24 พ.ค. 2021 เวลา 08:11 • ประวัติศาสตร์
เรื่องเล่าชาวดอย ตอนที่ 1 ภาษานั้นสำคัญนักแล
การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึงจริงไหม
ต้องออกตัวก่อนว่าการเขียนบทความนี้เป็นการนำประสบการณ์ของเด็กดอยคนหนึ่งที่เกิดและใช้ชีวิตอยู่บนดอย ดังนั้นบทความนี้จึงเป็นสิ่งที่ตัวเองพบเจอมาทั้งส้ิน ไม่ได้อิงหลักการใด ๆ ใช่เลยค่ะ คนชายขอบก็เป็นครูชายขอบ
ในสมัยก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาอย่างทั่วถึงตามนโยบายการศึกษาขั้นบังคับ ต่อมาก็เรียนฟรี ของยุคสมัยต่าง ๆ นั้น การติดตามคุณแม่หรือลุงป้าน้าอา เข้าไปในเมืองแต่ละทีเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ เนื่องจากอะไรที่บนดอยไม่มีแต่ในเมืองมี ทั้งที่จากบ้านถึงตัวอำเภอเมืองห่างกันแค่ประมาณ 25 กิโลเมตร เท่านั้น
ที่บ้านไม่มีอะไรบ้าง ไม่มีประปา ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีถนนลาดยาง แต่ที่บ้านมีแม่น้ำ มีน้ำจากภูเขา มีตะเกียง ถนนดินแดงเดินทางออกมาในหน้าแล้งเต็มไปด้วยฝุ่นเสื้อผ้าไม่เหลือเค้าเดิมจากที่มันมีสีไข่ จะกลายเป็นสีโอวัลติน กาแฟ ทันทีส่วนหน้าฝนนะเหรอจะกลายเป็นโคลน คนที่มีรถจะไปในเมืองที่ต้องหาโซ่มาติดล้อรถ พอรถว่ิ่่งไปติดหล่มคนตัวโต ๆ ต้องลงไปช่วยกันเข็นรถทั้งแบบนั้น
ถนนก็จะมีสภาพแบบนี้
พอไปถึงในเมืองสภาพของคนเดินที่ผ่านมรสุมลูกใหญ่ ๆ ( เข็นรถติดหล่ม) มันก็ออกจะ ไม่น่าดูซักหน่อย คนเมืองเห็นสภาพคนดอยที่เข้ามาในเมืองในสภาพเปื้อนดินเปื้อนโคลน (ยังพอจะเข้าใจ) แต่เสื้อผ้าก็เก่ามอซอ (ก็ไม่มีเงินซื้ออะนะ) สายตาที่มองมาแบบว่าเอ็นดู้ เอ็นดู 555 คือดูถูกอะเนาะ ดูแบบเหยียด ๆ บางคนเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ก็แบบทำแบะปาก มองบน ประมาณนี้ คนที่ถูกมองแบบนี้ก็จะคิดในใจว่าทำไมต้องมองแบบนั้น
ยังไม่พอเวลาส่งภาษาพูดกัน คนเมืองก็จะถามด้วยภาษาเมือง แต่คนดอยก็จะสื่่อภาษาด้วยภาษาเมือง + ภาษามือ + ภาษาบนดอย ผลการสื่อสารรึ คนดอยรู้ภาษาคนเมืองบ้าง คนเมืองก็รู้ภาษาคนดอยบ้างแบบเดา ๆ เอานะ สรุปใครเก่งกว่ากัน
โฆษณา