27 พ.ค. 2021 เวลา 00:14 • ปรัชญา
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
คนประเภทเดียวกัน
มักจะดึงดูดเข้าหากัน
เป็นไปตามกฏธรรมชาติ
1
ไม่ได้มีใครเป็นคนตั้งขึ้น
อยู่ที่ผู้ใดจะค้นพบ ...
Photo by Rahul Chakraborty on Unsplash
ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์
สมัยนั้น พระสารีบุตรเดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลาย
ในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค
แม้พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธ
พระปุณณะ พระอุบาลี พระอานนท์ พระเทวทัต
แต่ละท่านก็เดินจงกรมร่วมกับภิกษุมากหลาย
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ท่านทั้งหลายเห็นสารีบุตรเดินจงกรมกับภิกษุมากหลายหรือไม่"
"เห็นพระเจ้าค่ะ"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
ภิกษุเหล่านั้นทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญามาก
ท่านทั้งหลายเห็นมหาโมคคัลลานะกำลังเดินจงกรมกับภิกษุมากหลายหรือไม่"
"เห็นพระเจ้าค่ะ"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุเหล่านั้นทั้งหลายเป็นผู้มีฤทธิ์มาก
1
ท่านทั้งหลายเห็นพระมหากัสสปะ...
พระอนุรุทธ...
พระปุณณะ...
พระอุบาลี...
พระอานนท์...
พระเทวทัต...
เดินจงกรมกับภิกษุมากหลายหรือไม่"
"เห็นพระเจ้าค่ะ"
"ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้
ธุตวาทะ(ผู้กล่าวในทางขัดเกลากิเลสคือสรรเสริญการประพฤติธุดงค์)..
เป็นผู้มีทิพยจักษุ..
เป็นธรรมกถึก(ผู้แสดงธรรม)..
เป็นวินัยธร(ผู้ทรงวินัย)..
เป็นผู้สดับตรับฟังมาก..
เป็นผู้มีความปรารถนาลามก...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้ากันได้
ย่อมลงกันได้โดยธาตุ
ผู้มีอัธยาศัยเลวย่อมเข้ากันได้กับผู้มีอัธยาศัยเลว
ผู้มีอัธยาศัยดีงามย่อมเข้ากันได้กับผู้มีอัธยาศัยดีงาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
แม้ใน 'อดีต' กาลนานไกล
สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว
ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
แม้ใน 'อนาคต' กาลนานไกล
สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว
ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
แม้ใน 'ปัจจุบัน'
สัตว์ทั้งหลายเข้ากันได้แล้ว
ลงกันได้แล้วโดยธาตุทั้งผู้มีอัธยาศัยเลว อัธยาศัยดีงาม"
- สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ๑๖/๑๘๖
ความยากของการเข้าถึงธรรม
คือ ธรรมะมีความละเอียดลึกซึ้ง
เกิดการตีความได้หลากหลาย
ตามระดับภูมิธรรม
คนประเภทเดียวกัน ดึงดูดคนประเภทเดียวกัน
เห็นดีเห็นงามไปในทางเดียวกัน
คนที่เข้ามาศึกษาเพื่อหวัง 'ผลประโยชน์'
ไม่ได้เพื่อความดับทุกข์ เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจ ๔
พยายามเลี่ยงบาลี หาช่องโหว่ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
จะยังคงมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย
4
คะแนนความเชื่อมโยงของทุกคนเต็มร้อยกันอยู่แล้ว
ที่บอกว่า "ธรรมะอยู่ในทุกหนแห่ง เชื่อมโยงกันหมด"
มันมีความหมายลึกซึ้งแฝงเอาไว้อย่างแยบคาย
คนที่ใฝ่ใจในธรรมะ ทุกสิ่งจึงสามารถเชื่อมโยงเข้าหาธรรมได้หมด
คนที่สนใจคลุกคลีใน "อธรรม" ก็สามารถเชื่อมโยงทุกสิ่งไปในทางอกุศล
แล้วจะเคยชินในสิ่งนั้น ๆ จนเป็นธรรมชาติ
บางคนมีความเป็นธรรม อย่างเป็นธรรมชาติ
บางคนมีความอธรรมในตัว เป็นธรรมดา
คนที่หมกมุ่นอยู่ในเรื่องใด ก็จะคิดวนแต่เรื่องนั้น ๆ
จึงมองเห็นโอกาส ไอเดียบรรเจิด
ดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
เริ่มจากใจเป็นประธานของทุกสิ่ง
สุดท้าย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ธรรมชาติจัดสรรกันเอง
แต่ไม่ว่าคนที่จมอยู่ในฝ่ายอกุศลมายาวนานเพียงใด
ความเป็นธรรมชาติในฝ่ายดีงาม
ยังคงแฝงอยู่ลึก ๆ ภายในเสมอ
ทุกคนล้วนเคยเป็นคนดี และเลว มาแล้วกันทั้งนั้น
ทุกคนมีโอกาสที่จะ 'พลิกจิต'
กลับตัวกลับใจ
ให้พบธรรมกันทั้งสิ้น ...
ขออนุญาตยกตัวอย่าง
พระองคุลีมาลเถระ
ด้วยความเห็นผิด ก่อนได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์
ท่านเคยฆ่าคนไปแล้ว 999 คน
นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม
แม้ว่าท่านจะพบกับความยากลำบากอย่างมาก
จากผลแห่งการกระทำ
ออกไปบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตรเลยแม้แต่ทัพพีเดียว
... ฯลฯ ...
ท่านก็สามารถบรรลุอรหันตผลในท้ายที่สุด
ที่ผ่านมาเราทุกคนล้วนเคยทำผิด
แต่นั่นมันเป็นเพราะยังมี ‘ความไม่รู้’
แต่เมื่อวันที่ได้มีโอกาสฟังธรรม
รู้ชัดแล้วว่าอะไรคือ กุศล
อะไร คือ อกุศล
ทำกุศล ผลเป็นกุศล
ทำอกุศล ผลเป็นอกุศล
ตั้งจิตให้มั่นในการล้างมลทิน
ล้างอกุศลทั้งหลายภายในใจออก
ชำระจิตให้สะอาด บริสุทธิ์
ล้วนสามารถพบกับความพ้นทุกข์กันได้ทุกคน ...
1
การเข้าหาสัตบุรุษ อริยบุคคล
น้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนมาปฏิบัติตาม
จะทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น
ทำความรู้จักกับธรรมชาติที่ดีงาม
แรก ๆ ที่เข้ามาเรียนรู้ อะไรก็ยากไปหมด
ฟังไม่รู้เรื่องเลย มีคำศัพท์ technical term เต็มไปหมด
ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ
มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจ
ต่อเมื่อเราเรียนรู้ ปฏิบัติมากเข้า ๆ ก็จะกลายเป็นปกติ
ตัวเราเองก็ถูกแวดล้อมไปด้วยความดีงาม
เริ่มคุยกับคนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่อง
กลับหัวกลับหางกันไปหมด
คนที่คุยกันรู้เรื่อง เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ
เริ่มมีภาษาโลก ภาษาธรรม
เรื่องของทางธรรมมีแต่การสลัดออก
เรื่องของทางโลกมีแต่การโกยเข้า
จะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไง
'ปัญญา' ในทางโลก กับ ทางธรรม จึงแตกต่างกัน
มีปัญญาในทางโลกมาก
ไม่ได้หมายความว่า มีปัญญามากในทางธรรม
1
"ด้านได้ อายอด"
ถามว่าได้อะไร ถ้าได้สนองกิเลสตัณหา
เสริมอัตตาตัวตนอย่างไม่รู้ตัวไปเรื่อย ๆ
งั้นอดดีกว่า
เอาเข้าตัว มีแต่เติมเชื้อไฟแห่งตัณหา
เหตุเกิดทุกข์ล้วน ๆ
อดทนอดกลั้น
จนวันนึง ไม่ต้องอดทนกับอะไรอีก
สามารถเผชิญกับทุกสิ่ง ด้วยใจปกติสุข
2
ไม่ต้องหวาดกลัวกับอะไร
เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์
เพราะ ไม่มีความรู้สึกว่า "มีตัวมีตน"
"ตายก่อนตาย"
ตายไปจากความรู้สึกรักตัวกลัวตาย
ก่อนที่ร่างกายจะตายจริง
ถอนอัตตานุทิฏฐิออกเสียได้
เมื่อนั้น มัจจุราช จะมองไม่เห็น
1
พ้นไปได้จากทุกข์ทั้งปวง
ทุกข์ทั้งหลายมาจากความยึดมั่นถือมั่น
เมื่อสลัดออก สลัดคืนทั้งหมด
ก็ไม่มีอะไร ต้องทุกข์กับอะไร อีกต่อไป
1
เป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติเดิมแท้
ที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ไม่เกิด ไม่ดับ
ไม่มีการมา ไม่มีการไป
ดับ ว่าง สงบ เย็น ...
อะไรที่ทำเพื่อผู้อื่น คือ บุญ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา