.
แต่แล้วชีวิตก็ไม่ปลอดโปร่งตลอดเวลา ร่างกายสังขารทั้งหมดออกจะเร่งรัด ๆ แล้วสังขารทั้งหมดนี่มันมีวันเสื่อม มีอายุขัย อายุที่ธรรมชาติกำหนด ส่วนตัณหานี่เรากำหนด เรื่องความอยาก ความเร็ว ความอะไรต่างๆ เรื่องของ standard อะไรต่าง ๆ รวมทั้งเป้าหมายด้วย เรากำหนดขึ้น แต่พอเราไม่ประสีประสากับลักษณะหรือกำหนดของสังขารตามครรลองธรรมชาติ พูดภาษาง่าย ๆ ก็คือ ความแก่เฒ่าถูกกำหนดโดยธรรมชาติ เรากำหนดเองไม่ได้ ดังนั้นพอมาถึงจุดหนึ่ง ความอ่อนล้าของร่างกาย ของสมอง สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ความอ่อนล้าเหล่านี้มันจะเริ่มบอกเราว่า งานกินเลี้ยงที่เรามุ่งมาดจะไปให้ถึง กำลังถูกขัดขวาง
.
มันเหมือนกับรถติด มันหนัก แล้วเราจะโกรธใครก็ไม่ได้ คือรถติดยิ่งโกรธนี่ยิ่งกัดกินตัวเอง ขณะนี้ ในวัยนี้ ผมเองรู้สึกมาก ๆ อยากทำงาน อยากเคลื่อนไปข้างหน้า แต่พร้อมกันนั้นสังขารมันบอกว่า เวลาของเธอน่าจะหมดแล้ว
.
ทีนี้มันก็เกิดการปรับ คำถามก็เกิด แล้วงานอะไรล่ะที่เหมาะกับช่วงรถติด งานอะไร ชีวิตแบบไหน
.
รถติดหนัก ๆ คุณจะทำอะไรได้ แล้วควรจะเลิกอะไร อันนี้ผมว่าสำคัญนะ ควรจะเลิกอะไร ควรจะเริ่มอะไร
.
เลิกนี่อย่างหนึ่ง เริ่มนี่อีกอย่างหนึ่ง ก็เพียงเล่าถึงชีวิตซึ่งเป็นช่วง ๆ ชีวิตช่วง ๆ นั้นเราคิดตามได้ แต่มีลักษณะหนึ่งของชีวิตที่พริบตานี่มันแปลกมาก ความรู้สึกของเราที่เป็นอยู่เมื่อตอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ เราจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างคงที่
.
จริงอยู่ ในทัศนะของเรา เรารู้ว่ามันเปลี่ยน แต่โดย sense โดยความเป็นอยู่ของเรา เราจะไม่เฉลียวใจ ว่าทุกขณะคือการเปลี่ยนแปลง หัวใจที่เต้นนั้นทุกจังหวะคือการเปลี่ยนแปลง แต่เรากลับรู้สึกว่า นั่นคือความมั่นคง หัวใจยังเต้นอยู่ ฉันยังเป็นฉันอยู่ตลอดเวลา
.
ในโครงสร้างสำนึกอันนี้ เรามาเห็นจุดเปลี่ยน ๓๐ ปีให้หลังเราพบว่ามันเปลี่ยน แต่ที่จริงมันเปลี่ยนตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงชนิดเราไม่รู้ตัว เลยมีคำเตือนของอาจารย์สวนโมกข์ที่ผมรู้สึกว่า ดังขึ้นทุกปี ... คุณจะทำอะไรก็รีบทำ คุณกำลังจะแก่แล้ว
.
ตอนฟังครั้งแรกผมมีความรู้สึกว่า เอ๊ะมันไม่จริงนี่ ผมยังแข็งแรงอยู่ ผมยังตอกตะปูสามนิ้วเข้าไปในไม้แข็ง ๆ ได้อยู่ ยังไม่รู้สึกอะไร แต่มีครั้งหนึ่งเมื่ออายุ ๔๐ ผมตอกตะปู แต่ผมตอกไม่เข้า ตอนนั้นกำลังทำงานก่อสร้างกันอยู่ เอ๊ะ ยังโมโหตัวเอง ทำไมเป็นแบบนี้
.
เราไม่เฉลียวใจครับว่า ในเซลล์ของเราทุก ๆ เซลล์กำลังเสื่อม ความเจริญเป็นภาวะอำพรางของความเสื่อมนั้น
.
มันเจริญ แต่ว่ามันเจริญเพื่อจะเสื่อม ภาษาบาลีเขาเรียกเจริญวัยครับ วัยก็คือคำว่า"วาย" คำหนึ่งด้วย นั้นแหละ เจริญเพื่อที่จะเสื่อม
.
นิพัทธ์พร : การได้เห็นได้รู้อะไรมาก ๆ หรือเข้าใจอะไรมาก ๆ ในวัยที่อายุเยอะ ๆ อย่างนี้ แล้วก็กำลังจะจากไป ว่าตรงๆก็คือ กับคนทั่วไปเลยนะคะ จะมาเข้าใจตอนแก่ ตอนกำลังจะตาย มันมีประโยชน์อะไรล่ะ ทำไมไม่ไปเข้าใจซะตั้งแต่ตอนหนุ่ม ๆ สาว ๆ มันจะได้ทำอะไรได้มากกว่านี้
.
อ.โกวิท : นี่เป็นเงื่อนทางวัฒนธรรมของมนุษย์ คือประสบการณ์สั่งสมมา แล้วได้มารู้ลึกรู้จริงเมื่อวัยเฒ่า แต่ว่าช้าไปแล้วที่จะทำอะไรทั้งหมดด้วยตัวเอง บทบาทหลักคือการถ่ายทอดสู่อนุชน ตรงนี้เป็นเงื่อนทางวัฒนธรรมที่สำคัญนะครับ ดังนั้นช่องว่างระหว่างอนุชนกับผู้ใหญ่, ระหว่างพ่อกับลูก พูดแคบเข้ามา ถ้ามันเกิดช่องว่างในการสูญเสียทรัพย์สมบัติทางภูมิปัญญาที่คนหนึ่งสั่งสมมาตลอดชีวิต แล้วขาดผู้สืบทอด ปัญญาที่สั่งสมไว้มันจะสูญสลาย
.
นี้เป็นเงื่อนทางวัฒนธรรมเลยนะครับ ไม่ว่างานฝีมือช่าง งานสร้างโบสถ์ หรือขนบประเพณีอันทรงเสน่ห์ หรือสิ่งที่พ่อคร่ำหวอดมา แต่ว่าลูกปฏิเสธ เป็นการสูญเสียอย่างใหญ่ อย่างมโหฬารเลยนะครับ ผมคิดว่า สายสัมพันธ์ระหว่างอนุชนกับคนเฒ่า น่าจะมีไม่เพียงแต่หลักความจริงต่างๆ หากควรจะเป็นทักษะ มโนธรรม อะไรทั้งหลาย มันถ่ายทอดได้ ซึมซาบได้ครับ เหมือนที่ระบบคุรุดอม (Gurudom)โบราณท่านใช้อยู่ คุรุดอมเห็นชัดในระบบช่างครับ ตัวช่างกับลูกศิษย์
.
คุรุดอมคือ ศิษย์จะเป็นเหมือนลูกครู ซักผ้านุ่งให้เมียครู ศิษย์ไปเป็นเด็กรับใช้ครู ครูใช้ให้ทำอะไรก็ทำ เรียกระบบคุรุดอม
.
ผมยุให้อาจารย์คนหนึ่งซึ่งชอบฟ้อนโนรามาก ตั้งอาศรมคุรุดอม เพราะว่าการพึ่งอิงระบบวิทยาลัยครูนั้น ไม่ประสบความสำเร็จ โลกโบราณคนภาคใต้นี้ ครูโนราเขาเอาเด็กข้างถนนมาเลย มาเลี้ยงเป็นลูก แล้วถ่ายทอดการฟ้อนตั้งแต่เด็ก ๆ สอนกันทุกมิติของชีวิต
.
ระบบคุรุดอมเป็นรากฐาน เป็นรากเหง้าของมธุรสทางวัฒนธรรม คือวัฒนธรรมที่จะมีรสชาติอิ่มเอิบจริง ๆ ต้องผ่านระบบคุรุดอม ความสัตย์ซื่อภักดีต่อครู ซึ่งเราพบในเรื่องขององคุลีมาล นี้เป็นตัวอย่าง แม้จะดูเลวร้ายก็จริง แต่อย่ามองแคบนะครับ ที่จริงพระพุทธเจ้าก็สร้างระบบคุรุดอม ท่านเรียกพระอรหันต์ว่า ปุตตะชิโนรส ลูกท่านเลย พระอรหันต์นี่ท่านเรียกลูกทั้งนั้น มีที่พระปุถุชนติเตียนพระอรหันต์โดยไม่รู้จัก ท่านได้ปกป้องว่า อย่าติเตียนลูกเรา ท่านใช้คำว่า"โอรส"เลยนะครับ ศากยบุตร ใช้คำว่า"ศากยบุตร" บุตรของศากยมุนี
.
ความรู้สึกที่คนรุ่นก่อนแผ่ความเมตตากรุณามานั้น เป็นสื่อของภูมิปัญญา ผมเองโดยส่วนตัวชอบคนแก่ เจอคนแก่เหมือนพบเจดีย์ เจดีย์กำลังจะพังแล้ว กำลังสึกกร่อนลงแล้ว แต่เจดีย์มันไม่มีร่มเงานะเพราะยอดมันแหลม มันไม่เหมือนเพิงหรือปราสาท แต่เจดีย์เป็นหลักชัย เป็นอะไรบางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ การที่ผมรู้สึกคนโบราณศักดิ์สิทธิ์นี่ คงเป็นอารมณ์ romantic ของผมนะ (หัวเราะ) ที่จริงท่านก็คือชาวบ้านธรรมดา เหมือนเด็ก ๆ เราถูกสอนให้มองพ่อแม่เหมือนพระเจ้า พอหิวขึ้นมาก็ดูดนมแม่ ซึ่งรน้ำนมจากอกแม่เหมือนเนรมิตขึ้นมา การเห็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่เป็นพระเจ้านั้น มันดีในช่วงต้น ๆ ครับ แต่เมื่อพัฒนาภูมิปัญญาถึงระดับหนึ่งแล้ว เรารู้ว่าท่านเป็นพระเจ้าที่ร้องไห้เป็น เมื่อเติบโตแล้ว อ๋อที่จริงแม่เราก็ร้องไห้เป็นเหมือนกัน
.
นิพัทธ์พร: ใช่ค่ะ กว่าจะมองพ่อแม่เป็นปุถุชนได้นี่ ต้องต่อสู้อย่างหนักเลยนะคะ
.
อ.โกวิท : อืม... ต่อสู้ภายในของเราเองนะ ต่อสู้ภายในอย่างหนัก ที่จะยอมรับได้ว่า แม่ก็ร้องไห้เป็นเหมือนกัน วีรบุรุษของเราก็คือคนธรรมดานั่นเอง
.
หลายสิบปีมาก กว่าผมจะลดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าลง จนสามารถมองท่านในภาพของความเป็นธรรมดาได้ แต่ก่อนผมเถียงกับเพื่อนนี่ถึงขั้นโมโหเลยนะครับ คือจำได้ว่าคน ๆ หนึ่งไม่รู้ว่าจะออกชื่อดีหรือไม่ดี เขาแสดงมติว่า พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุด ไม่จำเป็นต้องสรุปว่า พระพุทธเจ้าดีที่สุด ผมโกรธมาก
.
แต่ตอนนี้รับได้ครับ รับได้ว่า อ๋อ ถ้อยคำที่เขาพูดนั้น เป็นถ้อยคำมองในแง่ของภูมิปัญญา ไม่ใช่ลบหลู่อะไร การที่เรามองพระพุทธเจ้าเป็นเทพหรือเป็นภาพสูงส่งอะไรนั้น มันเป็นอารมณ์ romance ของเราเอง ไม่ใช่ความเป็นจริงที่ท่านเป็น
.
ความจริงที่ท่านเป็นนั้น ผมเชื่อว่า รากฐานของท่านคือความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ทรงภูมิปัญญา ถ้ามีใครพูดว่า พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องฉลาด ก็ย่อมมีพระพุทธเจ้าที่เหนือพระพุทธเจ้าไปอีก ก็ไม่ว่าอะไรนะ เมื่อเป็นอย่างนั้น พระพุทธศาสนาวางรากฐานไว้ว่า มีพระพุทธเจ้าหลายองค์ แล้วแต่ละยุค พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็มาโปรดเพื่อความเหมาะสมตามบริบทแห่งยุค อันนี้รับได้