่มชำนาญในการก่อไฟนึ่งข้าวมาจนทุกวันนี้
มือน้อย ๆ ค่อย ๆ ควานหาตะเกียงก๊าซและไม้ขีดที่พ่อวางไว้ข้าง ๆ ต้นเสาก่อนเข้านอน  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปลายมุ้งเท่าไรนัก  สักพักเดอลาก็คว้าไปเจอไม้ขีดไฟและตะเกียง  สาวน้อยจุดตะเกียงก๊าซ  เธอรอจนแสงไฟจากตะเกียงค่อย ๆ ลุกโชนให้ความสว่างจนเต็มที่  จึงก้าวออกจากห้องนอน  แล้วตรงไปยังเรือนครัวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตัวบ้าน
ต๊อก ! ต๊อก ! ต๊อก !
เสียงเดอลาถากเสี้ยนเพื่อก่อไฟนึ่งข้าว  มือก็ถากไปในใจก็คิดไปว่า  พรุ่งนี้เช้าเธอต้องโดนแม่ด่าแน่ ๆ เลย  ที่ปล่อยให้เสี้ยนหมด  ไม่ยอมตระเตรียมไว้ช่วงกลางวัน  เช้ามืดต้องมาถากทำเสียงรบกวนชาวบ้านเขา
“เสี้ยนมีแล้ว  แนวอ่อยไฟอยู่ใสน้อบาดนิ” เดอลาบ่นกับตัวเอง  เพราะหาเชื้อไฟไม่เจอ
“เอาเกิบมาออยจั๊กหน่อย  คือสิบ่เป็นหยังดอกติ๊ จังได๋กะขาดแล้ว” เดอลาทำหน้าเซ็ง ๆ ที่จะต้องเฉือนรองเท้าแตะคู่ใจมาทำเป็นเชื้อไฟ  ถึงแม้มันจะขาดไปแล้ว  เพราะเธอซุ่มซ่ามวิ่งตกหลุมจิ้งโกร่ง  ที่นกแก้วเพื่อนสาวเธอขุดไว้  แต่ไม่ยอมกลบนั่นเอง
“นึ่งแล้วไป๊ข้าวนั่นน่ะ  ฟ้าใกล้สิแจ้งเห็นฮอดลายตีนลายมือแล้ว  ไป ๆ แม่สิเฮ็ดต่อ  ไปตักน้ำตักใน  น้าต้อยมาฮอด  เขาสิได้อาบน้ำอาบใน” แม่เดอลาเร่งให้เดอลาไปตักน้ำมาใส่ตุ่มเตรียมไว้ให้ทันต้อยที่กำลังเดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ ได้อาบ
“เอ๊า น้าต้อยเพิ่นมาฮอดมื้อนี้หวาแม่” เดอลาทำตาโตถามแม่ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“น้าเอียดว่าจังสั้นหล่ะ  เพิ่นเพิ่งมาแต่กรุงเทพ ฯ เห็นว่าพี่น้องบ้านเฮาพากันขึ้นรถมื้อวานนี้  มื้อนี้กะสิฮอดบ้านพอดีหล่ะ  ไป ๆ ฟ้าวไป  น้ำแห่งอึดแห่งอยาก  สวยหลายสิได้เฝ้าเอาเด้” นางยิ้มและอธิบายให้ลูกสาวสุดที่รักฟัง
“หนูไปก่อนเด้อสั่น น้าต้อยมาฮอดสิได้อาบน้ำเย็น ๆ” เดอลาพูดจบก็รีบไปคว้าครุถังกับไม้คานปีนลงบันไดบ้านไป
“เหลือน้ำไว้ให้เฮาแนเด้อ  มื้อนี้มาช้าแนคาหาแนวออยไฟยุ” เดอลาร้องทักนกแก้วกับม่านฟ้าที่กำลังตักนัำจากบ่ออยู่ก่อนแล้ว
“มาแล้วบ่หญิง  พวกเฮากำลังเว้ากันอยู่  ว่าไทกรุงเทพ ฯ สิมาฮอดมื้อนี้” นกแก้วหันไปพูดกับเดอลาที่กำลังวางหาบครุถังลงบริเวณที่ว่างข้าง ๆ บ่อน้ำ
“ข่าวคือไวแท้  ไผบอก ?”  เดอลาถามนกแก้วด้วยความแปลกใจ
“พุ้นเด้ ! ประชาสัมพันธ์หมู่บ้านนะ  กำลังมาพุ้น  กรีนนี่รู้ ! โลกรู้ !”  นกแก้วตอบพลางโบ้ยหน้าไปหากรีนนี่  ที่วิ่งหน้าตาตื่นมาหาเพื่อน ๆ
เดอลา  ม่านฟ้าและนกแก้วต่างก็ขำกับอีกฉายาของกรีนนี่ที่ว่า  “กรีนนี่รู้  โลกรู้”
“หญิง ! ไทกรุงเทพ ฯ เข้าบ้านมาแล้ว  คะเจ้าได้วิทยุมาฝากพี่น้องนำ  ได้ยินว่าอ้ายเชิดมีฮอดวิทยุที่เปิดเทปได้พร้อม”  กรีนนี่รายงานข่าวเพื่อนด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อีหลีบ่ ?” สามสาวถามกรีนนี่ขึ้นพร้อม ๆ กันเพื่อความมั่นใจ
“ฉันสิตั๋วให้ได้หยังคะ  ฟ้าว ๆ สิได้ไปเบิ่งคะเจ้านำกัน  พุได๋ตักน้ำทันแล้วฉันสิส่อย" กรีนนี่ตอบ  พร้อมเสนอตัวเข้าช่วยเพื่อน ๆ ที่ยังตักน้ำไม่เสร็จ
“ไปส่อยหญิงเดอลาพู้น  ซุมเฮาสิแล้ว ๆ” ม่านฟ้าจัดแจงให้กรีนนี่เข้าไปช่วยเดอลาทันที
“มา ๆ หญิงเอากะป่อมมาฉันส่อย  สิได้ไปนำกัน" กรีนนี่ไม่พูดเปล่า  คว้ากะป่อมจากเดอลา  แล้วโยนลงก้นบ่อน้ำเพื่อที่จะตักน้ำขึ้นมาช่วยเดอลาทันที
เด็ก ๆ แก๊ง “สาว สาว สาว แอนด์ สาว"  ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนตักน้ำจากบ่อไปใส่ในตุ่มเสร็จทุกบ้านแล้ว  จึงมารวมตัวกันอีกทีที่ลานวัด  เพื่อจะออกไปต้อนรับชาวดอนผักหวานที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ ด้วยกัน
“พร้อม ไม่ พร้อม ? พร้อม ไม่ พร้อม ?” กรีนนี่ร้องถามเพื่อน ๆ ในแก๊ง  ด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“พร้อม ! สาม สี่ !” เดอลา นกแก้วและม่านฟ้า  ขานตอบรับ  น้ำเสียงขึงขังไม่แพ้กัน
“หล่า ลั๊ล ล้า ! ลั้ล ลา เด้อลา ! ลา ลั้ล ลา เด้อลา ! ลา ลั๊ล ล้า ลั่ล ล้า ! เด้อ ลา !” ด้วยความดีใจ เด็ก ๆ ฮำเพลงประจำแก๊ง  กระโดดโลดเต้น  เป็นจังหวะพร้อม ๆ กัน  เพื่อออกไปต้อนรับพี่ป้าน้าอาชาวดอนผักหวาน  ที่รวมตัวกันอยู่บ้านยายเผื่อนกับตานายอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน  เพื่อเดินทางมารับน้ำมนต์กับหลวงตาในช่วงเช้านี้
“น้าต้อย !” ทันทีที่เดอลาเห็นน้าต้อยของเธอ  สาวน้อยก็ตะโกน  และวิ่งเข้าไปกอดน้าสาวด้วยความดีใจ
“นางหล่า !” สาวต้อยน้าของเดอลาก็ดีใจไม่แพ้กับหลานสาว  เพราะเธอจะได้อวดของฝาก  ที่เธอตั้งใจนำมาให้  และเชื่อว่าหลานของเธอต้องชอบแน่ ๆ
“หนูคิดฮอดน้าต้อย ล้ายหลาย ! น้าต้อยพุง้าม พุงาม" เดอลาตื่นเต้นกอดต้อยไม่ยอมปล่อย โดยไม่ลืมที่จะประจบน้าสาวของเธอ
“หึย ! ปากเป็นคือเก่าเนาะ  หลานไผนิ" ต้อยหัวเราะชอบใจ  จับหัวเดอลาโยกไปมาอย่างเอ็นดู
“อ้ายกะว่าจังสั้นหล่ะหนู  น้าต้อยโตพุงามอีหลี  งามป่านนี้อ้ายขอจีบเด้อ” เขื่อนขออนุญาตจากเดอลาหลานสาวคนสนิทเพื่อจีบสาวต้อย
“ได้เลยจ้า ! อ้ายเขื่อนกะหล่อ  น้าต้อยกะงามสมกันหลาย  หนูให้ผ่านจ้า" เดอลาไม่หวงน้าสาวแม้แต่น้อย  เพราะเธอรู้ว่าต้อยแอบมีใจให้กับเขื่อนด้วยเหมือนกัน
สาวต้อยทำตาเขียวใส่บ่าวเขื่อน ที่ออกตัวแรงถึงขั้นขอจีบเธอผ่านหลานสาวต่อหน้าผู้คนเยอะแยะแบบนี้
“อ้ายเขื่อน ! อ้ายเชิด !” กรีนนี่กับนกแก้วตะโกนเรียกชื่อเขื่อนกับเชิดพร้อม ๆ กันอย่างลืมตัว  เพราะความหล่อเหลาของสองหนุ่ม  ทำให้เด็ก ๆ อดที่จะปลื้มเป็นไม่ได้  ตามประสาเด็ก ๆ ก็ไม่สามารถเก็บกิริยาอาการได้ด้วยเช่นกัน
“เงียบ ๆ แนะหญิง  พุเฒ่าเหลียวเบิ่งเหมิดแล้ว  ฉันอายคน" ม่านฟ้าสาวน้อยที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม  เตือนกรีนนี่และนกแก้ว  ที่ตื่นเต้นเผลอทำกิริยาออกไปจนเกินงาม
“เอ๋า  ฉันลืมโต  เพิ่นกะหล่อโพดเนาะ  บ่าวส่าบ่าวลือประจำดอนผักหวาน อิอิ” กรีนนี่พูดแล้วหันหน้าไปหัวเราะผสมโรงกับนกแก้ว
“เอ้า ! มาพร้อมหน้าพร้อมตา กันสุขู่สุคนแล้วน้อ  สิได้ตั้งขบวนออกไปวัดไปวา ไปไหว้พระไหว้เจ้า  แม่ออกแม่ตนเพิ่นเตรียมแนวกินแนวอยากไว้ถ้าแล้วตี้ป่านนี้”  พ่อเฒ่าผันพ่อของยายเผื่อนเรียกรวมตัวชาวดอนผักหวานที่เพิ่งเดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ  และที่ออกมาต้อนรับ  เพื่อที่จะเริ่มเดินขบวนเข้าไปวัดทำบุญและขอพรจากหลวงตา
ประเพณีของชาวดอนผักหวาน   เมื่อพี่น้องที่เดินทางกลับมาจากทำงานที่กรุงเทพ ฯ ปีละครั้งในช่วงสงกรานต์  ชาวบ้านทุกคนก็จะนำกลองนำฆ้องมาแห่นำขบวนเพื่อเดินทางไปทำบุญ  และขอพรที่วัดก่อน
โดยทุกครอบครัวที่อยู่บ้านจะเตรียมข้าวปลาอาหารไปทำบุญและต้อนรับชาวคณะที่มาจากกรุงเทพ ฯ ด้วย   ส่วนชาวคณะที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ ก็จะรวบรวมปัจจัยมอบถวายหลวงตา  เพื่อนำไปบูรณะวัดวาอารามต่อไป
ส่วนช่วงค่ำจะมีพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับทุกคนที่เดินทางกลับมาบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อเรียกขวัญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว  หลังจากที่รอนแรมจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลนานนับปี
ผู้อ่านที่น่าฮัก ถ้าไม่รังเกียจเชิญเข้ามารับศีลรับพร กินข้าวเช้ากับชาวบ้านดอนผักหวานด้วยกันนะคะ แล้วค่ำนี้เจอกันที่บ้านพ่อผู้ใหญ่กับพิธีบายศรีสู่ขวัญต้อนรับพี่น้องชาวดอนผักหวานที่เดินทางมาจากกรุงเทพ ฯ กันค่ะ
อย่าลืมถือตะเกียงมาด้วยนะคะ
ด้วยฮักจากเดอลาและชาวดอนผักหวานค่ะ
(ภาพจากเว็บไซต์ www.pixabay.com)
นิยายเรื่อง : #ก่อนตะวันรอน
บทประพันธ์ โดย : #งามดอกบัว
สำนักพิมพ์ : #อีสานพันทาง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา