15 พ.ค. 2021 เวลา 20:29 • กีฬา
จิ้งจอกทำได้เชือดสิงห์คว้าแชมป์ประวัติศาสตร์
ศึก "ออล บลู ไฟนั่ล" ระหว่าง เชลซี กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ใน เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 140ที่ สนาม เวมบลีย์ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
ถือเป็นนัดแรกในการเจอกัน 2 นัดติดของทั้งคู่ โดยเป็นเกมสำคัญด้วยกันทั้งคู่ เพราะเกมนี้เป็นการตัดสินแชมป์ เอฟเอ คัพ ส่วนนัดต่อไปถือว่าเป็นการตัดสินชะตาในพื้นที่ท็อป 4 เลยก็ว่าได้ เพราะคนแพ้มีโอกาสสูงที่จะหลุดโผ
ด้านประสบการณ์ "สิงโตน้ำเงินคราม" เหนือกว่าเยอะหลังคว้าแชมป์มาแล้ว 8 สมัย และเข้าชิงถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด ส่วน "จิ้งจอก" เคยเข้าชิง 4 หนก่อนหน้านี้ แพ้เรียบวุธ โดยหนล่าสุดต้องย้อนไปเมื่อปี 1969 แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-1
กระนั้น เลสเตอร์ ชุดนี้ แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเป็นหนึ่งในทีมหัวกะทิของประเทศไปแล้ว แม้ว่ายังไม่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ "บิ๊ก 6" ก็ตาม หลังเฉือนชนะ เชลซี 1-0 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ในช่วง 45 นาทีแรก เกมจบด้วยสกอร์ 0-0 ก่อนเกมมาเข้มข้นขึ้นในครึ่งหลัง โดย เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ประตูนำ 1-0 จากการส่องไกลนอกเขตโทษของ ยูริ ตีเลอมันส์ ที่เสียบตาข่ายอย่างสวยสดงดงาม
"สิงห์บลูส์" พยายามเร่งเครื่องหวังยิงตีเสมอ โดยได้โอกาสงามๆ จากทั้ง เบน ชิลเวลล์ กับ เมสัน เมาท์ แต่ก็โดน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ป้องกันไว้ได้ทั้งหมด
ในนาทีสุดท้าย ชิลเวลล์ ส่งบอลตุงตาข่ายสำเร็จ ทว่าเฮเก้อหลัง วีเออาร์ ตัดสินให้เป็นลูกล้ำหน้าไปก่อน ตามด้วยเสียงนกหวีดสุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน
และนี่คือประเด็นน่าสนใจจากเกมที่ เวมบลีย์...
- ค่ำคืนของ ตีเลอมันส์
มันเป็นค่ำคืนที่ ยูริ ตีเลอมันส์ พิสูจน์ให้เห็นเสียทีว่าเขาคู่ควรกับการได้รับการคาดหมายตั้งแต่วัยกระเตาะว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะระดับท็อปของวงการ
1
หลังจากไม่สามารถแจ้งเกิดที่ โมนาโก ตีเลอมันส์ ได้โอกาสชุบตัวใหม่ที่ เลสเตอร์ โดยมาด้วยสัญญายืมตัวก่อนย้ายถาวรในระยะเวลาเพียง 6 เดือนเพราะผลงานน่าประทับใจจนปฏิเสธไม่ลง
นับจากนั้นมา มิดฟิลด์วัย 24 ปี เป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนแดนกลางของ "จิ้งจอก" มาโดยตลอด แล้วเขาก็แสดงให้ทุกคนได้เห็นจากลูกยิงไกลพุ่งวาบปะทะก้นตาข่าย
ไม่ใช่แค่ทำประตู แต่ ตีเลอมันส์ ทำทุกอย่างได้ดีและเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในสนามตลอด 90 นาที
ประเด็นที่น่าจับตามองในหน้าร้อนนี้เลยคือ ตีเลอมันส์ จะย้ายออกจาก คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม เหมือนสมัยที่พวกเขาต้องเสีย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หลังชูโทรฟี่แชมป์ พรีเมียร์ลีก หรือเปล่า?
- การทดลองของ ทูเคิ่ล
แม้ปากบอกก่อนเกมว่าจะไม่พยายามทดลองอะไรแผลงๆ ในไลน์อัพเกมนี้ แต่ โธมัส ทุเคิ่ล ก็ทำให้แฟนๆ เชลซี ต้องเซอร์ไพรส์จนได้
ทูเคิ่ล ไม่ได้เปลี่ยนแผนอะไร ยังเป็น 3-4-2-1 แต่ปรับเกมรับนิดหน่อย รีซ เจมส์ วิงแบ็กขวา สลับตำแหน่งกับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เซนเตอร์แบ็กฝั่งขวา
เหตุผลหลักๆ สำหรับการเปลี่ยนตำแหน่งนี้ก็คือเพื่อให้ เจมส์ ได้ใช้ความเร็วและความแข็งแกร่งรับมือกับ เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกอันตรายของ เลสเตอร์
และต้องบอกว่า เจมส์ ทำได้ดีเลยในตำแหน่งนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเคยเล่นบทบาทนี้มาแล้วสมัยยังอยู่ในทีมเยาวชน โดยมีจังหวะสำคัญในครึ่งแรกที่เบียดเอาชนะ วาร์ดี้ ได้ด้วย
แต่มันดันมีความผิดพลาดเดียวที่เกิดขึ้นและเป็นความเสียหายครั้งใหญ่เพราะ เจมส์ ผ่านบอลเสียก่อนลงเอยด้วย ตีเลอมันส์ ตะบันเสียบตาข่ายอย่างงดงาม
นอกจากนี้ การใช้ เจมส์ ในตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นการเสียของจริงๆ เพราะหนึ่งในจุดเด่นของเขาคือการเติมเกมรุกและการสร้างสรรค์เกมจากริมเส้นนั่นเอง
1
- ทูเคิ่ล ตัดสินใจช้า
โธมัส ทูเคิ่ล เลือกส่ง ฮาคิม ซิเย็ค, เมสัน เมาท์ และ ทิโม แวร์เนอร์ ผนึกกำลังร่วมกันในแดนหน้า แต่ประสิทธิภาพกลับไม่สูงตามที่คาดหวัง บวกกับการที่ไม่ได้ใช้ รีซ เจมส์ เป็นวิงแบ็กฝั่งขวา ทำให้เหมือนเป็นการลดพลังเกมรุกของตัวเอง
1
พอเจอ เลสเตอร์ ยิงขึ้นนำและถอยไปตั้งรับลึกรอเล่นเกมสวนกลับ "สิงโตน้ำเงินคราม" ก็ยิ่งไปไม่เป็น
ทั้งที่สถานการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ ทูเคิ่ล ยังใจเย็น ทั้งที่มันควรเป็นการเปลี่ยนตัวเพื่อเร่งจังหวะ โดย 5 นาทีหลังโดนนำ พวกเขาส่ง คริสเตียน พูลิซิช กับ ชิลเวลล์ ลงแทน ซิเย็ค กับ อลอนโซ่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนตามตำแหน่ง
ต้องรอจนถึง 15 นาทีสุดท้าย เชลซี ถึงขยับอีกครั้งโดยถอด จอร์จินโญ่ กับ อัซปิลิกวยต้า แล้วส่ง ไค ฮาแวร์ทซ์ กับ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงไปเสริมเกมรุก แน่นอนว่ามันสายเกินไป
หรือมันเป็นผลจากการที่พวกเขายังต้องลุ้นตัวเกร็งในการลุ้นจบใน 4 อันดับแรก รวมถึง นัดชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปลายเดือนนี้?
3
- เกือบเป็นวันของ ชิลเวลล์
1
เบน ชิลเวลล์ ได้รับการต้อนรับจากกองเชียร์ของ เลสเตอร์ ประหนึ่งเขาเป็นผู้ร้าย เพราะในความรู้สึกของพวกเขาแล้ว เขาเหมือนเป็นคนทรยศยังไงยังงั้น
1
ชิลเวลล์ สตาร์ทบนม้านั่งสำรองก่อนลงแทน มาร์กอส อลอนโซ่ ในช่วงเกือบจะ 20 นาทีสุดท้าย
แบ็กซ้ายวัย 24 ปี เกือบได้เป็นฮีโร่ของ "สิงห์บลูส์" ทั้งจังหวะโหม่งไปโดน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เหยียดสุดแขนปัดได้หวุดหวิด และจังหวะสอดเข้าเขตโทษไปแปบอลผ่าน ชไมเคิ่ล ก่อนกระเด้งโดน เวส มอร์แกน เข้าประตูแต่ไม่ได้เพราะโดนจับล้ำหน้าไปก่อนจาก วีเออาร์
พอเกมจบลงแบบนี้ มันก็เลยเหมือนกองเชียร์ "จิ้งจอก" ได้เป็นฝ่ายหัวเราะทีหลังนั่นเอง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
1
โฆษณา