10 พ.ค. 2021 เวลา 14:54 • ข่าว
ราคารถยนต์กำลังมีแนวโน้มแพงขึ้น
เหตุต้นทุนการผลิตพุ่ง และความต้องการเพิ่มจากโรคระบาด
1
รถยนต์ในยุคนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ยานพาหนะที่พาผู้ขับขี่เดินทางไปไหนมาไหนเพียงเท่านั้น แต่เป็นเหมือนกับพื้นที่ของการใช้ชีวิตและที่ปลอดภัยสำหรับหลายคนที่ไม่ต้องการที่จะเดินทางปะปนร่วมกับคนอื่นๆ ในสถานการณ์ที่โรคระบาดกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกขณะนี้
ในช่วงปีที่ผ่านมาความต้องการรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าหลายคนจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่อัตราการออกรถยนต์ใหม่ยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิตที่อยากหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ หรือการใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ผู้คนหนาแน่น
แนวโน้มนี่น่าจับตาก็คือ ราคารถยนต์หลังจากนี้ไปจะมีโอกาสปรับตัวแพงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยการผลิตที่มีราคาเพิ่มขึ้น
ทองแดง เหล็ก และอลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในการผลิตเครื่องยนต์และตัวถังของรถ กำลังมีราคาพุ่งสูงขึ้นแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตวัสดุเหล่านี้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์ได้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg Commodity Spot Index ได้รายงานข้อมูลของสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 โดยเหล็กมีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาที่สุดถึง 21%
นักวิเคราะห์ของ JPMorgan Chase & Co. ประเมินราคาวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ได้เพิ่มขึ้น 83% ในปีจนถึงเดือนมีนาคม โดยทั่วไปแล้วชิ้นส่วนเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 10% ของค่าใช้จ่ายในการผลิตรถยนต์ ซึ่งหมายความว่าราคาสำหรับรถยนต์มูลค่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.24 ล้านบาท จะปรับราคาเพิ่มขึ้น 8.3% เพื่อชดเชยกับต้นทุน
ในส่วนของผู้ผลิตรถยนต์ก็กำลังประสบกับปัญหานี้เช่นกัน โดย จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด มอเตอร์ แสดงความกังวลว่า ราคาวัสดุสำหรับผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลายๆ อุตสาหกรรมก็แสดงความเป็นกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์นี้
ผู้ผลิตรถยนต์มักจะพยายามที่จะลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้มีส่วนต่างของผลกำไรที่มากขึ้น แน่นอนว่าช่วงนี้เป็นเหมือนโอกาสของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการออกรถมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอีกครั้ง รวมทั้งผู้คนจำนวนมากยังคงหลีกเลี่ยงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่ปัญหาการแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ทั่วโลกกลับขัดขวางโอกาสนี้ ทำให้สินค้าไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ ราคารถยนต์จึงมีราคาสูงขึ้น
ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกากำลังประสบปัญหาการจัดหารถยนต์ให้กับลูกค้า ทางแก้ไขในช่วงนี้คือบริษัทใช้วิธีการให้เช่าขับ หรือต้องหันไปซื้อรถยนต์มือสองจากการประมูลแทนที่จะเป็นรถใหม่
ปัจจัยหลักที่ทำให้ต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมคือ เหล็กที่จำเป็นสำหรับแชสซีเครื่องยนต์และล้อ เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดได้ใช้มาตรการลดปริมาณการผลิตลง เนื่องจากความต้องการใช้แร่โลหะในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นจาก
ส่วนการเพิ่มขึ้นของราคาทองแดงทำให้ต้นทุนของยานยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ดำเนินการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้น และรถยนต์ EV ก็ใช้ทองแดงมากกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาบเกือบ 3 เท่าครึ่ง เนื่องจากสายไฟที่ใช้ภายในจำนวนมากกว่า
ต้นทุนของทองแดงที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ EV โดยตรง เช่น Tesla และ Volkswagen ที่พยายามทำให้รถยนต์ EV สามารถแข่งขันด้านราคากับรถยนต์ทั่วไปได้
อีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่จะได้รับผลกระทบตามมา เนื่องจากแบตเตอรี่เป็นส่วนที่ใช้ทองแดงมากที่สุด ทำให้รถยนต์ EV อาจจะต้องปรับรูปแบบของแบตเตอรี่ไปใช้วัสดุอื่นๆ ทดแทนมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ใช้ลิเธียมโคบอลต์และนิกเกิลร่วมกัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 47% ในแต่ละเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ฟอร์ดและบีเอ็มดับเบิลยูได้ลงทุนด้วยงบประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ในเดือนนี้ เพื่อผลิตแบตเตอรี่ Solid Power ที่ทำงานกับเซลล์พลังงานได้โดยลดการใช้โลหะนำไฟฟ้าต่างๆ ลง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนชุดแบตเตอรี่ลดลง 10 เท่า
บีเอ็มดับเบิลยูคาดว่า จะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นถึง 1 พันล้านยูโร หรือราว 3.7 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ส่วนในระยะยาวบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อไม่ให้ราคาวัสดุมาเป็นปัจจัยบีบรัดการผลิต โดยตั้งแต่ปี 2568 ผู้ผลิตรถยนต์วางแผนที่จะออกแบบทางสถาปัตยกรรมใหม่ที่จะช่วยให้สามารถรีไซเคิลวัสดุ เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และพลาสติกเพื่อนำหลับมาสร้างรถยนต์ใหม่ได้
ก็คงต้องจับตารอดูกันต่อไปว่าสถานการณ์ของราคาวัสดุที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขาดแคลนอุปกรณ์สำคัญอย่างชิปเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาระบบของรถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และราคาของรถยนต์ที่ผู้บริโภคจะต้องแบกรับมากน้อยขนาดไหน
อีกทั้งจะเป็นอุปสรรคที่สะดุดการพัฒนารถยนต์ EV ที่กำลังเร่งให้ก้าวผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์พลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานไฟฟ้าจนกระทบต่อราคาขายที่ต้องการจะให้ใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไปจนทำให้การเปลี่ยนผ่านยิ่งช้าออกไปอีก
แต่ที่แน่ๆ ช่วงนี้หุ้นในกลุ่มบริษัทเหล็กพุ่งขึ้นติดๆ กันมาหลายวัน คงจะมีคนที่ดีใจที่ราคาหุ้นพุ่งแน่นอน
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจ ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
╚═══════════╝
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา