กลยุทธ์การโฆษณาใช้ได้ดีกับสินค้าทุกตัวหรือไม่?
แน่นอนว่าการทำโฆษณาทั้งแบบการให้ข้อมูล ความสามารถ คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ (Informative advertising) และการโฆษณาแบบโน้มน้าวใจให้ลูกค้าเชื่อมั่นในประสิทธิภาพที่ดี (Persuasive advertising) ย่อมทำให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นแน่นอน หรืออย่างน้อยการโฆษณาสามารถสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าให้กับลูกค้าได้
แต่การโฆษณาจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยแตกต่างกันหรือไม่
สินค้าชนิดที่ 1 อธิบายแบบเศรษฐศาสตร์ โดยใช้กราฟ (P=Price, Q=Quantity, D=Demand)
จากกราฟสินค้าชนิดที่ 1 มีความต้องการสินค้าของผู้บริโภคอยู่ที่ราคา P บาท และปริมาณความต้องการของสินค้าที่ขายได้ คือ Q1 (หรือเส้นสีน้ำเงิน) โดยเมื่อลูกค้าได้เห็นโฆษณาทำให้ความต้องการสินค้าของผู้บริโภค (Demand: D) เพิ่มขึ้นจาก D1 เป็น D2 หมายความว่าการทำโฆษณาทำให้ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น (เส้นสีแดง) ทำให้ขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นที่จำนวน Q2
สินค้าชนิดที่ 2 อธิบายแบบเศรษฐศาสตร์ โดยใช้กราฟ (P=Price, Q=Quantity, D=Demand)
เมื่อเปรียบเทียบสินค้าชนิดที่ 2 เมื่อทำโฆษณาแล้ว มักจะพบว่าความต้องการของผู้บริโภคกลับเพิ่มขึ้นจาก D1 เป็น D2 ซึ่งทำให้ปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า (พื้นที่สีแดงในสินค้าชนิดที่ 2 มากกว่าสินค้าชนิดที่ 1)
แสดงให้เห็นว่าการโฆษณาไม่ได้เป็นกลยุทธ์เพียงอย่างเดียวที่ใช้เพิ่มยอดขายให้กับสินค้า
ยกตัวอย่างเช่นสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาอบขนมปังที่การโฆษณาจะเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อสร้างการรับรู้ของสินค้า แต่การจะเพิ่มยอดขายที่แท้จริงต้องแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่คุ้มค้า มีประสิทธิภาพ และมีการพัฒนาที่ดีกว่าคู่แข่งในตลาด
แต่เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่ลงทุนในการทำโฆษณาค่อนข้างสูง ประกอบกับคู่แข่งในตลาดเป็นจำนวนมากทำให้การโฆษณาเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภค เพื่อสร้างยอดขาย
ดังนั้นก่อนที่บริษัทจะวางกลยุทธ์การตลาดหรือการขาย บริษัทจะต้องศึกษาตลาด คู่แข่งในตลาด พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าและบริการแต่ละชนิด รวมไปถึงลักษณะสินค้าและบริการของตนเองก่อน เพื่อที่จะได้วางแผนการทำโฆษณา หรือกลยุทธ์การขายได้ถูกทาง เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
