19 พ.ค. 2021 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #9ปีสู่การเปลี่ยนแปลง
เจมี่ วาร์ดี้ ถูกจารึกชื่อให้เป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของเอฟเอคัพไปเรียบร้อย หลังคว้าแชมป์กับเลสเตอร์ ซิตี้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
นี่คือผู้เล่นที่รวมแล้วเคยเล่นในฟุตบอลรายการน็อกเอาท์ที่เก่าแก่ เป็นจำนวนรอบที่มากสุด ตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบแรก ยันถึงนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งยังไม่มีใครเคยทำได้อย่างนี้ก่อนเลย
แน่นอนจากฟลีตวู้ด ทาวน์มาสู่เลสเตอร์ ซิตี้ ชีวิตยิ่งกว่าเทพนิยายแล้ว สิ่งที่คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นก็เจอมาแบบน่าขนลุกจดจำไม่มีลืม
1
ชีวิตในอาชีพค้าแข้งที่โลดแล่นในสนามว่ามหัศจรรย์พันลึก แต่ชีวิตจริงก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ฟุตบอลเปลี่ยนแปลงจากดำกลายเป็นขาว ใครได้มานั่งฟัง วาร์ดี้ เล่ารับรองว่าจะต้องอ้าปากค้า ร้องว้าวทึ่งไปกับเส้นทางที่เคยผ่านมา
ย้อนกลับไปดูวัยเยาว์แล้วจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น เขาเกิดในครอบครัวใช้แรงงาน แม้จะได้เข้าเรียนตามเกณฑ์ ทว่าจากสภาพแวดล้อมแถบฮิลส์โบโร่ เมืองเชฟฟิลด์บ้านเกิด ที่เต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้กลายเป็นอย่างนั้นเช่นกัน
แต่พรสวรรค์ในเชิงลูกหนังและความเร็วปราดเปรียวในวัยเด็ก เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยตัดสินใจเข้าไปคัดอะคาเดมี่ของเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ทีมโปรดตั้งแต่วัยเยาว์
อย่างไรก็ตามอายุ 16 ก็โดนหั่นชื่อทิ้ง หนึ่งในเหตุผลอันคลาสสิกคือตัวเล็กเกิน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริง เขาถูกเรียกว่า Little Jamie ตามรูปร่าง จึงไม่ได้ไปต่อ ซึ่งนั่นทำให้เคว้งไม่น้อย
ทีแรกว่าจะตัดสินใจทิ้งความฝัน แล้วหันไปทำงานอย่างเต็มตัว สมัครเข้าเป็นพนักงานทำเฝือกและขาเทียมจากคาร์บอน ระหว่างนั้นได้รับคำแนะนำให้ไปเข้าทีมสต๊อคส์บริดจ์ พาร์ค สตีล สโมสรเล็กๆนอกลีกแถบเซาธ์ ยอร์คเชียร์ไม่ห่างจากบ้านเท่าไรนัก
ใครจะคาดคิดว่าชีวิตที่เหี่ยวเฉา ทั้งจากสถาบันครอบครัวที่ล้มเหลว พ่อแม่แยกทางกันในเวลาต่อมา เขาต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก กิลล์ มาเป็น วาร์ดี้ จะรู้สึกกระปลี้กระเปล่าขึ้นมาอีกรอบ
ฟุตบอลคืออาวุธที่ช่วยให้ วาร์ดี้ ฝ่าฟันกับอุปสรรค ปัญหาที่เกิดรอบด้าน ผ่านมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เขายังเคยหัวหกก้นขวิด ถึงขั้นก่อเหตุวิวาทหน้าผับแห่งหนึ่งที่เชฟฟิลด์ ก่อนจะถูกตัดสินว่ามีความผิด ต้องติดเครื่องติดตามตัวไว้ที่ข้อเท้าเพื่อดูความประพฤติ มันสะท้อนคุณภาพชีวิตที่สุ่มเสี่ยง ท่ามกลางอาชญากรรมที่เกิดขึ้นรอบตัว
อย่างไรก็ดีจำนวนประตูที่ระเบิดได้ เป็นเหมือนใบการันตี ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ซึ่งอยู่นอกลีกเช่นกัน เลยจัดการดึงไปร่วมทัพด้วย
ตอนนั้นปี 2010 คิดดูแล้วกันว่า วาร์ดี้ อายุ 23 ปีเข้าไปแล้ว รับค่าจ้างเพียงแค่ 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์ จากการเป็นแข้งกึ่งอาชีพ แล้วรับอีกส่วนจากพนักงานโรงงานมาจุนเจือ
เงินที่ได้มามักหมดไปกับการเข้าผับ ดื่มกินกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงตามนิสัย แต่ยามลงไปเล่นในเกมแล้ว วาร์ดี้ ก็สุดเหวี่ยงไม่แตกต่างกันเลย
นี่อาจเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากคนอื่นออกไป เขาจะรู้สึกเสมอว่าถ้าได้เล่นเป็นกองหน้าแล้วทำประตูไม่ได้ จะคล้ายผิดบาป เหมือนล้มเหลวในหน้าที่ตัวเอง จึงมุ่งมั่นอย่างมาก แม้คืนก่อนหน้าจะดื่มมาอย่างหนักหน่วงก็เถอะ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ วาร์ดี้ จะส่องให้ฮาลิแฟ็กซ์ 28 ประตูในช่วงซีซั่นเศษๆเท่านั้น ก่อนฟลีทวู้ด ทาวน์สโมสรในคอนเฟเรนซ์หรือลีกลำดับ 5 เห็นแววฉายเตะตาเลยจัดการมาทาบทาม
ช่วงดังกล่าว วาร์ดี้ เริ่มได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะช่วยยกระดับชีวิตเช่นนี้
เงินที่ไหลเข้าบัญชีจากไม่กี่สิบปอนด์ต่อวีก ก็เปลี่ยนเป็นหลักร้อยปอนด์ เข้าสู่โหมดเป็นอาชีพอย่างจริงจัง ไม่ต้องไปจมปลักในโรงงานอีก ก่อนจะตอบแทนความไว้ใจด้วย 31 ประตูจาก 36 เกม คว้าดาวซัลโวสูงสุดประจำลีก
1
การได้เห็นโลกใหม่ ได้สัมผัสเกมลูกหนังระดับสูง เรียนรู้จากผู้เล่นที่เก่งกว่า บ่มเคี่ยว วาร์ดี้ ในช่วงสั้นๆ
1
เพื่อนคนหนึ่งเคยเล่าว่า วาร์ดี้ มีพรสวรรค์ฝังอยู่ข้างใน ขึ้นอยู่กับว่าจะหาสิ่งนั้นเจอแล้วดึงออกมาใช้ได้หรือเปล่า ก่อนฟุตบอลจะเป็นคำตอบดังกล่าว
1
และการได้ย้ายสู่เลสเตอร์ ซิตี้ในปี 2012 ต้องบอกว่าคือจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อนจะกลายเป็นตำนานของสโมสรแห่งนี้
ว่ากันบนหน้าประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรแล้ว ไม่เกินเลยนักหากจะยกย่องให้เป็นตำนานเบอร์ 1
หลังจากเป็นฟันเฟืองนำเลสเตอร์สร้างอภิมหาปาฏิหาริย์ด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015/16 แล้ว เจมี่ วาร์ดี้ เกือบจะย้ายไปอาร์เซน่อล
การพูดคุยเจรจาเกิดขึ้นต่อหน่า อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมปืนใหญ่ในเวลานั้น ทุกอย่างดูราบรื่นดี แต่แล้วระหว่างทางนั่งรถออกจากลอนดอน วาร์ดี้ เปลี่ยนใจกะทันหัน
เขาโทรบอกกับทางอาร์เซน่อลว่า ขอทบทวนดูก่อนแล้วกันว่าจะย้ายมาหรือเปล่า ซึ่งคำตอบเช่นนี้มันเหมือนบอกทางอ้อมแล้วว่าปฏิเสธ
ส่วนหนึ่งมาจากความรู้สึกหนี้บุญคุณ อีกทั้ง วาร์ดี้ มีความสุขดีกับการอยู่ที่เลสเตอร์ เมื่อมีการปรับค่าจ้างใหม่ นั่นยิ่งทำให้ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย
ทั้ง วิชัย และ อัยยวัฒน์ พ่อลูกตระกูลศรีวัฒนประภา ผู้อยู่เบื้องหลังชุบชีวิตให้กลายเป็นแข้งชั้นนำ คอยสนับสนุนให้กำลังใจมาตลอด กระทั่งมาสู่จุดสูงสุดของการค้าแข้งได้สำเร็จ
วาร์ดี้ เคยตกอยู่ในอาการ culture shock จากการอัพระดับชีวิตอย่างรวดเร็ว ทีมนอกลีกแล้วมาสู่เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
ไม่ใช่แค่บรรยากาศต่างๆ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพเต็มตัวอย่างเดียว แต่เงินรายได้ที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ก็แทบทำเอาช็อกไปเลยเช่นกัน
เพราะไม่รู้จะเอาเงินมากมายไปทำอะไร เลยสนุกกับการดื่มกินเข้าผับ จนส่งผลต่อเรื่องวินัยมาฝึกซ้อมสายบ่อยๆ ฟอร์มการเล่นไม่ค่อยดี กระทั่งได้รับคำแนะนำชี้ทางสว่างจาก อัยยวัฒน์ เปลี่ยนชีวิตกลับมาพีกอีกครั้ง
จากแชมป์พรีเมียร์ลีกอันน่าอัศจรรย์ วาร์ดี้ ยังได้สัมผัสแชมป์เอฟเอคัพล่าสุดอีก เขายังไม่อยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
9 ปีกับเลสเตอร์เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ล้วนแต่นำพาให้ชีวิตสู่หนทางที่สดใส จนป่านนี้ วาร์ดี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดได้อย่างไร
คืนคว้าแชมป์เอฟเอคัพ เขาฉลองให้กับความมหัศจรรย์ด้วยการดื่ม Desperados เบียร์เตอกีล่าของเม็กซิกันจนช่ำใจ ก่อนม่อยหลับไปด้วยความสุขสุดๆโดยมีเหรียญแชมป์เอฟเอคัพคล้องคออยู่อย่างนั้น เหมือนตอนได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
จากนั้นเมื่อตื่นขึ้นมา ต้อนรับวัยใหม่ด้วยการสั่งแม็คโดนัลด์มากินให้เต็มคราบเป็นอาหารเช้า หลังจากที่ต้องควบคุมน้ำหนักดูแลร่างกายมานาน เป็นการให้รางวัลกับชีวิตตัวเอง
วาร์ดี้ มาไกลมากๆ ไกลจนบางคนอาจมองย้อนกลับไปแล้วจำอดีตไม่ได้ แต่สำหรับเขาไม่เคยลืมเลยว่ากว่าจะมาถึงปัจจุบัน ต้องผ่านอะไรมาบ้าง
เพราะไม่เคยลบภาพในอดีตอันเป็นบทเรียนสำคัญออกไปได้ มันจึงทำให้ วาร์ดี้ ได้สัมผัสรสชาติมหัศจรรย์ของชีวิตในวันนี้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา