22 พ.ค. 2021 เวลา 07:50 • ธุรกิจ
ครั้งหนึ่ง ตอนที่หลายชายอายุ 10 ขวบ เรียนอยู่เกรด 4 ที่โอเรกอน อเมริกา
คุยกับแอด เขาบอกว่ากำลังทำผลงานเพื่อออกบูธในวันชาติอิสราเอล เลยอยากจะถามแอดเรื่อง Genoside ....
ประเด็นวันนี้ไม่ใช่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่แอดพบว่าการสนทนากับเด็กวัย 10 ขวบวันนั้น มีความน่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อนำเสนอผลงานของของเด็กที่นั่น ซึ่งแอดพบว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่เด็กไทยและคนทำงานออฟฟิศกังวล
ในองค์กรที่แอดทำงานพูดกันบ่อยๆว่า “คิดอย่างเดียวไม่ดัง” หมายความตรงๆคือ
ต่อให้คุณมีความคิดดีๆ แต่ถ้าคุณนั่งเงียบในห้องประชุม ก็เท่ากับคุณไม่มีประโยชน์เพราะคุณไม่ได้ขยายความคิดดีๆนั้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหากับทีมงาน น่าเสียดายนะครับเพราะถ้าองค์กรมองว่าคุณไม่มีประโยชน์ โอกาสที่จะก้าวหน้าย่อมน้อยลง
📌 ส่วนใหญ่ปัญหามาจากความไม่กล้า ไม่มั่นใจ พาลคิดว่าเนื้อหาความคิดตัวเองไม่ดีเสียอีก เพราะตั้งแต่เรียนจนโตมาทำงานเด็กไทยมักจะขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะการนำเสนอ (แต่นี่คนละพวกกับประเภทเซียนหลังการประชุมนะครับ พวกนั้นคือไม่พูดอะไรในการประชุม แต่พอเสร็จแล้วเก่งมาก!!!! วิพากย์วิจารณ์ได้หมด เรียกว่าเก่งทุกเรื่องนอกการประชุม 👿)
เมื่อได้คุยกับหลายชาย เลยรู้ว่าเขาค้นคว้าหาข้อมูลมาแล้ว แต่อยากถามความคิดเห็นของแอดที่มีต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง และเราควรจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ฟังแล้วก็อึ้งนะครับว่าเด็กสิบขวบคุยกับเราด้วยเนื้อหาแบบนี้ แอดถามน้องสาวที่เป็นแม่ บอกว่าในวันงาน เด็กแต่ละคนต้องประจำบูธของตัวเอง โดยทำประเด็นอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับอิสราเอล เช่น อาหาร วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เสื้อผ้า ฯลฯ เมื่อมีคนเข้ามาต้องนำเสนอความคิดในเรื่องที่เลือกทำ โดยคุณครูได้สอนหลาน 10 ขวบของแอดให้เตรียมการนำเสนอว่า
📝 ข้อมูลต้องชัดเจน มีที่มาที่อ้างอิงได้ 📝
โดยไม่รู้ตัว หลักการข้อนี้ทำให้หลานของแอดต้องค้นคว้าหามาอ่านให้มาก
ทั้งหนังสือฝั่งยุโรป อเมริกา เข้าไปดูความเห็นในกระทู้ต่างๆ แล้วหยิบเอาประเด็นต่างๆมาร้อยเรียง ซึ่งสิ่งที่หยิบยกขึ้นมานำเสนอต้องเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือ
✅ นึกถึงเวลาทำงานสิครับ ถ้าเราอดทนค้นหาข้อมูลหลายๆชุดมาเปรียบเทียบ เราจะเริ่มเห็นข้อเท็จจริงที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางกลยุทธ์ หรือสร้างแผนงานได้ ที่สำคัญคือเพิ่มน้ำหนักของความคิดดีๆของเราให้น่าเชื่อถือ
⛔️ วันนี้ผมเห็นการนำเสนอของคนรุ่นใหม่ๆหลายคนขาดการวิเคราะห์ข้อมูล หรือใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนใหญ่กระโดดเข้าสู่ Action Plan ด้วย Gut Feeling หรือ “กึ๋น” ล้วนๆ ถ้าดีก็ดีไป แต่ธุรกิจที่ยืนได้ระยะยาวต้องไม่ใช้แค่โชคครับ
ภาพจาก theifactory.com แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลนั้น มีแค่บางส่วนที่เป็นประโยชน์กับงานของเราได้ แต่เราต้องรู้ที่จะวิเคราะห์ มองเห็น และเชื่อมโยงได้
📝 สร้างสรรค์วิธีการ สามารถโน้มน้าวคนฟัง 📝
อันนี้ผมทึ่งนะครับ ตอนเราเด็กๆเวลาเสนอรายงานหน้าชั้น ก็มักเน้นความถูกต้อง เรียกว่าเด็กทั้งห้องแทบเป็นรายงานเดียวกันเลย แต่สำหรับหลานที่เรียนในประเทศพัฒนาแล้วจะเน้นให้ “เล่าเรื่องในแบบที่เด็กอยากจะเล่า” โดยมีเป้าหมายให้คนฟังเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เด็กเลือกนำเสนอ ดังนั้นเด็กๆย่อมเกิดความคิดสร้างสรรค์ หาวิธีแปลงข้อมูลไปสู่แผนภาพ กราฟฟิคดีไซน์ โมเดล ฯลฯ สร้าง Story Telling ตามที่คิดว่าใช่
✅ เวลาทำงานจริงก็เหมือนกันครับ เราต้องเชื่อมโยงข้อมูลที่เราเห็นว่ามีประโยชน์แล้วนำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งเทคนิควิธีเป็นเรื่องสำคัญมาก เราจะพูดอย่างไรให้เจ้านายเข้าใจและเห็นประโยชน์ได้ง่ายๆ ไม่ต่างกันกับถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการจะขายสินค้าอย่างไรให้คนซื้อ หรือนักการเมืองจะโน้มน้าวคนจำนวนมากให้ทำอย่างที่ต้องการได้อย่างไร ฯลฯ การสร้าง “เส้นเรื่อง” ในการนำเสนอเพื่อโน้มน้าวใจคนต้องใช้เวลาฝึกฝน ซึ่งพนักงานสามารถหาโอกาสทำได้ไม่ว่าจะเป็นการคุยกันระหว่างดื่มเบียร์ หรือการทำงานเล็กน้อยๆร่วมกัน
⛔️ ปัญหาหนึ่งของพนักงานออฟฟิศในเมืองไทยส่วนใหญ่ที่ขาดการพัฒนาตรงนี้
อาจด้วยคุ้นเคยกับการรับคำสั่ง เชื่อผู้นำแล้วเราพ้นภัย(😖) แต่แอดยืนยันว่าคุณจะเป็นคนที่ออฟฟิศไม่เก็บไว้แน่ๆ ถ้าคุณไม่สามารถแม้แต่ “ขายไอเดียดีๆ” ของคุณให้เกิดประโยชน์กับองค์กรได้
ภาพจาก Google
📝 มีความเห็นส่วนตัวเชิงสร้างสรรค์📝
อันนี้สำหรับเด็กไทยยิ่งแล้วใหญ่ แค่บอกครูว่าผมไม่เชื่อว่าคนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต แอดว่าเรื่องยาวครับ การจะมีความเห็นในเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผลักให้เด็กเรียนรู้โดยการคุยกับคนอื่น ยอมรับความเห็นต่าง แล้วค่อยๆประมวลให้เกิดพุทธิปัญญาของตนเอง ในกรณีของหลานที่อเมริกา เขาต้องคุยกับเพื่อนบ้าน ครูคนอื่นๆ ฯลฯ ก่อนมาสรุปว่าจะป้องกันไม่ให้เกิด Genoside ได้อย่างไร
✅ ถ้าอยากจะเป็นตัวจริงขององค์กร เวลานำเสนอควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีทั้งความ “คุ้มค่า” (Productivity) และ “คุณค่า” (Efficiency) สร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้องค์กร เช่น ยอดขายตกลงในพื้นที่ภาคเหนือ มีแนวทางการแก้ปัญหามีแนวทาง วิธีการไหนจะเกิดผลอย่างไร และ “ต้องมี” ความเห็นของเราด้วยว่าควรเลือกวิธีใดเพราะอะไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท
⛔️ พนักงานที่ “ตัน” ส่วนใหญ่มักจะนำเสนอแต่ปัญหา แต่ไม่เคยหาทางออกให้เจ้านาย เมื่อไม่มีทางเลือกให้ผู้ฟังโดยเฉพาะเจ้านายด้วยแล้ว ดังนั้นอย่าหวังเลยครับว่าเขาจะเลือกการนำเสนอของเราหรือแม้แต่จะเลือกผลักดันเราให้ก้าวหน้า
ดัดแปลงภาพจาก Pinterest
หลานของแอด ผ่านการนำเสนอเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยดี แล้วกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดบทความในวันนี้
📌คนที่ประสบความสำเร็จจะพบว่า การนำเสนอ (Presentation) เป็นทักษะสำคัญไม่น้อยไปกว่า “เนื้อหา” (Content) มีส่วนสร้างให้คุณเป็นคนที่องค์กรต้องเลือกเก็บไว้ใช้งาน📌
จริงๆแล้วชีวิตประจำวันล้วนมีแต่การนำเสนอนะครับ มันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างตัวตนของเราให้คนอื่นรับรู้ เช่น ผ่านรูปแบบภาษา การแต่งกาย ช่องทางDigital Platform ฯลฯ แค่เราหยิบปรับมาใช้ในงานที่รับผิดชอบ โดยมี 3 แกนสำคัญเพื่อสร้างเนื้อหาและรูปแบบที่เหมาะสมนั่นเอง
โฆษณา