9 พ.ค. 2021 เวลา 09:57 • การเมือง
“พระเจ้ากรุงสยามกับนักล่าอาณานิคม”...
... เจ้าฟ้ามงกุฎเตรียมพระองค์ 27 ปี
จนเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย
เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎมีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดให้ทรงผนวช
แต่แล้วหลังจากนั้นเพียง 15 วันในหลวงรัชกาลที่ 2 ก็สวรรคตลงอย่างกระทันหัน
แล้วพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางได้ถวายราชบัลลังก์อันควรจะเป็นของพระองค์แด่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตที่ประสูติกับเจ้าจอมมารดาสามัญชน ซึ่งมีพระชนมายุ ๓๗ พรรษา ที่มีประสบการณ์ทำราชการมาอย่างยาวนาน
ทำให้เจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งบวชอยู่แล้ว ครองสมณเพศต่อมาตลอดรัชกาลถึง 27 ปี
แต่ช่วงเวลา 27 ปีนั้น มิได้สูญเปล่า เพราะทรงศึกษาศิลปวิทยาการทุกแขนงอย่างแตกฉาน เหมือนเป็นการเตรียมพระองค์เพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ในยุคที่นักล่าอาณานิคมที่มีวิทยาการที่ล้ำสมัยออกอาละวาด
ระหว่างที่ครองเพศบรรพชิต ได้ทรงออกธุดงค์ไปทั่วประเทศ จึงทำให้พระองค์ได้พบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านทุกหัวระแหง ได้มีโอกาสคลุกคลีกับสามัญชน ทำให้ทรงสัมผัสทุกข์สุขของราษฏรอย่างใกล้ชิด
และเมื่อครองราชสมบัติก็ทรงมีเมตตาต่อราษฎร โดยทรงเห็นว่าโบราณราชประเพณีบางอย่างควรจะเปลี่ยนแปลง จึงเกิดสิ่งที่ “ทันสมัย” ขึ้นหลายอย่างในรัชกาลของพระองค์ เช่น
ตามธรรมเนียมเดิมที่มีมาตั้งแต่โบราณถือว่า ที่ดินทั้งพระราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้าแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว ผู้ที่ถือโฉนดที่ดิน เป็นเพียงแต่แสดงว่าพระเจ้าแผ่นดินอนุญาตให้ใช้เท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของ
แต่พระองค์ทรงเปลี่ยนใหม่ โดยยกเลิกและไม่ถือว่า”พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งประเทศ”
เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นใหม่จงรู้เอาไว้ว่า ตั้งแต่โบราณมา ที่ดินทั้งแผ่นดินไทยเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่ด้วยพระปรีชาญาณอันทันสมัย และมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ของในหลวงรัชกาลที่ 4 ที่ทรงยกเลิกธรรมเนียมเดิมนั้น ชาวบ้านจึงมีโอกาสถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในระหว่างที่ทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศอยู่นั้น ได้ทรงจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดบวรนิเวศฯ
โดยขอให้มิชชันนารีชาวอเมริกันเป็นอาจารย์ผู้สอน ซึ่งนอกจากพระองค์จะทรงศึกษาเองแล้ว ยังทรงอนุญาตให้คนหนุ่มรุ่นใหม่มาเรียนด้วยกันอีกหลายคน ซึ่งในเวลาต่อมาคนเหล่านี้ได้เป็นกำลังสำคัญในการบริหารประเทศเมื่อทรงขึ้นครองราชย์
นายแพทย์เจสซี คาสแวล รับเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ โดยไม่ขอรับค่าจ้าง แลกกับการขอเปิดสอนศาสนาคริสต์ขึ้นที่วัดบวรฯ เป็นการตอบแทน
ในฐานะที่ทรงเป็นพระภิกษุที่มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แต่พระองค์ก็ทรงมีพระทัยกว้างขวางและทันสมัย โดยได้ทรงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์เผื่อแผ่ไปถึงศาสนาอื่น ด้วยการให้เสรีภาพในการถือศาสนา และทรงแนะให้ใช้เหตุผลในการเลือกถือศาสนา
จึงประทานอนุญาตให้ใช้ศาลาที่ด้านหน้าวัดบวรนิเวศฯ เป็นที่สอนศาสนาคริสต์
เมื่อศึกษาภาษาอังกฤษ จนสามารถอ่าน เขียน พูด ได้แล้ว พระองค์เองและนักเรียนหลายคนก็ได้เปิดโลกทัศน์ด้วยการสั่งหนังสือวิชาการต่างๆ มาศึกษาด้วยตนเองตามความสนใจของแต่ละคน เช่น
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ซึ่งต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสนใจวิชาทหาร ก็สั่งตำราปืนใหญ่เข้ามาศึกษา จนนิพนธ์ตำราปืนใหญ่ให้ทหารไทยศึกษาต่อ
พระยาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ ๕ ก็ศึกษาตำราต่อเรือกลไฟแบบฝรั่งที่จันทบุรีในขณะที่มีอายุเพียง ๒๗ ปี ซึ่งเป็นเรือกลไฟลำแรกที่ต่อในไทย และยังต่อเรือรบใช้ในราชการอีกหลายลำ
ส่วนพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเอง นอกจากทรงสั่งหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเข้ามาอ่าน ที่ถึงแม้จะใช้เวลาเดินทางมาถึง ๒ เดือน จนกลายเป็นข่าวล่าไปแล้ว แต่ก็ยังได้ประโยชน์ที่ทำให้ทรงทราบถึงเหตุการณ์ของโลกภายนอกที่เปลี่ยนไป
รวมทั้งยังทรงนิยมพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวตะวันตกอยู่เสมอ ทำให้ทรงทราบเหตุการณ์ของโลก และเห็นภัยทะมึนของลัทธิล่าอาณานิคมกำลังโหมเข้ามาใกล้ ทำให้ในเวลาต่อมาเมื่อครองราชสมบัติแล้ว ก็ทรงมีความสามารถรับสถานการณ์แล้วร้ายนั้นได้อย่างอยู่มือ
ในปลายรัชกาลที่ ๓ อังกฤษได้ส่ง เซอร์เจมส์ บรูค เข้ามาขอแก้สนธิสัญญาการค้า ขอให้ยกเว้นภาษีหลายประเภท หรือไม่ก็ขอให้เก็บในราคาต่ำลง
รวมทั้งขอให้ยกเลิกการห้ามส่งข้าวออกไปขายนอกราชอาณาจักร และขอให้ยกเลิกการห้ามนำเข้าฝิ่น
ให้ลดค่าปากเรือลงเหลือศอกละ ๕๐๐ บาท จากที่เก็บอยู่ ๑,๗๐๐ บาท
และที่สำคัญคือขอตั้งสถานกงสุลและให้คนในบังตับอังกฤษอยู่ใต้กฎหมายอังกฤษ
ซึ่งรัฐบาลไทยได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของอังกฤษทุกประการ
ทำให้เซอร์เจมส์ บรูค ไม่พอใจ จนเมื่อกลับไปถึงสิงคโปร์แล้ว ได้ทำรายงานเสนอเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ พร้อมขอให้รัฐบาลอังกฤษจัดการเด็ดขาดกับไทยหลายข้อ เช่น
ขอได้ส่งกองทหารเข้าบุกเข้ายึดพระนครไว้
หลังจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางได้มีการทูลเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศขึ้นครองราชย์
โดยพระราชกรณียกิจแรกๆ ที่ลงมือทำทันทีคือ การวางนโยบายรต่างประเทศใหม่ทั้งหมด ด้วยพระบรมราชโองการให้ประกาศลดค่าระวางปากเรือเหลือวาละ ๑,๐๐๐ บาท
อนุญาตให้ส่งออกข้าวสารไปขายต่างประเทศได้
ส่วนฝิ่นนั้นทรงเห็นว่าไม่มีทางที่จะขัดขวางความต้องการของอังกฤษ จึงทรงอนุญาตให้นำเข้าได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องขายให้ทางรัฐบาลเท่านั้น เพื่อรัฐบาลจะควบคุมการจำหน่ายได้ ซึ่งเป็นการปัญหาที่แยบยลมาก ทำให้ปัญหาคนติดฝิ่นไม่หนักหนาเหมือนในเมืองจีน
ส่วนเรื่องการขอตั้งสถานกงสุล ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึง นายพันเอกบัตเตอร์เวิธ ผู้ว่าราชการเกาะปีนัง ให้แจ้งเซอร์เจมส์ บรูคด้วยว่า พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จะโปรดฯให้แก้ไขสนธิสัญญากับอังกฤษ และให้ตั้งสถานกงสุลได้ตามประสงค์ แต่ขอผลัดให้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาก่อนจึงค่อยส่งทูตเข้ามา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา กองเรือรบอังกฤษที่มุ่งหน้ามาตะวันออกไกล ก็บ่ายหน้าไปสู่พม่าแทน
พระปรีชาญาณในการอ่านเกมส์การเมืองของชาวตะวันตกทะลุปรุโปร่งนี้ มาจากการที่ได้ศึกษาภาษาอังกฤษจนอ่านออกเขียนได้ แล้วทรงติดตามข่าวสารต่างประเทศมานาน จนรู้เขารู้เรา
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งของในหลวงรัชกาลที่ ๔ คือการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ดังที่มีพระราชดำริว่า
“รู้จักและส้องเสพย์กฎหมายและธรรมเนียมอันดีๆในบ้านเมือง เพื่อตอบโต้ภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ซึ่งมักจะอ้างว่าประเทศในตะวันออกยังป่าเถื่อน ต้องมาช่วยปกครองให้เจริญก้าวหน้าเหมือนตน”
ถ้าไทยเราไม่พัฒนาประเทศให้เป็นเมืองศิวิไลน์ในสายตานักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก ก็จะถูกใช้ข้ออ้างดังกล่าวมายึดเป็นเมืองขึ้น
ซึ่งพระราชหัตถเลขาที่มีไปถึง พระพิเทศพานิช กงสุลสยามประจำเมืองสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๘ แสดงให้เห็นพระปรีชาญาณในการหยั่งรู้ท่าทีและทัศนคติของมหาอำนาจ จนสามารถนำชาติรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิตมมาได้
เรื่องราวของพระปรีชาญาณของรัชกาลที่ 4 เพิ่งเริ่มต้น ยังไม่หมดเพียงแค่นี้
โปรดติดตามตอนต่อไป
อัษฎางค์ ยมนาค
โฆษณา