23 พ.ค. 2021 เวลา 00:21 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
"เจ้าพระยา original"
...อั ล ก อ ริ "ทึ่ ม"
บทความนี้เป็นการถอดสาระสำคัญ
จากเนื้อหาในสารคดีเรื่อง...
"The Social Dilemma"
สารคดีที่พูดถึงด้านมืดของ
..."Social Media"
จากผู้สร้างและผู้พัฒนาเอง
โดยข้อมูลที่ได้มาจากทั้งโปรแกรมเมอร์, นักพัฒนาแอพพลิเคชั่น, นักออกแบบผลิตภัณฑ์, อดีตผู้บริหาร ซึ่งหลายๆคน ตัดสินใจลาออกจากบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังทั้งหลาย เพราะกังวลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรม
1
บทสัมภาษณ์เปิดเผยให้เห็น"ด้านมืด" ของ"Social Media" ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง...
-"Social Media"ที่มีผลต่อสุขภาพจิต
(ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก)
-ข่าวปลอมที่เป็นภัยต่อสังคม
-เนื้อหาความรุนแรง
-ภาวะซึมเศร้าในเด็ก
-จำนวนวัยรุ่นที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเพิ่มมากขึ้น (เพราะอยากให้หน้าตัวเองเหมือนกับหน้าที่ตกแต่งผ่านแอพ)
-การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว
-การปลุกปั่นความเกลียดชัง
ทั้งความเชื่อ, ศาสนา, การเมือง
2
"ถ้ า คุ ณ ไ ม่ ไ ด้ จ่ า ย เ งิ น
เ พื่ อ ซื้ อ สิ น ค้ า
งั้ น คุ ณ ก็ เ ป็ น สิ น ค้ า เ สี ย เ อ ง"
2
ยุคแรกของซิลิคอนวัลเลย์ หลายๆบริษัทดำเนินธุรกิจแบบเรียบง่าย แค่ผลิตซอร์ฟแวร์, ฮาร์ดแวร์ มีพนักงานไม่กี่คน และทำงานกับคอมพิวเตอร์
แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาเหล่านั้น กลับทำธุรกิจ"ขายผู้ใช้งาน"
นี่คือคำกล่าวของ Roger Mcnamee
นักลงทุนหุ้นในซิลิคอนวัลเลย์
มานานกว่า 35 ปี
ในอินเตอร์เน็ต มีบริการมากมายที่เราคิดว่าใช้งานได้ฟรี...แต่เปล่า ผู้ลงโฆษณาต่างหากที่เป็นคนจ่ายเงินแทนเรา
พวกเขาจ่ายเงินเพื่อแลกเอาโฆษณามาให้เราดู แล้วบริษัทที่ลงโฆษณาได้อะไรล่ะ
สิ่งที่พวกเขาได้คือ ความสนใจของเรา
ความสนใจของเราคือสินค้า
ที่ถูกขายให้ผู้ลงโฆษณา
เมื่อพฤติกรรมและความสนใจของเรา
คือสินค้า เป็นสิ่งที่พวกเขาหาเงินได้จากมัน พวกเขาจึงพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมของคุณ ความคิดของคุณ สิ่งที่คุณเป็น มันเป็นการเปลี่ยนทีละน้อยด้วย...
"อัลกอริทึ่ม"
2
อาจจะพูดได้ง่ายๆคือ...
"หากคุณมีสิบล้านดอลล่าร์
แล้วทำให้คน 1 เปอร์เซ็นต์บนโลก
สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คุณต้องการ มันคงมหัศจรรย์มาก และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป"
"ทุ น นิ ย ม ส อ ด แ น ม"
มีการใช้คำว่า ทุนนิยมสอดแนม
กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
แกะรอยพฤติกรรมของผู้คนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพวกเขายังการันตีกับลูกค้า
ผู้ลงโฆษณาว่า...มันต้องประสบความสำเร็จ
ตอนนี้โลกของเราจึงมีตลาดขายอนาคตของมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่มากๆ และบริษัทเหล่านี้ ก็สามารถทำเงินได้เป็นล้านล้านดอลล่าร์ กลายเป็นบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ
ทุกครั้งที่เราออนไลน์
เราจะถูกจับจ้อง ตามรอย ประเมิน
และถูกบันทึก
ภาพไหนที่คุณหยุดดู หยุดดูนานแค่ไหน
การมีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆบนออนไลน์
2
พวกเขารู้ว่าตอนไหนใครเหงา
หรือใครเป็นซึมเศร้า
รู้ว่าคุณชอบเก็บตัวหรือชอบสังคม
คุณมีอาการทางจิตประเภทไหน
คุณเป็นคนประเภทไหน
รู้ว่าตอนดึกๆคุณทำอะไร
1
ข้อมูลเหล่านี้
ถูกป้อนเข้าสู่ระบบตลอดเวลา
และเป็นระบบที่ไม่มีมนุษย์ควบคุม (Ai)
ทุกอย่างที่เราทำ ทุกอย่างที่เราคลิก
ทุกวีดีโอที่ดู ทุกรูปที่เราไลก์
จะถูกนำไปสร้างเป็นโมเดลของตัวเราในโลกเสมือนจริง ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ระบบก็จะสามารถคาดเดาพฤติกรรมของเราในอนาคตได้มากเท่านั้น
1
บริษัทเทคโนโลยีจำพวกนี้
มีเป้าหมายหลัก 3 อย่าง...
1.ต้องการให้คุณมีส่วนร่วม และอยู่กับหน้าจอให้นานที่สุด
2.เพื่อให้คุณชักชวนเพื่อนมาให้ได้มากที่สุด และให้เพื่อนชวนเพื่อนไปเรื่อยๆเป็นลูกโซ่
3.และสุดท้ายคือนำโฆษณาให้คุณดู
และ 3 อย่างนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย
...ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI
"จิ ต วิ ท ย า ก า ร จู งใ จ"
นักพัฒนาในซิลิคอนวัลเลย์จะได้เรียนรู้วิชานี้กันหมด ว่าจะสร้างเทคโนโลยีอย่างไรให้จูงใจคนได้มากขึ้น
เทคโนโลยีการชักจูงคืองานออกแบบ
เมื่อต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมคน
ไม่ว่าจะเป็นการลากนิ้วลงเพื่อรีเฟรชหน้า
(ให้อารมณ์เหมือนการเล่นตู้ Slot )
การ tag รูป ถ้าหากคุณได้รับการแจ้งเตือนว่าเพื่อนของคุณแท็กรูปคุณ
แน่นอนคุณจะต้องคลิกเข้าไปดู (เหมือนไปวัดแล้วโดนถ่ายรูปติดจาน:ผู้เขียน)
2
เหล่านี้คือการออกแบบที่ใช้หลักจิตวิทยาเพื่อจะเจาะลึกไปในก้านสมองของคุณ และปลูกฝังนิสัยบางอย่างให้คุณเอาไว้ โดยมันจะป้อนคำสั่งในระดับที่ลึกลงไปโดยที่คุณไม่รู้ตัว
นี่คือเทคนิคในการออกแบบ
2
มีแผนกที่เรืยกว่า "โกรทแฮคกิ้ง"
เป็นทีมวิศวกรที่มีหน้าที่แฮคเข้าไปในจิตใจของมนุษย์เพื่อให้แอปเติบโต เพิ่มผู้ใช้งาน เพื่อการมีส่วนร่วม
ชามัธเป็นหัวหน้าฝ่ายการเติบโตของเฟสบุ๊คยุคต้นๆ เขาคือคนที่ในแวดวงเทคโนโลยีรู้จักกันดี
ชามัธเป็นผู้บุกเบิกกลยุทธ์กระตุ้นการเติบโตที่ทำให้เฟสบุ๊คเติบโตเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ และกลยุทธ์เหล่านั้นก็ได้กลายเป็นคู่มือขั้นพื้นฐานในซิลิคอนวัลเลย์
หนึ่งสิ่งที่เขาบุกเบิกคือ
การใช้หลักการทดสอบแบบสองตัวแปร
ในการปรับเปลี่ยนฟีจเจอร์เล็กๆ
บริษัทพวกนี้จะแอบทดลองเล็กๆกับเรา
ทำเราเหมือนหนูทดลอง
มันต้องการให้เราดูโฆษณาเพิ่ม
และมันก็จะได้เงินเพิ่ม
ชามัธกล่าวว่า...
เราต้องการหาคำตอบในเชิงจิตวิทยา
เราจะบงการคุณให้เร็วที่สุดได้อย่างไร
จากนั้นก็กระตุ้น"โดพามีน"ให้คุณ
ใช่...เรากำลังใช้จุดอ่อนจากจิตใจมนุษย์
มีเพียง 2 อุตสาหกรรม
ที่เรียกลูกค้าว่า "ผู้ใช้"
นั่นคือ "ยาเสพติด" กับ "ซอร์ฟแวร์"
"S o c i a l M e d i a"
เ ป็ น ย า เ ส พ ติ ด
เรามีความจำเป็นทางชีววิทยาพื้นฐาน
ที่ต้องเชื่อมต่อกับผู้อื่น
วิธีนั้นจะทำให้เกิดการหลั่งสารโดพามีนเป็นการตอบแทน
เป็นวิวัฒนาการหลายล้านปีมาแล้ว
เพื่อนำเรามารวมกันเป็นชุมชน หาคู่ ขยายเผ่าพันธุ์
แต่ในยุคของ "Social Media"
เราไม่ได้ถูกวิวัฒนาการให้เพื่อให้รับรู้สิ่งที่ 10,000 คน คิดกับตัวเรา
เราไม่ได้ถูกวิวัฒนาการให้เพื่อจะต้องรับรู้สังคมในทุกๆ 5 นาที
เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้เจอกับสิ่งเหล่านี้
วัยรุ่นอเมริกามีปัญหาโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นมหาศาล ช่วง 2011 ถึง 2013 จำนวนเด็กกว่า 100,000 คน ที่ต้องรับเข้าการรักษาตัว เนื่องจากกรีดข้อมือหรือไม่ก็ทำร้ายตัวเอง แต่หลังจากการเติบโตของ Social Media จำนวนก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 3 เท่า
และที่น่าตกใจกว่าคือ
เราเห็นรูปแบบการฆ่าตัวตายแบบเดียวกัน
1
เด็ก Gen Z หรือเด็กที่เกิดหลังปี 1996 เป็นต้นมา พวกเขาคือคนกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้ใช้โซเซียลในชั้นมัธยมต้น
คนรุ่นนี้วิตกกังวลมากกว่า เปราะบางมากกว่า ซึมเศร้ามากกว่า รับความเสี่ยงได้น้อยกว่า
1
บริการเหล่านี้กำลังฆ่าผู้คน
และทำให้คนฆ่าตัวตาย
ปัญญาประดิษฐ์พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วกว่าที่วิวัฒนาการของสมองเราจะตามทัน
หลายๆครั้งที่พูดเรื่องปัญญาประดิษฐ์
เรามักยกตัวอย่างจากหนังเรื่อง The Terminator หรือคนเหล็ก...เสมอ
(แสดงโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์)
หลายคนๆคงคิดว่า นั่นเป็นจินตนาการที่มนุษย์ในอนาคตถูกปกครองโดยเอไอ
แต่เปล่าเลย...ในปัจจุบันนี้ โลกเรากำลังขับเคลื่อนด้วยเอไอแทบทั้งสิ้นแล้วล่ะสิ
กูเกิลมีห้องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ใต้ดิน และใต้น้ำ มันถูกเชื่อมต่อกันหมดในระดับลึก และกำลังขับเคลื่อนโปรแกรมที่ซับซ้อนมากที่สุด
ส่งข้อมูลไปมาตลอดเวลา
ปัญญาประดิษฐ์พวกนี้
เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นในปัจจุบัน มนุษย์แทบไม่ได้ควบคุมระบบนี้แล้ว พวกมันควบคุมเรามากกว่าที่เราควบคุมมันได้
2
การเล่น Social Media จึงเปรียบเสมือนว่า คุณกำลังแข่งขันกับปัญญาประดิษฐ์ แต่เป็นการแข่งขันที่ไม่แฟร์เอาเสียเลย เพราะมันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ แต่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
...นี่มันไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรม
"เ ห รี ย ญ ส อ ง ด้ า น"
ตอนแรกที่เราสร้างปุ่ม"ไลก์"ขึ้นมา
ความตั้งใจของเราคือ...
"การส่งต่อพลังบวกและความรัก"
แต่ในปัจจุบัน เด็กวัยรุ่นรู้สึกหดหู่ เวลาที่ได้ยอดไลก์น้อย สิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่ในหัวพวกเราเลยตั้งแต่เริ่มต้น
1
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่นักพัฒนา
แต่เป็นโมเดลธุรกิจต่างหาก
"ด า ว เ ค ร า ะ ห์ ด ว ง เ ดี ย ว กั น
แ ต่ อ ยู่ บ น โ ล ก ค น ล ะ ใ บ"
ตอนนี้เทคโนโลยีได้รู้จุดอ่อนและพิชิตจุดอ่อนของเราแล้ว จุดอ่อนอันละเอียดอ่อนที่สุดของมนุษย์คือ"ความเชื่อ"
ความเชื่อนำพามาสู่ความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม
ฟีดข่าวของเฟสบุ๊ค มันมีความผิดปกติ
หรือคำอธิบายในวิกิพีเดียที่เปลี่ยนไป
เพื่อผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์
เวลาคุณพิมพ์ในกูเกิ้ล ว่า
"ภาวะโลกร้อน"
คุณจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในระบบเติมคำ ขึ้นอยู่บริเวณที่คุณอาศัยอยู่
เช่น ภาวะโลกร้อนคือเรื่องลวงโลก
แต่ในอีกสถานที่ คุณอาจเห็นคำว่า
ภาวะโลกร้อนทำให้ธรรมชาติพังทลาย
กลไกการเติมคำเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงเกี่ยวสภาวะโลกร้อน
แต่มันขึ้นอยู่กับคุณใช้กูเกิ้ลค้นหาจากที่ไหน รวมถึงเรื่องต่างๆที่กูเกิ้ลรู้ว่าคุณสนใจ
วิธีการมองเรื่องนี้ ให้คิดถึงหนังเรื่องทรูแมนโชว์ของคน 2.7 พันล้านคน
คุณอาจจะเข้าใจผิดว่า
"ทุกคนคิดเหมือนคุณ"
...แต่ไม่ใช่
คุณอาจมีความคิดว่า
"ทำไมคนพวกนี้โง่จัง"
ดูข้อมูลที่ฉันเห็นมาตลอดสิ
ทำไมเขาถึงไม่เห็นข้อมูลเดียวกับฉันล่ะ
คำตอบคือ...
พวกเขาไม่ได้เห็นชุดข้อมูลเดียวกับคุณ
เพราะอัลกอริทึ่มของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
1
ทุกวันนี้
เราจึงแตกแยกกันมากกว่าที่เคยเป็น
ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ
1
หลายๆปัญหาที่เราถกเถียงกันทั้งเรื่อง...
- การเมือง
- ศาสนา, ความเชื่อ
- การแบ่งขั้วทางการเมือง
หรือ ทฤษฎีสมคบคิด
ทั้งฟีดข่าว หรือฟีดวีดีโอ
ผู้คนคิดว่าอัลกอริทึ่มถูกออกแบบมา
ให้มอบสิ่งที่ตรงกับความต้องการกับพวกเขา
แต่ไม่ใช่ อัลกอริทึ่มพยายามที่จะหาช่องโหว่(รูกระต่าย)มากกว่า มันจะหาช่องโหว่ที่ใกล้เคียงกับความสนใจของคุณที่สุด
ตัวอย่างเรื่องทฤษฎีโลกแบน
มันถูกแนะนำด้วยอัลกอริทึ่มเป็นร้อยล้านครั้ง มีผู้คนจำนวนมากสนใจ และเชื่อ และเกิดการรวมตัวกันขึ้น
ทฤษฎีสมคบคิดที่ลุกลามไปทั่ว Social Media (มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจในเรื่อง "Pizzagate" คุณสามารถอ่านได้จากโพสต์นี้)
2
มีงานวิจัยของ MIT ระบุว่า
ข่าวปลอมในทวิตเตอร์แพร่กระจายได้เร็วกว่าข่าวจริงถึง 6 เท่า
3
เรากำลังสร้างระบบที่โน้มเอียงเข้าหาข้อมูลปลอมมากขึ้น
ไม่ใช่เพราะเราต้องการ
แต่ข้อมูลปลอมทำเงินให้บริษัท ได้มากกว่าความจริง
(ความจริงมีหนึ่งเดียว แต่ข้อมูลปลอม คุณจะสร้างมันเท่าไหร่ก็ได้:ผู้เขียน)
1
มันจึงเป็นโมเดลธุรกิจ
ที่ใช้ข่าวปลอมเพื่อหากำไร
พวกเราเองในวงการเทคโนโลยี
กำลังสร้างเครื่องมือที่ทำลายเสถียรภาพและกัดกร่อนสังคม
ในทุกๆประเทศอย่างพร้อมเพรียงกัน
และคุณกำลังจะได้เห็นว่า...
ประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยีถึงขีดสุดแล้ว...กำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตาคุณ!
"บ ท ส รุ ป"
ตอนนี้นักพัฒนาทั้งหลายได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ
เปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นแต่กำไร ให้ดำเนินธุรกิจและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนจริยธรรมและมีความเป็นมนุษยธรรมเพิ่มมากขึ้น
1
คุณสามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ TheSocialDilemma.com
ทั้งหมดนี้คือใจความสำคัญ
จากเนื้อหาในสารคดีเรื่อง...
"The Social Dilemma"
เมื่อคุณอ่านจบ
คุณอาจจะต้องเป็นคนเลือกเองว่า...
จะให้"อัลกอริทึ่ม"ควบคุมคุณ
หรือคุณจะทำให้"อัลกอริทึ่ม"
มัน..."ทึ่ม"กว่าคุณ กันแน่!
ขอบพระคุณทุกการติดตาม
เจ้าพระยา
โฆษณา