10 พ.ค. 2021 เวลา 04:22 • ปรัชญา
พัฒนาการของเตียวหุย
คนเก่งขึ้น องค์กรแกร่งขึ้น ชีวิตก้าวหน้าขึ้น
3 เกลอพี่น้องร่วมสาบาน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
เตียวหุยน้องเล็ก มักก่อปัญหาให้เล่าปี่พี่ใหญ่ปวดหัวเป็นประจำ
บ่อยครั้งกวนอูพี่กลางก็ตำหนิเตียวหุยถึงปัญหาที่ได้ก่อไว้
ปัญหาแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น มักมาจากการที่เตียวหุย
มีนิสัยชอบดื่มเหล้าจนเมาขาดสติ แล้วอาละวาด เฆี่ยนตีทหาร
โดยเฉพาะตอนที่เล่าปี่เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋ว
แล้วตัวเองกับกวนอูต้องยกทัพออกไปรบกับอ้วนสุด
และให้เตียวหุยอยู่ดูแลเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่กำชับเตียวหุยนักหนาว่า อย่ากินเหล้าจนเสียงาน
เตียวหุยรับปากและให้สัญญากับเล่าปี่เป็นมั่นเป็นเหมาะ
พอตกกลางคืนเตียวหุยเลยจัดฉลองทิ้งทวน
เมาจนได้ที่ ขาดสติ ดันเผลอไปเฆี่ยนตีโจป้าพ่อตาลิโป้
ลิโป้โกรธมาก จึงยกทัพยึดเมืองชีจิ๋ว
เล่าปี่จึงเสียเมืองชีจิ๋วให้ลิโป้อย่างง่ายดาย
ซ้ำยังเมียทั้งสองคนของตัวเองก็ติดอยู่ในเมืองด้วย
ส่วนเตียวหุยหนีออกจากเมืองชีจิ๋วมาได้
ด้วยการที่ยอมรับและสำนึกในความผิดของตัวเอง
จึงไปสารภาพความผิดกับเล่าปี่และกวนอู
พี่ทั้งสองคนตำหนิและผิดหวังในตัวเตียวหุย
จนเตียวหุยชักกระบี่ออกมา หวังจะชดใช้ความผิดด้วยชีวิต
แต่เล่าปี่ห้ามไว้ได้ทันก่อน แล้วพอทั้งหมดสงบสติอารมณ์ได้แล้ว
เล่าปี่และกวนอูก็ให้อภัยเตียวหุย
จากนั้นพี่น้องทั้ง 3 คน ก็ไปเจรจรกับลิโป้
แล้วทั้ง 3 เกลอพี่น้อง ก็ได้มาอยู่ที่เมืองเสียวพ่ายต่อไป
เล่าปี่กับกวนอู ไม่เคยเกลียดเตียวหุยเลย ให้อภัยทุกครั้ง
พอเตียวหุยสร้างปัญหาขึ้น พวกเขาก็ยอมรับและช่วยกันแก้ปัญหา
จนปัญหาทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
แต่หลังจากนั้นเตียวหุยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
รู้จักวางแผน หลอกล่อข้าศึก ไม่ใช่กำลังเพียงอย่างเดียว
เช่น เหตุการณ์ที่ทัพเล่าปี่หนีการตามล่าทัพโจโฉ
จนถึงสะพานเตียงปันเกี้ยว
เตียวหุยยืนม้าสกัดทัพใหญ่ของโจโฉอย่างกล้าหาญ
มองออกไปที่แนวป่าข้างหลัง จึงคิดอุบายให้ทหาร 2 กอง
กองหนึ่งวิ่งจากซ้ายไปขวา อีกองหนึ่งวิ่งจากขวาไปซ้าย
ให้ฝุ่นตลบ แสร้งทำให้เห็นว่ามีกองทหารซุ่มอยู่
พอทัพใหญ่โจโฉยกมาถึงก็เห็นเตียวหุยยืนม้าเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
พอโจโฉมองไกลออกไป ก็เห็นฝุ่นตลบตามแนวป่าข้างหลังเตียวหุย
ทำให้เข้าใจว่าเตียวหุยมีกองทหารซุ่มอยู่
จึงสั่งให้ถอยทัพกลับไป ทำให้ทัพเล่าปี่มีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น
อีกวีรกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้เตียวหุย คือ
หลังจากที่บังทอง กุนซือของเล่าปี่เสียชีวิต
ทำให้ขงเบ้งต้องยกไปช่วยเล่าปี่ยึดเสฉวน
จึงเดินทางแยกออกเป็น 2 สาย
สายแรกมีขงเบ้งกับจูล่ง เดินทางผ่านแม่น้ำ
สายที่สองมีเตียวหุย เดินทางผ่านเส้นทางปกติ
สายของใครไปถึงเล่าปี่ก่อนจะมีความชอบ
ปรากฏว่าเตียวหุยกำชับกับทหารของตัวเอง
ห้ามดื่มเหล้า มีระเบียบวินัยเคร่งครัด ไม่ปล้นชิงของชาวบ้าน
ทำให้ได้รับความชื่นชมและความร่วมมือจากชาวบ้าน
รวมทั้งแม่ทัพประจำด่าน ๆ ต่าง เป็นอย่างดี
จนมาถึงเมืองปากุ๋น ที่มีแม่ทัพเงียมหงันดูแลอยู่
 
แม่ทัพเงียมหงันไม่ใช่นักรบที่จะเอาชนะได้ง่าย ๆ
เตียวหุยให้ทหารออกไปด่าหน้าค่ายทุกวี่ทุกวัน
เงียมหงันก็เฉยไม่ออกมาประมือด้วย
ทำให้ขัดใจเตียวหุยมากจนหงุดหงิด
เงียมหงันให้คนของตัวเองแสร้งเข้ามาสอดแนมในทัพเตียวหุย
เตียวหุยรู้ทัน จึงแสร้งปล่อยข่าวลวงให้คนของเงียมหงัน
ว่าคืนนี้เตียวหุยจะยกทัพไปตามทางเล็กอ้อมปากุ๋นไป
เงียมหงันจึงซ้อนแผนโดยการยกทัพลอบโจมตีทัพเตียวหุย
แต่เตียวหุยก็ซ้อนแผนเงียบหงันอีกชั้นหนึ่ง
โจมตีตลบหลังทัพเงียมหงัน จนจับเป็นได้
เตียวหุยเรียกเงียมหงันเข้ามาสอบสวนและสั่งประหาร
เงียมหงันก็หัวเราะ แล้วพูดว่า
"เสฉวนมีแต่แม่ทัพยอมหัวขาด ไม่มีแม่ทัพยอมแพ้"
เตียวหุยเห็นถึงความกล้าหาญเด็ดเดียวของเงียมหงัน
จึงแก้มัดแล้วขอให้เงียมหงันร่วมมือกับเล่าปี่
เพื่อปราบโจรกบฏและช่วยการฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น
จากนั้นจึงยกทัพผ่านด่านต่าง ๆ ที่เหลือ อย่างง่ายดาย
และไปถึงเล่าปี่ก่อนสายของขงเบ้งกับจูล่งเสียอีก
นี้คือผลงานชิ้นโบว์แดงของเตียวหุย
ได้ทั้งเงียมหงันมาเป็นพวกและชนะสายของขงเบ้งได้
ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเตียวหุย
ที่เก่งแต่ใช้กำลัง ใจร้อน ชอบเมาอาละวาด
ก่อปัญหาอยู่บ่อย ๆ จะมีการพัฒนาที่ดีขึ้นถึงขนาดนี้
นั้นเป็นเพราะทุกครั้งที่เตียวหุยก่อปัญหา
เขายอมรับผิดและสำนึกผิด
พร้อมที่จะปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาตัวเอง
นอกจานี้เล่าปี่ได้ให้อภัยและโอกาสในการแก้ตัว
ทำให้เตียวหุยระวังตัวเองมากขึ้น
เพื่อที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
อีกทั้งยังมีคนเก่งอย่างขงเบ้งเป็นไอดอล
ทำให้เตียวหุยเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากขงเบ้งมากมาย
สรุปปัจจัยที่ทำให้เตียวหุยเก่งขึ้นคือ
1. ตัวเตียวหุยเอง ที่ยอมรับข้อเสียของตัวเอง
และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข และพร้อมพัฒนาตัวเอง
2. มีเจ้านายดีให้ที่โอกาสลูกน้องอย่างเล่าปี่
3. มีเพื่อนร่วมงานเก่งอย่างขงเบ้ง
แต่ถ้าเตียวหุยไม่ปรับปรุงตัวเอง เล่าปี่ไม่ให้โอกาส
ไม่เรียนรู้งานจากขงเบ้ง
บางทีเตียวหุยก็คงเป็นได้แค่ขุนพลธรรมดาที่เก่งแต่สู้รบอย่างเดียว
คงจะไม่ได้เป็น 1 ใน 5 ทหารเสีอของเล่าปี่
การที่องค์กรจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง
"คน" ถือเป็นเฟืองจักรสำคัญ
ตัวชี้วัดที่บอกว่า คนเก่งขึ้นนั้น เช่น
งานชิ้นนึงใช้เวลาทำน้อยลง
เวลาเท่าเดิมได้ชิ้นงานมากขึ้น
คนนึงทำได้หลายอย่าง (Multi Skill) ทำให้จ้างคนน้อยลง
โปรเจ็คนึงใช้คนน้อยกว่าเดิม เป็นต้น
การที่คนเก่งขึ้นจะทำให้มีต้นทุนด้านบุคลากรน้อยลง
เพราะใช้คนคุ้มมากขึ้น
และการพัฒนาคนให้เก่งก็ใช้ทุนน้อยกว่า
การที่จ้างพนักงานใหม่ในงานเดิมด้วย
ปัจจัยที่ทำให้คนเก่งขึ้นก็ไม่ต่างกับกรณีของเตียวหุย
1. "คน" มีทัศนคติที่ดี ผิดแล้วยอมรับ และพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง
2. เจ้านายใจกว้างให้โอกาส
3. มีเพื่อนร่วมงานเก่ง มีรุ่นพี่เป็นแบบอย่างที่ดี มีรุ่นน้องที่ให้เรียนรู้
แต่ถ้าองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา "คน"
มุ่งเอาแต่ยอดขาย ผลกำไร เพียงอย่างเดียว
ถึงแม้จะขายได้มียอดขายมาก
แต่ยอดขายที่ได้นั้นก็จะถูกค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงหักออกไป
ทำให้เหลือกำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ในมุมของตัวเราเองนั้น การพัฒนาตัวเองย่อมดีกว่าย่ำอยู่กับที่
เพราะทำให้เราเก่งขึ้น ทำได้หลายอย่างมากขึ้น
ชีวิตก็ก้าวหน้ามากขึ้น ส่งผลให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้น
ชีวิตมีทางเลือกมากขึ้น ตามไปด้วย
และถึงแม้เราจะเก่งขึ้นและใช้ความสามารถเพื่อองค์กร
แต่ความสามารถอยู่กับตัวเรา ไม่ใด้อยู่กับองค์กร
องค์กรใช้ความสามารถของเราได้ชั่วคราว
แต่เราใช้ความสามารถของตัวเองได้ตลอดไป
#เศรษฐศาสตร์
#สามก๊ก
#เตียวหุย
#พัฒนาตัวเอง
โฆษณา