10 พ.ค. 2021 เวลา 11:49 • ธุรกิจ
ชงเข้มๆ กับความแตกต่างของแก้วเบียร์ แต่ละชนิด เรียกว่าอะไรกันบ้าง ?
ทุกๆวันนี้เพื่อนๆสังเกตุไหมครับ ว่าแก้วเบียร์มันหลากหลาย? ในแต่ละร้านที่เราไปดื่มมักจะได้รับแก้วต่างชนิดกัน ในการรินเบียร์แต่ละครั้ง ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยเฉพาะการที่ เพื่อนๆไปร้านเบียร์ดีๆแล้วเลือกแก้วเบียร์แต่ละชนิดล้วนมีหลักการและเหตุผลที่ต่างกันไป
ดังนั้นแก้วเบียร์เลยต้องมีหลายประเภท Brew - ชง- มีข้อมูลเกร็ดความรู้มาฝากครับ ว่าแก้วเบียร์แต่ละประเภทที่คอเบียร์ไว้ใช้ดื่มเบียร์ มีประเภทไหนบ้าง เพราะว่าจะดื่มทั้งทีก็ต้องรู้จักประเภทแก้วมันไว้ก่อน และก็ฝากนะครับไม่ได้แนะนำหรือสนับสนุนให้ดื่มเยอะๆ จนขาดสตินะครับ ดื่มให้กึ่มๆพอ 555+ เพื่อชีวิตคุณและคนที่คนรักครับ้าพร้อมแล้วไปชงเข้มๆ กันเลย
2
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมการดื่ม เบียร์บางชนิด มีจุดเด่นอยู่ที่กลิ่น หรือ ครีมฟอง เบียร์บางชนิด มีจุดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่ายของการดื่ม หรือ เน้นสำหรับการดื่มเพื่อเข้าสังคม ความแตกต่างระหว่าง วัฒนธรรมการดื่ม ความสะดวกสบาย และ ความทันสมัย หรือเอกลักษณ์ของแบรนด์เพื่อการค้า ที่ถูกพัฒนากันมาเรื่อย ๆ
ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเล็ก ๆ ที่ทำให้รูปแบบของแก้วเบียร์มีความแตกต่าง และ หลากหลายมากขึ้น
Tapered Pilsner, Snitfer  และ Weissbier
1.Tapered Pilsner
เป็นแก้วเบียร์ที่มีลักษณะสูงโปร่งบาง ซึ่งจริงๆ ก็จะมีไซส์ และรูปแบบที่หลากหลายอยู่เหมือนกัน ทั้งนี้ลักษณะก็คือจะเน้นความสูงและเพรียวของตัวแก้ว และเป็นแก้วที่นักดื่มเบียร์ในประเทศกลุ่มยุโรปและอเมริกันนิยมใช้ดื่ม และ Pilsner เหมาะกับเบียร์หลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น Light Beer,Lager, American Pale Ale และอีกมากมาย อย่างไรก็ดีการใช้ส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่ Lager นั่งเอง
1
2. Snitfer
แก้วเบียร์ Snitfer หรือที่บางคนอาจเรียกว่าแก้ว Balloon ซึ่งเป็นแก้วที่หลายครั้งหลายหนเราก็จะเห็นเขาใช้กับการดื่มบรั่นดี หรือคอนยัคด้วยเช่นกัน โดยจุดเริ่มต้นของการใช้แก้วเบียร์ประเภทนี้เริ่มต้นขึ้นและเป็นที่นิยมในประเทศเบลเยี่ยม และเป็นแก้วที่เหมาะกับการทำ Stir เบียร์ให้ได้กินอโรม่าจากตัวเบียร์มันเอง ดังนั้นเหมาะกับเบียร์ที่มีรสแรงอย่างเช่น Belgian ales และ Double IPAs เป็นต้น
3.Weissbier
นี่เป็นแก้วเบียร์อีกหนึ่งแบบที่เราเห็นได้ทั่วไป และก็มีลักษณะใกล้เคียงกับแก้วเบียร์ Plisner แต่จะมีความต่างตรงความอ้วนที่ปากแก้ว โดยประวัติศาสตร์เริ่มแรกแล้ว แก้วชนิดนี้ทำขึ้นเพื่อ wheat beer (Weizenbier) ซึ่งปากแก้วของมันช่วยทำให้เกิดฟองหนานุ่มสร้างกลิ่นของ wheat beer เพิ่มอรรถรสให้กับการดื่ม ดังนั้นมันจึงเหมาะกับเบียร์ Weizenbock, Kristalweizen, Dunkelweizen Hefeweizen, และพวก wheat ale เป็นต้น
Mug , Nonic และ Bolleke Goblet
4.Mug
เป็นแก้วยอดนิยมอีกหนึ่งประเภทที่เห็นกันบ่อยในบ้านเรา เพราะใช้งานง่าย จับถือสะดวกสบาย อีกทั้งนังเหมาะกับเบียร์หลากหลายประเภท จึงไม่แปลกที่จะใช้งานกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มยุโรป เยอรมัน อังกฤษ และอเมริกา เพราะความหนาของตัวแก้วจะช่วยรักษาความเย็นของตัวแก้ว และการที่มันมีด้ามจับทำให้เราไม่ต้องใช้มืออุ่นๆ ในการจับแก้ว ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิเพิ่มไปอีก โดยเหมาะใช้กับเบียร์ประเภท German Lagers, American Lagers และ English Ales
5.Nonic
แก้วเบียร์ Nonic หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ Pint Glass เป็นแก้วสุดแบบบ้านๆขั้นพื้นฐานที่นักดื่มเลือกใช้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เห็นกันบ่อย โดยตามข้อมูลที่เราค้นคว้ามาคือ Nonic เป็นแก้วแบบ English Style ส่วน Pint Glass เป็นแก้วแบบ American Style แต่ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่แก้ว Nonic จะมีส่วนโค้งเว้าสไลด์เข้าไปในปากแก้วเล็กน้อย โดยแก้วทั้งสองแบบนั้นเหมาะที่จะใช้กับเบียร์ lager ทั้งคู่ ซึ่งถ้าอย่าง Pint ก็จะใช้กับ IPA และ Stout ด้วย ในขณะที่ Nonic ก็จะใช้กับ English Ale นั่นเอง
6.Bolleke Goblet
Goblet หรืออาจเรียกว่า Chalice จะเป็นแก้วที่เราจะได้เห็นสีสันและเฉดสีของเบียร์ที่แลดูสวยงามและอิ่มเอิบ ซึ่งมีการออกแบบที่ทำให้ฟองของเบียร์ได้ความหนาที่พอดี ไม่เยอะ ไม่น้อยจนเกินไป โดยเฉพาะเมื่อทำการรินเบียร์อย่างถูกต้อง โดยตัวแก้วจะมีลักษณะใหญ่เหมือนชาม ดังนั้นจึงเหมาะกับเบียร์ประเภท Imperial IPA or Stout, Belgian ale, Belgian IPA และ German Bocks
7.Tulip
แก้ว Tulip เป็นอีกแบบหนึ่งที่ดูสวยงามและเรียบหรู นอกจากรูปทรงที่สวยงามแล้ว ตัวแก้วนั้นยังสามารถช่วยขับกลิ่นของ Hop และ Malt ในเบียร์ออกมา ทำให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับ Goblet และ Snitfer มากเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็มีแก้วอีกประเภทที่ดูคล้ายๆ กับ Tulip ก็คือ Thistle ซึ่งไว้ใช้ดื่มกับเบียร์แบบ Scottish Ale ในขณะที่ Tulip นั้น เหมาะกับเบียร์เข้มๆ อย่าง Double / Imperial IPA, Belgian Strong Dark Ale นั่นเอง
8. Shaker
แก้ว Shaker หรือเรียกอีกอย่างว่า American Pine มีความจุเยอะ ถือสะดวกง่ายๆ เหมือนแก้วน้ำดื่มธรรมดา นิยมมากในอเมริกาใช้งานได้สะดวก เหมาะกับ Lager ทุกประเภท
9.English Tulip Pint
แก้ว English Tulip Pintเป็นแก้วที่ใช้งานง่าย ช่วยรักษาครีมฟอง จับถือสะดวกสบาย ชาวไอริช นิยมใช้กันตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 19 ใช้ดื่มเบียร์ดำ Guinness
ตัวอย่างแก้วเบียร์ที่ผมนำมาใช้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับตามจริงมีเยอะกว่านี้มากแล้วแต่วัฒนธรรม ของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ หากใครอยากอ่านต่อ เราก็มีบทความ มานำเสนอ ให้เพิ่มเติมนะครับ
เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับแก้วเบียร์ ว่ามีที่มาอย่างไร
ย้อนกลับไปภาชนะสำหรัใส่เครื่องดื่ม มีมาตั้งแต่สมัย 2,400 ปีก่อนคริสตกาลแล้วละ เพื่อนๆ หลายคนอาจมีคำถามว่า เบียร์ มันมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ 20,000 กว่าปีก่อนคริสตกาล แต่แล้วทำไมภาชนะรองน้ำเบียร์ ถึงได้มาคิดค้นเอาช้าขนาดนี้
ก็เพราะว่า
เรื่องราวของแก้วเบียร์แก้วแรก มันถูกบันทึกเอาไว้ เมื่อ 2,400 ปีก่อนคริสตกาล
โดยแก้วเบียร์แก้วแรกของโลก ถูกบันทึกไว้ในชื่อว่า “The Golden Tumbler of Lady Puabi” ซึ่งถ้าอธิบายลักษณะให้เห็นภาพ ให้ลองนึกถึงแจกันใส่ดอกไม้ทรงกระบอก แต่มีปากแก้วที่กว้างออกไป และ มีสีทองอร่าม ซึ่งแก้วเบียร์นี้ ถูกคิดค้นและสั่งทำพิเศษขึ้นมา ให้กับ Lady Puabi หรือ ราชินีพูบิ ซึ่งเป็น ต้นกำเนิดของราชวงศ์อูร์ หรือ เออร์ ราชวงศ์แรกของชาวสุเมเรียนในสมัยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ต่อมาแก้วเบียร์ ก็ได้ถูกพัฒนาตามอารยธรรมโบราณเรื่อย ๆ มา โดยเฉพาะในยุคกลาง ที่เน้นศิลปะการประดิษฐ์แก้ว ในรูปแบบเครื่องปั้นดินเผา หรือ การนำเอาทองมาชุบ เพื่อแสดงฐานะต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น “Mediecal Ceramic Jug” ของชาวอังกฤษในยุคสมัยกลาง. หรือ “Golden Chica Vessel” ของเมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
จนกระทั่ง มาถึงในยุคสมัยใหม่ขึ้น ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1700 เป็นต้นไป
แก้วเบียร์ ที่มีลักษณะหรูหรา เน้นไปที่การดีไซน์ และ ฟังชันก์ที่ทำให้รสชาติเบียร์มีความอร่อยมากขึ้น กลิ่นหอมมากขึ้น ก็ได้ปรากฎออกมาให้เห็นกัน และยิ่งกาลเวลาผ่านไปมากเท่าไร เบียร์ ก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลก และ เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง กับ เครื่องดื่มที่สร้างความสุข “แก้วเบียร์” ในสมัยใหม่ จึงได้คลอดออกมา ตามๆกันไป. โดยลักษณะของแก้วเบียร์สมัยใหม่ จะต้องมีการเน้นในเรื่องของความสะดวกสบาย จับได้กระชับ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง. รวมถึงการรักษาปริมาณและคุณภาพ ของครีมฟอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเบียร์ อีกด้วยเช่นกัน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการพัฒนาในช่วง ปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา คือ พอเบียร์เริ่มเป็นที่นิยม เช่น ข้ามไปฝั่งอเมริกา มาฝั่งเอเชียการค้าต่างๆ ก็เริ่มมีการแข่งขันกัน
เหล่าผู้ผลิตเบียร์เอง ก็คงไม่สามารถที่จะแย่งชิงความได้เปรียบด้วยการผลิตคุณภาพ หรือ เอกลักษณ์ตามชนิดของเบียร์ แต่เพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เรื่องราวของแก้วเบียร์ ก็สำคัญเช่นกันเสมือนกับการเพิ่มมูลค่าแบรนด์
หากเพื่อนชอบ แนวสรุปบทความดีๆแบบนี้มาติดตามชมกันใหม่ได้ครับ
เพจ Brew-ชง- ก็จะนำความรู้มาชงเข้มๆ ให้เพื่อนๆได้มาอ่านกันนะครับ
ผู้เขียน / เรียบเรียง : KRITTAPAS
โฆษณา