24 พ.ค. 2021 เวลา 03:00 • กีฬา
" 2004 ซัมเมอร์แสนสุขของฟิสซาส "
หน้าร้อนปี 2004 โชเซ่ มูรินโญ่ เพิ่งพา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองอย่างสุดเหลือเชื่อ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน โปรตุเกส ก็มีโปรแกรมใหญ่รออยู่ นั่นคือการเป็นเจ้าภาพ ยูโร 2004 ภายใต้ความคาดหวังที่อยากให้ไปถึงแชมป์
เพราะมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่นักเตะยุคทองของพวกเขาจะได้เล่นร่วมกัน เพื่อความหวังในการพาโปรตุเกสประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ให้ได้เป็นครั้งแรก นักเตะอย่าง แฟร์นานโด คูโต้, หลุยส์ ฟิโก้, รุย คอสต้า, เปโดร เปาเลต้า
บวกกับการโด่งดังขึ้นมาของหนุ่มวัย 19 ปีที่ชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผู้ย้ายไปเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ 1 ปีแล้ว และนี่เป็นทัวร์นาเมนต์แรกที่เขาติดทีมชาติ
ยูโร ครั้งนั้นมี ลัตเวีย ที่เพิ่งผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก พวกเขาเป็น "เต็งบ๊วย" ที่จะคว้าแชมป์ ส่วนทีมที่โดนมองว่าเป็นรองบ๊วย หากคว้าแชมป์ได้อัตราการจ่ายของบริษัทรับพนันถูกกฎหมายอยู่ที่ 150/1 ก็คือ กรีซ
เวลานั้น กรีซ เคยผ่านเข้ามาเล่นในยูโร รอบสุดท้ายแค่หนเดียว คือในปี 1980 ส่วนฟุตบอลโลก พวกเขาก็เพิ่งเคยเข้าร่วมแค่ครั้งเดียวเช่นกันใน USA94 และพวกเขากลับบ้านด้วยความอับอาย แพ้รวด 3 นัด ยิงไม่ได้เลย โดนกระทุ้ง 10 ประตู
จริงๆ การได้สิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ยูโร 2004 ก็ถือเป็นความสำเร็จแล้ว
กรีซ เปลี่ยนตัวกุนซือมาเป็น อ็อตโต้ เรห์ฮาเก้ล ตอนปี 2001 ในช่วงโค้งสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก ซึ่งพวกเขาตกรอบไปอย่างเป็นทางการแล้ว
เกมแรกของ เรห์ฮาเก้ล เขาพาทีมโดนฟินแลนด์ถล่ม 1-5 ทว่าเกมที่เขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงพิษสงคือเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือกคราวนั้น ที่มาเยือน อังกฤษ ณ สังเวียน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
กรีซ พลิกนำ 2-1 อังกฤษต้องมาได้ประตูตีเสมอ 2-2 จากฟรีคิกสุดสวยของ เดวิด เบ็คแฮม ในช่วงทดเวลาเจ็บ สร้างซีนพระเอกให้กับ เบ็คส์
ทีมอย่าง กรีซ หนึ่งในสมัยของยุโรป เกือบทำอังกฤษไม่ได้ไปฟุตบอลโลกที่เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น
จบฟุตบอลโลก 2002 มาถึงรอบคัดเลือกยูโร 2004 กรีซ เปิดหัวด้วยการแพ้ 2 นัดรวด ต่อสเปน และยูเครน โดนยิงไป 4 ประตู ทุกคนคิดว่าเหมือนเดิม เปลี่ยนโค้ชแล้วก็เหมือนเดิม
1
แต่มันไม่เหมือนเดิม เพราะหลังจากนั้นอีก 6 นัดในรอบคัดเลือก กรีซ ไม่เสียประตูอีกเลย และพวกเขาชนะรวด ล้างแค้นทั้ง สเปน และยูเครน ได้สำเร็จ แม้จะยิงได้ทั้งสิ้นเพียง 8 ประตู แต่ก็เพียงพอให้พวกเขาคว้าตั๋วมาโปรตุเกสด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม มีแต้มเหนือกว่า สเปน ด้วยซ้ำ
1
กรีซ เริ่มแสดงให้เห็นแล้วถึงการทำงานของ อ็อตโต้ เรห์ฮาเก้ล ว่าพวกเขาเล่นกันแบบไหน
ตัดภาพมาที่ก่อนทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2004 จะเริ่มไม่นาน ทาคิส ฟิสซาส แบ็กซ้ายวัย 31 ปี ซึ่งเล่นอยู่ในโปรตุเกสเองกับสโมสรเบนฟิก้า ได้วางแผน เตรียมงานแต่งงานกับแฟนสาวคริสติน่า ไว้เรียบร้อยแล้ว
พวกเขาจะจัดงานกันที่ชายหาดสวยงามแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับกรุงเอเธนส์ โดยวางแผนไว้ว่างานจะมีขึ้นวันที่ 9 กรกฎาคม 2004 และแขกทั้งหมดจะมีราว 300 คน แน่นอน ต้องมีเพื่อนนักเตะร่วมทีมชาติของเขามาด้วยทั้งหมด
คริสติน่า เป็นกังวล กลัวว่าแฟนหนุ่มที่ไปรับใช้ชาติจะกลับมาไม่ทันงานที่วางแผนเอาไว้แล้ว เพราะวันสุดท้ายของ ยูโร 2004 ก็ปาเข้าไปวันที่ 4 กรกฎาคม เข้าไปแล้ว
1
"อย่ากังวลเลย ผมจะอยู่บ้านแล้วเมื่อผ่านเข้าเดือนกรกฎาคม ผมจะนั่งดูเกมรอบรองฯ แล้วก็รอบชิงฯ กับเพื่อนๆ อาจจะดื่มเบียร์นิดหน่อย แล้วก็สั่งพิซซ่ามากินกัน แล้วจากนั้นเราก็จะจัดงานฉลองของเราตามปกติ ทุกคนจะมางานของเราที่นั่น"
1
ทาคิส ฟิสซาส บอกกับแฟนสาว ด้วยความคาดหวังที่มองโลกตามความเป็นจริง กรีซ คงอยู่ไม่ถึงวันสุดท้ายของทัวร์นาเมนต์หรอก เพราะนั่นคือนัดชิงชนะเลิศเชียวนะ เพราะเตะครบ 3 นัดรอบแบ่งกลุ่ม เครื่องบินสู่กรุงเอเธนส์คงสตาร์ทเครื่องแล้ว!
เขาคิดผิด ทาคิส ฟิสซาส คิดผิดไปมากทีเดียว
อ็อตโต้ เรห์ฮาเก้ล พาแวร์เดอร์ เบรเมน และ ไกเซอร์สเลาเทิร์น คว้าแชมป์บุนเดสลีกา ประสบความสำเร็จในฐานะเทรนเนอร์ด้วยหลักการแบบของเขา
เขาเน้นระเบียบวินัยอย่างมาก ค่อนข้างเข้มงวดและออกจะเผด็จการอยู่สักหน่อย ฟุตบอลของเขาเน้นความแข็งแรง และพละกำลังมากกว่าชั้นเชิงลูกหนัง
เกมรับต้องมาเป็นอันดับแรก ลูกโหม่งต้องดี ขอให้มีตัวด้านข้างทีครอสบอลแม่นๆ กับนักเตะเล่นลูกนิ่งได้ฉมังๆ กับกองหน้าที่สูงใหญ่แข็งแรง นั่นคือทั้งหมดที่เขาต้องการ
เมื่อเข้ามาคุมกรีซ เขาค่อยๆ โละนักเตะที่ไม่ใช่ในแนวทางของเขาออก แม้จะดูมีชั้นมีเชิง เขาค่อยๆ คัดตัวให้เหลือน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมองภาพออกแล้วว่าทีมชุดที่ดีที่สุดของเขามีใครบ้าง อาจจะมีเรียกมาลองฝีเท้าสัก 2-3 คน ถ้าไม่ดีก็หลุด สุดท้ายเขามีกลุ่มนักเตะราว 23 คนที่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
1
ทุกคนเล่นด้วยกันมาเป็นปีๆ เพราะหน้าเดิมๆ ทั้งสิ้น ความผูกพันเริ่มเกิด แม้จะมาจากต่างสโมสร อาจจะเป็นอริกันในฟุตบอลสโมสรในลีกกรีซ แต่ เรห์ฮาเก้ล ย้ำว่า "ชาติต้องมาก่อน"
จากแค่เพื่อนร่วมทีมชาติที่นานๆ เจอกันที กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกัน ทุกคนสามารถยอมเจ็บแทนกันได้ทั้งในและนอกสนาม
ธีโอ ซาโกราคิส มิดฟิลด์ตัวรับดาดๆ เคยเล่นกับเลสเตอร์แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เขาคือกัปตันทีมชุดนี้
จริงๆ นักเตะหลายคนก็เล่นในลีกต่างชาติ นอกจาก ทาคิส ฟิสซาส แล้วก็ยังมี นิคอส ดาบิซาส กับเลสเตอร์, ตรานานอส เดลลาส กับโรม่า, สเตลิโอ จานนาโคปูลอส กับโบลตัน, อันเจลอส ชาริสเตอาส กับเบรเมน, จอร์จอส คารากูนิส กับอินเตอร์ มิลาน รวมถึง ซิซิส ฟรีซาส จากฟิออเรนติน่า
1
กรีซ เล่นด้วยความน่าเบื่อ แอนติฟุตบอล ตามสไตล์ของ เรห์ฮาเก้ล แต่สำหรับนักเตะกรีซ พวกเขาบอกว่า นั่นเป็นทางเดียวของพวกเขาที่จะคว้าผลการแข่งขันมาได้ ด้วยขุมกำลังที่มี
วาซิลิส ซาร์ตาส มือฉมังลูกนิ่งเบอร์ 10 ที่มักเป็นตัวสำรอง, คอสตาส คัตซูรานิส ไปจนถึงฟิสซาส เองยอมรับว่า เป้าหมายของพวกเขา เพียงแค่อยากชนะให้ได้สักนัด ... นัดเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะที่ผ่านมากรีซ เข้าไปเล่นทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้ายไม่เคยชนะใครเลย มีแต่โดนกระทุ้งอยู่ข้างเดียวเป็นไม้ประดับ
1
เปิดมาเกมแรก พวกเขาต้องเจอกับเจ้าภาพโปรตุเกสทันทีในรอบแบ่งกลุ่ม ปรากฏว่า กรีซ พลิกล็อกช็อคโลก เอาชนะไปได้ 2-1 โดยเจ้าภาพมาได้ประตูตีไข่แตกท้ายเกมจากเจ้าหนู คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ชัยชนะนัดนั้น มันปลดปล่อยกรีซ ออกจากความกดดันและความขมขื่นทั้งปวงที่เคยมี จากนั้นทุกคนเล่นด้วยความไม่กดดัน เล่นไปตามที่ซักซ้อมกันมา
1
นัดสองเจอกับสเปน พวกเขาโดนยิงนำก่อน สเปน มีโอกาสฝังแต่ทำไม่ได้ สุดท้ายกรีซ ตีเสมอไดสำเร็จ จบที่ 1-1
นัดสุดท้าย โปรตุเกสเจอสเปน ตัดกันเอง ขณะทีกรีซ ซึ่งมีอยู่ 4 แต้ม เจอกับรัสเซีย มันกลายเป็นทีมหมีขาวที่ตกรอบไปแล้ว เอาชนะกรีซไป 2-1 แต่ ประตูตีไข่แตก 2-1 ของ ซิซิส ฟรีซาส มันดันกลายเป็นประตูสุดสำคัญ เพราะมันทำให้ ผลต่างของกรีซ กับสเปน เท่ากัน แต่พวกเขายิงได้เยอะกว่า (ยิง 4 เสีย 4 ส่วนสเปน ยิง 2 เสีย 2 และเฮด ทู เฮด เสมอกันมา 1-1)
เมื่อผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ กรีซ ทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาเอาชนะ ฝรั่งเศส ที่มี ซีดาน, อองรี, โรแบร์ ปีแรส ช่วงพีค กองหลังมี ลิลิย็อง ตูราม, บิเซนเต้ ลิซาราซู ไปได้ 1-0 ด้วยการเล่นเกมรับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ จอร์คาส ไซตาริดิส แบ็กขวาตามแมน มาร์คกิ้ง ใส่อองรี ส่วนที่เหลือเล่นเกมรับแบบคุมโซน (ไซตาริดิส คือแบ็กขวาทีมยอดเยี่ยมของ ยูโร 2004 ในบั้นปลาย)
รอบรองชนะเลิศ พวกเขาเจอกับสาธารณรัฐเช็ก ทีมที่หากเป็นแฟนบอลที่ไม่ได้เชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษ จะปันใจช่วย เพราะเช็ก คือหนึ่งในทีมแกร่งที่ไม่มีใครอยากเจอด้วย ดุดัน เกมรุกอันตราย แข็งแกร่ง นำโดน พาเวล เนดเวดและจอมเก๋า คาเรล โพบอร์สกี้, โทมัส โรซิชกี้ กองหน้าคือ มิลาน บารอส ที่ร้อนแรงและยักษ์อย่าง แยน โคลเลอร์ นายทวารยังเป็น ปีเตอร์ เช็ก อีกต่างหาก
1
นัดนี้ นอกจากจะเล่นเกมรับกันเป็นพิเศษ กรีซ ยังต้องขอบคุณฟอร์มเหนียวผิดมนุษย์ของนายทวาร อันโตนิส นิโคโปลิดิส เอาไว้ด้วย
เกม 90 นาทีจบที่ 0-0 เมื่อเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่ง ยูโร 2004 ใช้กฎ Silver Goal ซึ่งเข้ามาแทนที่ Golden Goal หมายความว่า ใน 15 นาทีแรกของการต่อเวลาพิเศษ หากทีมไหนมีสกอร์นำ จะเป็นผู้ชนะทันที
เรียกว่ามันยังพอมีเวลาให้ทีมที่โดนยิงก่อนได้แก้ตัว แต่ความคลาสสิกของเกมนี้คือ กรีซ มาได้ประตูจากการเปิดโหม่งลูกเตะมุม ในนาทีที่ 105+ ทดเจ็บอีกเล็กน้อย นั่นหมายความว่าเมื่อบอลเข้าประตู ก็จะหมดเวลาทันที เช็ก ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลยแม้แต่น้อย
กรีซ ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เข้าไปเจอกับเจ้าภาพโปรตุเกส ทีมที่พวกเขาพลิกเอาชนะมาได้ในนัดแรกของทัวร์นาเมนต์!
1
2 คืนก่อนเกมนัดชิง เรห์ฮาเก้ล เรียกนักเตะทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องประชุมในแคมป์ซ้อม ทุกคนเปิดใจกัน มีอะไรไม่พอใจ มีอะไรติดค้างในใจ พูดออกมาให้หมด จากนั้นทุกคนโล่ง และรวมพลังกันเพื่อนัดสุดท้าย นัดชิงชนะเลิศที่มันไกลเกินกว่าที่ฝันไว้มาก
อ็อตโต้ เรห์ฮาเก้ล อาจไม่ใช่เทรนเนอร์ที่เชี่ยวชาญแท็คติกที่สุด แต่เขาเก่งในเรื่องสร้างขวัญกำลังใจนักเตะในทีม เขารู้ดีในเรื่องนี้
"เราทุกคนยอมรับว่าถ้ามีใครบอกกับเราก่อนทัวร์นาเมนต์ว่าเราจะได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงฯ เราคงจะตอบตกลงทันทีเลย แค่นั้นเพียงพอแล้ว เราไม่สนว่าจะแพ้หรือชนะหรอก นั่นคงเป็นสุดยอดแห่งความสำเร็จแล้ว แต่เมื่อเราได้เข้าชิงจริงๆ เรากลับมุ่งมั่นที่จะไปให้สุดก้าวสุดท้ายนี้ เราแยกย้ายจากห้องประชุมโดยรู้ว่าเราต้องปิดงานนี้ให้ได้" ทาคิส ฟิสซาส เปิดเผยถึงความรู้สึกในใจของนักเตะกรีซทุกคน ก่อนนัดชิงชนะเลิศ
1
มันเป็นเกมที่ โปรตุเกส พยายามทำทุกอย่าง ณ สังเวียน เอสตาดิโอ ดา ลุซ ของเบนฟิก้า สนามเหย้าที่ ทาคิส ฟิสซาส เองคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เจ้าภาพบุกหนัก ครองบอล พยายามทำประตูให้ได้ ทีมของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ครองบอล 58% โอกาสยิงทั้งหมด 17 ครั้ง
ส่วนกรีซ โอกาสยิง 4 ครั้ง และเข้ากรอบแค่ครั้งเดียว แต่ครั้งเดียวนั้น มันคือประตูชัยในนาทีที่ 57 จากการโหม่งของ อันเจลอส ชาริสเตอาส
แฟนบอลกรีก ราว 15,000 คนในสนามวันนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อนกหวีดยาวหมดเวลาดังขึ้น จากอัตราต่อรองแชมป์เป็นรองบ๊วย 150/1 พวกเขาคือแชมป์ยูโร 2004 จริงๆ
สื่อหลายเจ้า แม้จะยกย่องถึงความสำเร็จอันแสนมหัศจรรย์ดุจเทพนิยายกรีกของพวกเขา แต่ก็ไม่วายตำหนิว่าฟุตบอลแบบนี้ มันคือการทำลายความสวยงามของเกม "น้ำตาหลั่งไหลลงจากใบหน้าของเกมที่สวยงาม" หรือ "มันน่าเสียใจที่แชมป์ตกเป็นของทีมที่ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากตั้งรับ"
ถึงอย่างไรก็ตาม กรีซ ก็เป็นแชมป์แล้ว ด้วยวิธีการแบบของพวกเขาเอง ทาคิส ฟิสซาส บอกเอาไว้แบบนี้ว่า
"เรามีแค่อาวุธที่เราได้รับมา เราไม่ได้มี ซีดาน หรือ ซิเมา หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เรามีแค่การทำงานหนัก การเสียสละ ความมุ่งมั่น และสปิริตความเป็นครอบครัวเดียวกัน สิ่งที่เราทำมันก็เหมือนกับที่ แอตเลติโก้ มาดริด เล่นอยู่ในเวลานี้นั่นแหละ"
ทาคิส ฟิสซาส และเพื่อนร่วมทีม ไม่ได้กลับบ้านไปหลังสิ้นเดือนมิถุนายนอย่างที่บอกกับแฟนสาวคริสติน่า เขาช่วยกรีซ คว้าแชมป์ยุโรปวันที่ 4 กรกฎาคม และกลับถึงเอเธนส์ ในวันที่ 5 โดยมีแฟนบอลเรือนแสนให้การต้อนรับ เหลืออีกแค่ 4 วัน จะถึงงานแต่งของเขาแล้ว
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทุกอย่างก็จัดขึ้นตามแผนจนได้ วันที่ 9 กรกฎาคม ทาคิส ฟิสซาส ได้ฉลองงานสมรสกับคริสติน่า ณ ชายหาดวูลักเมนี่
นอกจากจะมีเพื่อนผู้ร่วมสมรภูมิกันมาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้ว ประธานสมาคมฟุตบอลกรีซ ก็เดินทางมาร่วมงานด้วย และมอบของขวัญพิเศษให้กับบ่าวสาวนำไปครอบครองเป็นเวลา 1 คืน
"เขานำโทรฟี่แชมป์ ยูโร มาวางบนโต๊ะผม เราไม่ใช่คู่แต่งงานเดียวบนชายหาดวันนั้น ยังมีอีก 2-3 คู่ที่จัดใกล้ๆ กัน"
"ทุกคนจากงานแต่งอื่นก็อยากมาร่วมและถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์ด้วย ทุกคนลืมเจ้าบ่าวเจ้าสาวกันหมด เราเริ่มต้นวันงานด้วยคน 300 คน แต่ตอนตี 2 บนชายหาด บางทีอาจจะมีสัก 1,000 คนอยู่ที่นั่น ทุกคนมาร่วมฉลองกับพวกเรา!"
1
มันช่างเป็นซัมเมอร์ที่แสนสุขเหลือเกินสำหรับ ทาคิส ฟิสซาส
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
1
โฆษณา