9 พ.ค. 2021 เวลา 17:45 • ท่องเที่ยว
ขับมอไซค์เที่ยวคนเดียว 20วัน19คืน ด้วยงบ 4,000 บาท จากกทม - เบตง ระยะทางกว่า 3,330 กิโลเมตร
1
รุปใบแรกที่ถ่ายหน้าบ้านตัวเองก่อนออกเดินทาง
บทนำ
ถ้าหากว่าให้พูดถึงอะไรเป็นการเริ่มต้นซักอย่างก็คงอยากบอกว่าทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปที่ผมเดินทางนานมากกอีกทริปนึง เนื้อหาทั้งหมดที่เพื่อนๆจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นการบีบอัด เรื่องราวความประทับใจ และความทรงจำดีๆตลอด 20วัน19 คืนของผม ที่ขับรถจาก กทม - เบตง ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่ายาวมาก พยายามย่อแล้วก็ยังยาวอยู่ดี แต่ทว่านั้น เรื่องราวทั้งหมดนี้มันดีเกินกว่าที่ผมจะเก็บไว้ฟินส์คนเดียว ถ้าหากผมทำอย้่างนั้นมันคงเห็นแก่ตัวเดินไป และทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลที่ผมเขียนบทความนี่ขึ้นมา ภายใต้แนวคิดในการเดินทางของผมที่ว่า "ทุกที่มีเพื่อนและเรื่องราวดีๆซ่อนอยู่ มันรอเราออกไปค้นเจอ"
ปล.เผื่อคนสงสัยว่าทำไมผมถึงเดินทางได้ถุกนักแล้วงบ 4,000 บาทนี้เป็นไปได้ยังไง ผมตอบให้ว่าเป็นไปได้ครับ สิ่งสำคัญในการเดินทางนั้นมีปัจจัยหลักๆ 3 ข้อด้วยกัน 1.ค่าเดินทาง ซึ่งมันค่อนข้างตายตัวว่าเราต้องจ่ายตามระยะทางที่เราไกล ยิ่งออกไปไกลยิ่งจ่ายมากซึ่งผมปิดจุดบอดที่สิ้นเปลืองนี้ด้วยมอไซค์แม่บ้านที่ประหยัดน้ำมันสุดๆครับ 2.ที่พัก ซึ่งผมปิดจุดบอดนี้ด้วยการนอนตามพี่จุดกางเต็นท์ วัด หรือวนอุทยานบางแห่งก็ไม่เก็บเงินหรืออาจจะปั๊มน้ำมัน และอย่างสุดท้ายที่จริงๆผมไม่ค่อยอยากนอนเท่าไหร่เพราะว่าเกรงใจมากก็คือ บ้านคนรู้จักครับซึ่งบางครั้งก็ปฏิเสธได้ยากมากคือประมานว่าเรามาถึงที่แล้วไม่แวะไปหาหรือไปเที่ยวบ้านนี่บางคนน้อยใจเลยนะครับ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทริปนี้ค่อนข้างถูกเพราะมีไปนอนบ้านเพื่อนที่สนิทบ้าง แต่ในมุมผมแล้วถ้าไมไ่ด้นอนบ้านเพื่อนนี่ค่าใช่จ่ายอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นราวๆ 5,000บาท แล้วก็ลำบากชึ้นอีกเท่านั้นเอง 3. ค่าอาหาร ผมปิดจุดบอดเรื่องค่าอาหารนี้โดยการตุนอาหารบางส่วนด้วยราคาเหมาแพคครับ พวกอาหารพร้อมทานอย่างโร่ซ่าพร้อม ที่เหมาเยอะๆแล้วถุกมากระหว่างทางหาซื้อข้าวแค่ถุงเดียว ก็อิ่มแล้ว อีกอย่างผมกินแค่ วันละ 1-2 มื้อเท่านั้นนี้ยังไม่รวมว่าบางครั้งน้ำใจคนไทยนั้นล้นเหลือครับ บางคนก็แบ่งกับข้าวกับปลาให้ผมได้ประหยัดไปทั้งวันก็มี
3
เอาล่ะเกริ่นมาถึงตรงนี้เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลย!!
เริ่มต้นด้วยวันแรกเป็นการขับรถยาวกว่า 350 กิโลเมตรไปที่จุดพักคืนแรกของผม ที่อุทยานแห่งชาติหาดวนกร
สภาพวันแรกอย่างโทรมขับรถทรหดมาก
หลังจากเดินทางได้สองวันผมก็มาถึงที่สุราษฯและทำงานที่ได้รับว่าจ้างเพื่อหาตังค์เที่ยวนี่แหละ^^
หลังจากจบงานพร้อมส่งรูปให้บัณฑิตแล้วก็แวะทักทายเพื่อนๆเสร็จผมออกเดินทางต่อไปยังจังหวัดนครศรีฯ เพื่อแวะทักทายเพื่อนกรุ๊ปสุดท้ายก่อนที่จะอัดยาวลงสู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทว่าระหว่างทางนั้นฝนตกหนักตลอดผมใส้เสื้อกันฝนลุยฝนไปบนถนนในทริปนี้ร่วมๆแล้วน่าจะเป็นร้อยกิโลเห็นจะได้ พอถึงบ้านเพื่อนที่นครศรีฯเพื่อนๆเลยเสนอว่าเอารถมอไซค์ขึ้นท้ายกระบะไหม เพราะว่าเค้ากำลังจะไปปัตตานีพอดี ผมพลันคิดในใจทันที "เอ้!! นี้เราเสียเวลามา ห้าหกวันแล้วยังแทบไม่ไปไหนเลย ฝนมันก็ตกเอาตลอดทางถ้าโดดข้ามไปนี้ประหยัดไปสองสามวันเลยนะเอาวะไปก็ได้" แล้วก็เป็นอย่างที่คาดครับเอารถขึ้นท้ายกระบะมุ่งจากนครศรีฯไปปัตตานี ฝนตกแทบตลอดทาง
1
แอบโกงนิดนึงขอใช้แกนวาร์ปหน่อย ฮ่าๆๆๆ ฝนตกไม่หยุดเลย
หลังจากที่ผมขึ้นรถกระบะโดดข้ามมาถึงปัตตานีผมก็ออกเดินทางแล้วขับรถต่อไปยังตัวเมืองยะลาเพื่อแวะไปทักทายเพื่อนอีกกลุ่มนึงต่อไป และในระหว่างที่ผมติดฝนอยู่ในยะลานี้ยังมีโอกาสได้ไปถ่ายรุปกับสตรีทอาร์ตของยะลาแล้วก็พี่วินมอไซค์ของยะลาอีกด้วยอีกด้วย แต่ด้วยความที่ว่าฝนนั้นจ้องจะตกตลอดเวลาเลยทำให้ได้สตรีทอาร์ตมาแค่สองรูปเท่านั้นเอง
1
แวะมาถ่ายรูปกับวินเจ่าถิ่นที่สถานีรถไฟยะลาด้วย
ฝนยังคงตกหนักมากๆที่ยะลา ได้ออกมาถ่ายสตรีทอาร์ตแค่2ภาพเอง
หลังจากผมติดฝนอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ย้ำว่าหรึ่งวันเต็มๆมีโอกาสได้ออกไปถ่ายรุปสตรีทอาร์ตได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฝนตกๆหยุดๆทั้งวัน แต่ในที่สุดผ้าฝนก็ปราณีผมในวันนี้ เพราะมันหยุดให้ผมได้ออกเดินทางต่อไปยังเบตง ซึ่งผมต้องขับรถกว่า 140 กิโลเมตร โดนไปพันกว่าโค้งแต่ก็เพลิดเพลินไปด้วยทิวทัศตลอดสองข้างทาง ในที่สุดวันนี้ผมก็เดินทางถึงเบตงและขอติดต่อเข้าไปนอนกางเต็นที่วัดพุทธาทิวาส และวันนี้เองผมยังมีโอกาสได้เจอเพื่อนใหม่ที่แนะนำจนผมได้มุมถ่ายรูปหอนาฬิกาเบตงสวยๆมา
1
ระหว่างทางไปเบตงตรงจุดชมวิวอ่างเก็บน้ำบางลาง
ถึงแล้วเบตง
ใต้สุดแดนสยาม
หอนาฬิกาเบตงยามค่ำคืน
อุโมงค์เบตง
คืนนี้ผมมาขอหลวงพ่อกางเต็นท์นอนที่วัดพุทธาทิวาส
เดิมทีเช้านี้ผมตั้งใจจะตื่นแต่เช้าออกไปสัมผัสบรรยากาศยามเช้าของเมืองเบตงหน่อยแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่าฝนตกตั้งแต่ช่วงกลางดึกยันช่วงสายแถมแมวดันมาเยี่ยวใส่เต็นท์ผมอีก แต่เรื่องดีเรื่องแรกของวันนี้คือหลวงพ่อตามให้ไปกินข้าววัด แล้วช่วงสายๆหลังฝนหยุดผมก็ได้มีโอกาศออกไปถ่ายรุปกับสตรีทอาร์ตเบตงสะหน่อย
ได้ข้าววัดกินเฉย ประหยัดไปมื้อนึง เย้!!
ในส่วนของสตรีทอาร์ตเบตงนี่ผมลงให้ดูคร่าวๆนะครับพอดีลืมเอารูปอัพลงในคอมไว้แล้วไม่รู้เอาไปเก็บไว้ไหน แต่เดี๋ยวจะรวมๆมาอัพลงให้เป็นโพสแยกเลยละกัน หรือถ้าใครรีบไปดูในเฟจเฟซบุ๊ค : ขับวินเที่ยว ได้นะครับเลื่อนย้อนๆลงไปหน่อยไปมาสักพักใหญ่แล้วว ฮ่าๆๆ ปล. เรื่องราวส่วนใหญ่จะลงในเฟซบุ๊คครับ แต่ผมจะเขียนบล๊อคดิท กับ พันทิพย์ควบคู่ไปด้วย ถ้าสนใจไปติดตามกันได้นะครับ หรือสะดวกติดตามกันแค่ในนี้ก็ไม่ว่ากัน^^
หลังจากถ่ายสตรีทอาร์ตในเมืองเบตงเสร็จในช่วงบ่ายของวันผมก็ออกเดินทางต่อไปยังบ่อน้ำร้อนเบตง แล้วก็ไปเที่ยวต่อที่อุโมงปิยะมิตรซึ่งมีเรื่องราวของกลุ่มทหารคอมมิวนิสต์ในอดีตที่ขุดอุโมงอยู่ใต้ดินเพื่อใช้ต่อสู้
บ่อน้ำร้อนเบตง
อุโมงค์ปิยะมิตร
ในช่วงบ่ายแก่ๆของวันหลังจากผมอยุ่ที่อุโมงปิยะมิตรนี่เป็นนานสองนานเพราะอินกับพวกประวัติศาสตร์และสงคราม ในที่สุดผมก็ต้องตัดใจออกเดินทางต่อไปยังตำบลอัยเยอเวง เพราะมีนัดหมายกับน้องคนนึงซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่น้องแอดเพื่อนในเฟสบุ๊คมาเพราะผมไปโพสในกลุ่มขับมอไซค์เที่ยวว่าจะมาเบตงและที่นี่เองมิตรภาพและความทรงจำดีๆจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากคนแปลกหน้า ซึ่งเมื่อผมเข้าไปอยู่ท่ามกลางวงพวกเค้าแล้วก็เปรียบเสมือนไปอยู่ในวงเพื่อนชาวต่างชาติเพราะว่าฟังเค้าคุยกันไม่รู้เรื่องนั้นเพราะเค้าพูดภาษายาวีกัน
3
คนนี้น้องยู
ก่อนจะเข้าเซฟเฮาส์ น้องยูพาไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนแถวบ้านด้วย
เหมือนอยู่กับเพื่อนต่างชาติเลย ฟังเค้าไม่รู้เรื่องเพราะพูดภาษายาวีกัน ที่เห็นในโถนั่นชานะ ไม่ใช่น้ำท่อม ฮ่าๆๆๆ
และเช้าวัดถัดมาพวกเราตื่นกันแต่เช้ามืดเพราะเช้านี้เราจะไปชมทะเลหมอกกันที่ Sky walk อันโด่งดังของเบตง
2
เมืองแห่งสายหมอกของจริงนี่ขนาดมาไม่ถูกช่วงนะหมอกยังขนาดนี้
วินห้วยขวาง vs. วินSky walk ด้วย ฮ่าๆๆ
หลังจากช่วงเช้าผมได้ขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ Sky walk ผมก้ได้กลับลงมาแล้วแวะไปเที่ยวต่อที่น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
แต่น่าเสียดายว่าหลายวันมานี้ฝนตกหนักตลอดทำให้ปริมาณน้ำเยอะมากๆละอองน้ำหนักมากทำให้ตั้งกล้องถ่ายรูปสวยๆไมไ่ด้
ได้แค่ฝากโทรศัพท์ให้น้องยูกดถ่ายรูปพอได้เท่ห์ๆมานิดหน่อย
น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
"แคร่กกกกก...ๆๆ" หลังจากนั้นสักพักเสียงท้องร้องก็เริ่มทำงานเพราะว่าสายแล้วเริ่มจะหิวครับเราเลยกลับไปที่หมู่บ้านและเมนูวันนี้คือข้าวยำ
ข้าวยำเนี่ยถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็นอาหารเช้าที่คนมุสลิมนิยมกินกันครับผมแนะนำเลยว่าถ้ามา 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่ควรพลาด
ข้าวยำกับไข่ต้ม คือดีย์!!
หลังจากกินข้าวเช้ากันเสร็จสับก็โฉบไปถ่ายรูปที่สะพานข้ามน้ำปัตตานีและหลังจากนี้เป็นวันแห่งการสโลไลฟ์เลยครับเพราะทั้งวันนั้น
ผมนั่งๆนอนๆแค่รอให้ถึงเย็นอีกวันเพราะมีนัดหมายกับแบจูเพื่อขึ้นฆูนุงซีลีปัตต่อไป
ปล. ขอแทรกเกร็ดความรู้นิดหน่อยครับ ในภาษายาวีนั้น คำว่าแบเนี่ยแปลว่าพี่ครับ เพราะฉะนั้นคำว่าแบจูก็เหมือนคำว่าพี่จู แต่ว่าเพื่อนๆอาจจะคุ้นหูกับการเรียกคนมุลลิมว่าบัง นั้นก็เพราะว่ารากฐานจริงๆเค้าเรียกว่าแบครับ แต่พอเลยจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไปจะเพี้ยนๆไปเป็นคำว่าบัง เพราะฉะนั้นในที่นี้คือ จะเรียกวา่า บังจู หรือ แบจู ก็ได้ครับ แต่ถ้าผมผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หรือจะคอมเม้นเพื่อให้ความรู้ผมเพิ่มเติมก็ได้นะครับ
1
ถ่ายรูปกับจุดเช็คอินสะหน่อย
หลังจากนอนเล่นสโลไลฟ์มาทั้งวันในที่สุดคืนนี้ผมก็ต้องไปตามนัดหมายกับแบจูเพื่อจะขึ้นฆูนุงซีลีปัต และๆๆๆแล้ววความมันส์มันก็เริ่มหลังจากนี้แหละครับ ด้วยความที่ว่ารถผมเป็นออโตเมติกแล้วก็ไม่ค่อยเหมาะเอามาขี้ขึ้นทางวิบาก แถมล้อยางนั้นก็บ้านๆ ทำให้ระหว่างทางขึ้นนั้นเกือบจะถึงแคมป์แล้ว แต่คลัชไหม้สะก่อนทำให้ต้องจอดเดินต่อไป แต่ก็ทว่าผ่านพ้นคืนหฤโหดมาได้ด้วยดี เอ้อออเกือบลืมไปในการเดินทางขึ้นฆูนุงคืนนี้มีพี่สาวคนนึงมาจากกรุงเทพด้วย ชื่อพี้เปิ้ลครับ เป็น ผญที่กล้าหาญมากเลยมาคนเดียวด้วย พี่เปิ้ลตั้งใจว่าจะมาเดินทางใน 3 จังหวัดชายแดนใต้สักครั้งเพราะเค้าอยากรู้ว่ามันจะน่ากลัวจริงไหม
3
คลัชไหม้ถึงกับต้องจอด ถ้ารถมันมีปากคงบ่นผมยับ ฮ่าๆๆๆ
และหลังจากท้องอิ่มคืนนี้ผมก็ได้นอนพักผ่อนแบบฟินๆหลังผ่านค่ำคืนหฤโหดที่ทำเอาอาชาสคู่ใจคลัชไหม้ไป แต่ทว่าเช้ามานั้นสิ่งที่ผมได้รับกับเป็นการตอกย้ำว่ามันคุ้มค่าสุดๆๆๆๆ
ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต  ถ้าใครสนใจที่จะขึ้นมาแคมป์หรือขึ้นมาท่องเที่ยวที่นี้ก็ลองติดต่อสอบถามไปยัง เพจตามลิงค์นี้ได้เลยครับ https://web.facebook.com/GunungSilipatThailand แบจูเป็นหนึ่งในแอดมินเพจ ผมรับประกันมุกแป่กๆและบริการที่ประทับใจจากแบจูให้เลยครับ ฮ่าๆๆๆ
และเรื่องราวหลังจากนี้ผมต้องท้าวความก่อนว่า ช่วงก่อนหน้านี้นั้นบอลลี่ได้ทราบว่ามีชุมชนชาวอีสาน อยู่ในตำบลที่ติดกับชายแดนไทยมาเลเซียและที่นี่คือตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ของนิคมที่ทางรัฐจัดสันที่ดินให้คนอีสานซึ่งส่วนใหญ่มาจากนครราชสิมานั้นอพยบมาตั้งถื่นฐานพร้อมให้ที่ดินทำกินเพราะช่วงนั้นที่โคราชมีการสุ้รบกับคอมมิวนิสเกิดขึ้น ทำให้ชายบ้านส่วนใหญ่นั้นอพบพกันมา ที่เลยกลายเป็นชุมชนคนพุทะท่ามกลางคนมุสลิม
และด้วยเรื่อวงราวทั้งหมดนี่เองอีบอลลี่นั้นแทบไม่รอช้ารีบเก็บของกระโดดขึ้นรถและขับผ่านบันนังสตาเข้าสุ้พื้นที่สีแดงผ่านเข้าทางอำเภอศรีสาครแล้วมาถึงที่สุคิรินแล้วไปสุดทางที่ตำบลภูเขาทองนี้ช่วงหัวค่ำ ไม่รอช้าผมรีบติดต่อขอเข้าพักที่วัดป่าชุมทอง ซึ่งมีหลวงตาอยุ่วัดเพียงแค่รุปเดียว
ปล.อย่างที่บอกที่นี่เป็นชุมชนคนพุทธท่ามกลางคนไทยมุสลิมและห่างไกลสุดๆแบบสุดชายแดน พระที่นี่จึงมีน้อยมากๆ เพิ่มเติมคือที่นี่มีงานบุญบั้งไฟแบบอีสานด้วยนะ
ระหว่างเดินทางแวะเที่ยวเขื่อนบางลางแถวๆบันนังสตา
เข้าสู่เขตพื้นที่สีแดง
ในพื้นที่ๆว่าแดงที่สุด แต่ได้วิวขนาดนี้ ขี่ไปฟินส์ไป
ถึงสุคิรินสักทีขับรถแทบทั้งวัน
ที่นอนคืนนี้ในศาลาวัด
มื้อที่สองของวันนี้ ประมาน33บาท
หลังจากค่ำคืนแห่งการเดินทางที่เหนื่อยล้า เช้านี้ผมเลยเป็นเด็กวัดจำเป็นขอติดตามหลวงตาไปไปบิณฑบาตเพราะด้วยความอยากเห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ด้วยตาของตัวเอง
หลังบิณฑบาตเสร็จหลวงตาก็แบ่งซาลาเปากับข้าวเปล่า ทำให้ผมอิ่มไปอีก 2 มื้อเพราะแบ่งข้าวไว้กินตอนบ่ายอีก ต้องโคตรประหยัด ฮ่าๆๆ
หลังจากนั้นหลวงตาก็เขียนแผนที่การจุดท่องเที่ยวในอำเภอนี้ให้ ที่นี้ไกลความเจริญเอามากๆ สัญญาณเน็ตแทบไม่มี ผมเดินทางนี้แทบจะด้วยวิธีอนาล็อกเลยคือใช้วิธีถามทางชาวบ้านเอา ฮ่าๆๆๆ
แผนที่ๆหลวงตาวาดให้ น่ารักดี ฮ่าๆๆ
ที่นี่คืออุโมงค์เลียงทอง ว่ากันว่าแต่ก่อนนั้นเจ้าอนานิคมทางยุโรปอะไรนี่แหละใช้ที่นี่เป็นที่ลำเลียงทองคำออกไปทางมาเลเซีย แต่ปัจจุบันนี้อุโมงนี่ตันไปแล้วเพราะเขาลุกนี้เป็นเขตแดนไทยมาเลเซีย เดินไปไม่เท่าไหร่คือทะลุไปมาเลเซียได้เลย
ชุดชมวิวทะเลหมอกพระธาตุภูเขาทอง แต่ไม่มีหมอกเพราะผมมาสายและจะมาซ่อมโดยการชมหมอกในเช้าของอีกวันนึง สันเขาข้างหน้านุ่นคือเขตแดนไทย - มาเลเซียแล้ว
และหลังจากผมกลับจากการขับรถตระเวนเที่ยวจนถึงวัดในช่วงบ่ายๆ มันก็มีถึงไคลแมตของที่นี่คือการร่อนทอง ต้องท้าวความก่อนเลยว่าคนที่นี่นั้นมีอาชีพหลักๆด้วยกันสองอย่าง คือชาวสวนชาวไร่ กับร่อนทองขาย ด้วยเหตุผลที่ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ฝนตกชุก มีความชื้น อากาศเย็นทั้งปี ทำให้บางช่วงนั้นไร่สวน ไม่มีผลผลิต เลยต้องร่อนทองขายเป็นอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว และผมอยากบอกว่านี่เป็นอะไรที่ผมอึ้งสุดๆ หลวงตาตัดดินแถวๆวัด ย้ำว่าดินครับดินแดงแถวๆวัดนี่แหละ แล้วเอาลงไปใส่กระทะไม้ร้อนในลำธาร ออกมาเป้นทองคำบริสุทเลย หรืออาจจะตักดินจากในลำธารก็ได้ครับ ร่อนขึ้นมาเป็นเกร็ดทองคำขึ้นมาเลย และนี้แหละคือเหตุผลว่าที่นี่ได้ชื่อว่าตำบลภุเขาทองเพราะ ในดินที่นี่ที่ไหนก็มีทองครับ ยิ่งฟังเรื่องเล่าอีกว่าเมื่อซัก 20 ปีก่อนแถวๆนี้บางทีเดินไปข้างทางนี่ทองคำอยู่ตามพื้นนี่เป็นเม็ดเลยตั้งแต่สมัยทองละ 400 บาท ผมพลันคิดในใจถ้าเป็นทุกวันนี้คนที่นี่รวยเละแน่ฮ่าๆๆๆ
ป้าลันร่อนทองให้ดู มันออกมาเป็นทองจริงๆเลย
ที่ผมไปดูป้าลันร้อนทองกันเสร็จในช่วงบ่ายแล้วก็นอนพักที่ศาลาวัดจนถึงช่วงเย็น เพื่อที่จะเดินทางไปตามนัดกินข้าวที่ต้องท้าวความก่อนว่ายายนงค์นั้นได้มาเชิญชวนผมแต่เช้าแล้วซึ่งตอนแรกผมก็จะปฏิเสธ ทว่ามันกลับเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่เราจะได้คุยกับคนพื้นที่อย่างจริงจังซึ่งผมประเมินด้วยความรู้สึกคร่าวๆ ยายนงค์นั้นต้องเป้นชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่มาตั้งรกรากแน่นอน ซึ่งในที่สุดมันก็เป็นอย่างที่ผมคาดจริงๆ
ลุงศร ป้าลัน กับ ยายนงค์ กับข้าววันนี้อร่อยมากๆ
หลังจากค่ำคืนที่แสนมีความสุขตลบอบอวนไปด้วยบรรยากาศที่เป้นมิตรและอาหารที่อร่อยถูกปากมากๆ เช้าวันถัดมานั้นผมรีบออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดไปที่จุดชมวิวทะเลหมอกวัดภูเขาทองอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะไปสัมผัสกับบรรยากาศหมอกยามเช้าให้ได้แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ นับเป็นการชมหมอกที่ไกลบ้านสุดๆ ฮ่าๆๆๆ
หมอกล้นๆ ได้เจอพี่ๆกรุ๊ปนึงที่มาจาก กทม ด้วย
เจดีย์วัดภูเขาทอง มีพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ใต้สุดของประเทสไทย
หลังช่วงชมทะเลหมอกช่วงเช้าเสร็จช่วงสายๆผมก็กราบลาหลวงตาเพื่อเดินทางต่อไปยังอำเภอสุไหงโก-ลก แต่ระหว่างทางไปนั้น
ผมมีโอกาสได้แวะหาพี่ที่รู้จักกันในเฟสที่คอยทาบทามตลอดว่าผมมาถึงไหนแล้ว ผมเลยไม่พลาดที่จะแวะไปทักทายพี่เค้าที่อำเถอสุไหงปาดี
มัวแต่คุยกันเพลิน ผมนี่ลืมถามชื่อแซ่เลย เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักครับ
และด้วยความที่ได้มาที่นี่ผมก็มีโอกาสได้แวะไปชมน้ำตกฉัตรวารินที่อยุ่ในตัวอำเภอที่ทำให้ผมต้องสงสัยว่าทำไมน้ำตกสวยๆแบบนี้คนมาเที่ยวน้อยจัง
น้ำตกฉัตรวาริน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส
หลังจากแวะเที่ยวน้ำตกเสร็จผมก็ออกเดินทางไปสุไหงโก-ลก ทว่า 30 นาทีผ่านไปขณะที่ผมกำลังจอดรถเพื่อจะเข้าไปถ่ายรูปกับป้ายสถานีสุไหงโก-ลก ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่ต่างรุมล้อมจ้องมองมาที่ผมจนทำให้ผมต้องหันขึ้นไปสบหา เลยเห็นเป็นเหล่าวินมอเตอร์ไซค์ประจำสถานีรถไฟ ไม่รอช้าผมรีบวิ่งแจ้นเข้าไปยกมือไหว้ทักทายขอถ่ายรูปกันยกใหญ่ ก่อนจะลากันแล้วออกเดินทางต่อไปยัง อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส
ในที่สุดตอนนี้ผมก็มาถึงที่เกาะยาวอำเภอตากใบซึ่งเป็นหาดทรายสุดท้ายของประเทศ ณ ชายแดนภาคใต้ และจากที่ผมเคยได้ยินมาคือเค้าใช้ที่นี่เป็นที่ๆดูแสงแรกของปี เพราะว่าที่นี่จะเห็นแสงอาทิตย์ที่แรกของประเทศ เห็นก่อนอำเภอโขงเขียม จังหวัดอุบลราชธานีอีก
สะพานคอยร้อยปี สะพานนี้ใช้ข้ามระหว่างเกาะยาวกับแผ่นดินใหญ่ ข้างหน้าฝั่งนู้นในรุปคือแผ่นดินใหญ่ครับ
หลังจากจากออกจากเกาะยาวในช่วงบ่ายแก่ๆ ผมก็เดินทางต่อไปที่ตัวเมืองนราธิวาสเพื่อเข้าพักที่อุทยานแห่งชาดิหาดอ่าวมะนาว
วิวระหว่างเดินทาง
เช้าวันนี้ผมตื่นแต่เช้าแล้วคว้ากระเป่ากล้องออกไปสัมผัสบรรยากาศยามเช้าแล้วก็ถ่ายรูปที่หาดอ่าวมะนาว
น่าเสียดายมาโดนช่วงมรสุมทะเลพัดขยะขึ้นมาเต็มหาดทราย น้ำทะเลก็ไม่ใสเหมือนปกติ
ต้นสนร้อยปีหาดอ่าวมะนาว
แถมช่วงสายๆ จนท.อุทยานที่ผมคุยกันจนสนิทก็ยังพาไปสวนสนใกล้ๆหาดที่ผมว่าอันซีนมากๆ เหมาะสำหรับพาสาวมาถ่ายรุปมากๆ
สวนสนที่อยู่ใกล้ๆหาดอ่าวมะนาว อันซีนมากกถ้าสนใจลองถามกับทาง จนท.อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาวได้
แบยีกับแบฮัม จนท.อุทยานที่คุยกันจนสนิทแล้วก็พาผมไปเลี้ยงทั้งข้าวทั้งน้ำชา ดูแลผมดีมากๆ ฮ่าๆๆ
ถึงช่วงบ่ายของวันหลังจากที่ถ่ายรุปสวนสนเสร็จผมก็นั่งสไลไลฟ์อยู่ระหว่างรอฝนหยุดตกด้วย สุดท้ายก็ต้องออกเดินทางต่อไปยัง จ.ปัตตานีซึ่งที่นี่ผมเองก็ไมไ่ด้เที่ยวอะไรเพราะว่าอยู่ในช่วงขากลับแล้วต้องทำเวลาเพื่อกลับ กทม. ก็จะมีแต่รุ่นพี่เท่านั้นที่พาขับเที่ยวช่วงเย็นๆในเมืองปัตตานี
วันนี้ขับวินเที่ยวมีแบโตพาเที่ยว
และเรื่องราวหลังจากเย็นวันนี้ก็คือช่วงเวลาของการชิลล์ ชิลล์ยาวไปอีกวันนึงทั้งวัน ไปนั่งจิบชาร้อน แล้วก็กินโรตีกับกือโป๊ะ(ชื่อเรียกมากฮ่าๆ)แถวๆหน้าม.สงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานีก่อนจะเริ่มออกเดินทางขับกลับไป กรุงเทพในวันถัดไป
และหลังจากนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางกลับกรุงเทพที่ผมใช้เวลาทั้งหมด 3 วันซึ่งเวลาส่วนใหญ่เป็นการขับรถ นอกนั้นก็จะแค่แวะจุดเที่นวนิดๆหน่อยแวะหาทักทายเพื่อนที่รู้จักบางคนที่อยุ่ระหว่างทาง
เริ่มด้วยวันแรกผมอำลา แบโตกับแม่แบโต บ้านรุ่นพี่ที่ผมมาพำนักเพื่อออกเดินทางต่อไปยัง จ.สุราษฯ แต่ระหว่างนั้นผมแวะหารุ่นพี่คนนึงที่ จ.พัทลุงด้วยแถมช่วงเย็นยังแวะไปถ่ายรุปที่สะพานเอกชัย อันโด่งดังของพัทลุงอีก ก่อนจะซัดไปถึงบ้านรุ่นพี่อีกคนที่สุราษฯในช่วงกลางดึก วันนี้นับเป็นวันที่ขับรถโหดมกาเกือบ 500 กิโลเมตรในวันเดียว
เห็นป้าย กรุงเทพละท้อ ฮ่าๆๆๆ
ระหว่าางทางแวะหาพี่ปึ้งที่พัทลุงด้วย
ช่วงเย็นๆแสงสวยเลยแวะมาถ่ายรูปที่สะพานเอกชัยสักหน่อยแต่ถ่ายได้ไม่นานฝนก็เทลงมา บิดหนีฝนกันสนุก
เช้านี้ผมตื่นขี้นมาในช่วงสายที่บ้านของพี่ต้นที่เป็นฝาแฝดกับพี่ต่อ(คนในรูป) ที่ผมต้องแวะมาที่นี่ก็เพราะว่าในช่วงที่ออกจาก กทม มานั้นผมลืมขาตั้งกล้องไว้ที่บ้าน ทำให้ต้องมายืมขาตั้งกล้องพี่ต่อและวันนี้วนกลับมานี่อีกครั้งขาตั้งกล้องก็ต้องกลับคืนเจ้าของ ขอบคุณมากๆครับ
คืนขาตั้งกล้องกลับสุ่เจ้าของ ฮ่าๆๆ
หลังจากเวลาเลยมาถึงช่วงเที่ยงผมเดินทางต่อมายังชุมพรเพราะมีนัดหมายกับคนบ้าคนนึง เค้าเป็นเพื่อนผมเองแต่ทว่ามันบ้ามากๆ ไอคนๆนี้มันใช้เงินแค่ 140,000 บาทเท่านั้นเดินทางไปได้ครึ่งโลก มันเป้นเพื่อนคนนึงที่ผมเองยอมรับนับถือในความบ้ามากๆ แล้วถ้าเผื่อใครอยากได้ตามมัน
ลองไปตามลิงค์นี้เลยได้ครับ https://web.facebook.com/HATANGTEAWROBLOK เพจหาตังค์เที่ยงรอบโลก มีตอนนึงที่ผมประทับใจมากคือมันไปเป็นครูอาสาสอนเด็กยากไร้ที่แอฟริกา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมยอมรับนับถือมากจริงๆ
คนบ้ากับคนบ้ามาเจอกัน ฮ่าๆ
คืนนี้พวกเรามากางเต็นท์นอนที่หาดทรายรี เรียกได้ว่าเป็นหาดสาธารณะเลยครับ ไม่มีห้องน้ำด้วย ฮ่าๆ เหมือนนอนข้างทางอ่ะ แต่ทว่าก็เต็มไปด้วยความสุขคืนนี้ไอน๊อตเพื่อนผมทำแกงส้มปลาทูกับใบเหลียงผัดไข่นั่งกินกันสองคนท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลโคตรฟินส์
บรรยากาศดีกับแกงส้มร้อนๆ = ฟินส์
ในส่วนของวันสุดท้ายนั้นเช้ามาพวกเราเก็บของแยกย้ายกันเด้นทางต่อในช่วงสายๆ วันนี้ผมขับรถยาวจาก ชุมพรถึงเพชรบุรีเพื่อไปยังจุดแวะสุดท้ายที่เพชรบุรีซึ่งมีรุ่นพี่ที่สนิทกันมากๆ พาผมทัวร์กินของอร่อยแทบจะรอบเพชรบุรีเลยก็ว่าได้ ซึ่งในครอบครัวผมเองนั้นผมเป็นพี่คนโตสุด ทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับพี่ๆเหล่านี้เหมือนเป็นพี่แท้ๆ เลย ฮ่าๆๆ ขอบคุณมากครับ
จุดพักรถเพชรบุรี ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คนและของกิน ฮ่าๆๆ
ถึงบ้านแล้วว คนตายก่อนรถ ฮ่าๆๆ
และในที่สุดในช่วงบ่ายๆของวันถัดมาผมก็เดินทางกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย เป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่า 20วัน19คืนที่หายออกไปจากบ้านคนแถวบ้านเกือบหน้า คนที่วินด้วยก็เช่นกันฮ่าๆๆ และนี้คือเรื่องราวคร่าวๆตลอดการเดินทางของผมครับ ใครสนใจอยากติดตามรูปภาพเพิ่มเติมหรือเรื่องราวเต็มๆ ไปดูในเพจของผมได้ครับ เพจ ขับวินเที่ยว หรือไปตามลิงค์นี้ https://web.facebook.com/khabwintiaw
โฆษณา