Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
no name
•
ติดตาม
27 พ.ค. 2021 เวลา 03:00 • กีฬา
" ดราม่าวันสุดท้ายของบาร์ซ่า "
โยฮัน ครัยฟ์ กลับมาสู่บาร์เซโลน่า เมื่อปี 1988 หนนี้ในฐานะเทรนเนอร์ พร้อมกับกับนำปรัชญาการเล่นฟุตบอลแบบฉบับของอาแจ็กซ์ และฮอลแลนด์ติดตัวมาด้วย
ก่อนหน้าที่ยอดนักเตะเทวดา จะกลับมาบาร์เซโลน่าเพื่อคุมทีม พวกเขาคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้แค่ 2 สมัยในรอบ 28 ปี พวกเขาไม่เคยได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ (ชปล. ปัจจุบัน) และแชมป์ยุโรปรายการเดียวที่เคยได้คือ คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1978/79
เมื่อ ครัยฟ์ เข้ามาก็เข้มข้นกับศูนย์ฝึกเยาวชน ลา มาเซีย และค่อยๆ สร้างทีมที่มีส่วนผสมของนักเตะสเปนท้องถิ่นเช่น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, โฆเซ่ บาเกโร่, ฆูลิโอ ซาลินาส, ซิกิ เบกิริสไตน์ บวกกับดาราดังต่างชาติเช่นไมเคิ่ล เลาดรุ๊ป, โรนัลด์ คูมัน, ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ จนมาถึง โรมาริโอ
บาร์เซโลน่ายุคต้น 90s ของ ครัยฟ์ เลยถูกเรียกว่า Dream Team เพราะเต็มไปด้วยยอดนักเตะ และเล่นฟุตบอลพาสซิ่งอย่างที่ครัยฟ์ ต้องการ
พวกเขาคว้าแชมป์ ลา ลีกา ต่อเนื่องกันมา 4 สมัย, ซิวแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ เพิ่มอีกใบ และคว้าแชมป์ใบใหญ่ยุโรปมาครองได้เป็นสมัยแรกในปี 1992
แต่ในการลุ้นแชมป์ ลา ลีกา ของ บาร์เซโลน่า ฤดูกาล 1993/94 มันกลายเป็นการลุ้นที่เรียกได้ว่าดราม่ามากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เนื่องจากต้องไปตัดสินกันในแทบจะช่วงสุดท้าย ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ที่ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า สโมสรที่ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ ในรูปของถ้วยรางวัลแบบจริงๆ จังๆ เลย อาเซนิโอ อิเกลเซียส เข้ามาคุมทีมปีเดียวกับ โยฮัน ครัยฟ์ เขาพา ลา กอรุนญ่า เลื่อนชั้นจาก ลีกา 2 สู่ลา ลีกา ได้สำเร็จในปี 1991
ปีแรกบนเวที ลา ลีกา พวกเขาจบอันดับ 17 เพลย์ออฟรอดตกชั้นหวุดหวิด และตอนซัมเมอร์ 1992 พวกเขาก็คว้าเอาดาวยิงบราซิลวัย 28 ปีมาจาก วาสโก ดา กาม่า ซึ่งกองหน้าคนนั้นมีชื่อว่า เบเบโต้!
เบเบโต้ และ เมาโร ซิลวา มิดฟิลด์เพื่อนร่วมชาติย้ายมาในปีเดียวกัน ทั้งคู่ช่วยยกระดับ ลา กอรุนญ่า อย่างชัดเจน ภายในปีแรก พวกเขาก็จบถึงอันดับ 3 ของตารางคะแนน และ เบเบโต้ ซัดไป 29 ประตูในลีก
ทุกคนมอง เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ของเทรนเนอร์อิเกลเซียส ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่คือทีมที่มีศักยภาพลุ้นแชมป์ได้
ซึ่งในฤดูกาล 1993/94 มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ขุมกำลังชาวสเปนท้องถิ่นอย่าง นานโด, โลเปซ เลการ์เต้ ที่คว้ามาจากบาร์เซโลน่า, โบโร่, ฟราน, เคลาดิโอ บาร์รากัน บวกกับแข้งต่างชาติอย่าง มิโรสลาฟ ยูคิช กับสามแซมบ้า เบเบโต้, เมาโร ซิลวา และ โดนาโต้ ทำให้ ลา กอรุนญ่า เป็นทีมที่เล่นกันได้อย่างเหนียวแน่นแข็งแกร่ง
พวกเขาไม่ได้มีเกมรุกดุดันเหมือน บาร์ซ่า, ซาราโกซ่า หรือ เรอัล มาดริด แต่พวกเขามีเกมรับที่สุดยอด เหนือกว่าทีมร่วมลีกไปอีกระดับ
หลังเตะจบไป 37 นัด ลา กอรุนญ่า คือทีมจ่าฝูง และเสียประตูไปแค่ 18 ลูกเท่านั้น พวกเขาครองบัลลังก์จ่าฝูงมานาน 24 แม็ทช์เดย์
ตอนนั้น ลา ลีกา ยังใช้ระบบชนะได้ 2 คะแนน เสมอ 1 คะแนน ลา กอรุนญ่า มีแต้มนำบาร์เซโลน่า อยู่ 1 คะแนน (55 ต่อ 54)
สำหรับ บาร์เซโลน่า นั้น พวกเขากวาดแชมป์ ลา ลีกา มา 3 สมัยติด ดรีม ทรีม ของ โยฮัน ครัยฟ์ กำลังถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ฤดูกาลนี้กลายเป็นฤดูกาลที่หนักหน่วง เพราะจนถึงนัดที่ 23 พวกเขาแพ้ไปแล้วถึง 7 นัด แต่มาเข้าเบรก ชนะ 12 จาก 14 นัด ก่อนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล นั่นทำให้พวกเขายังได้ลุ้นแชมป์กับ ลา กอรุนญ่า
สิ่งที่บาร์ซ่าได้เปรียบคือ เฮด ทู เฮด เนื่องจากเกมที่ ริอาซอร์ เจ้าถิ่นชนะ 1-0 ก็จริง แต่เกมที่ คัมป์ นู บาร์ซ่า เอาคืนถล่มไปถึง 3-0
ดังนั้นเกมสุดท้ายของฤดูกาล บาร์ซ่า ต้องการ "ผลการแข่งขันที่ดีกว่าของลา กอรุนญ่า"
หากพวกเขาชนะ ลา กอรุนญ่า ต้องห้ามชนะ, หากพวกเขาเสมอ ต้องแช่งให้ ลา กอรุนญ่า แพ้
บาร์เซโลน่า เปิดบ้านเจอ เซบีย่า ที่ยังมีลุ้นทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรป
ส่วน ลา กอรุนญ่า เปิดบ้านเจอกับบาเลนเซีย ที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว
เกมการแข่งขันนัดสุดท้ายเริ่มต้นขึ้น
ความได้เปรียบตกอยู่กับ ลา กอรุนญ่า แทบตลอดทั้งเกม เพราะแม้ยังยิง บาเลนเซีย ไม่ได้ แต่ที่ คัมป์ นู กลายเป็น เซบีย่า ที่ออกนำถึง 2 ครั้ง 2 ครา เมื่อจบ 45 นาทีแรก
พอเข้าสู่ครึ่งหลัง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ ตีเสมอให้บาร์ซ่า 2-2 แต่สกอร์นี้ ลา กอรุนญ่า ยังเป็นแชมป์
กระทั่งนาทีที่ 70 โมเมนตัมก็เปลี่ยนเมื่อ โรมาริโอ ยิงให้บาร์ซ่าแซงนำ 3-2 (ซึ่งในซัมเมอร์นั้น เขาจะได้จับคู่กับ เบเบโต้ พาบราซิลเป็นแชมป์โลกที่อเมริกา)
เหมือนปลดล็อก พอนำปุ๊บ บาร์ซ่า ก็เล่นด้วยความมั่นใจ เซบีย่า ยิ่งต้องแลก บอลเข้าทาง ไมเคิ่ล เลาดรุ๊ป พาทีมนำห่าง 4-2 และในนาทีที่ 87 โฆเซ่ บาเกโร่ ก็บวกเป็น 5-2 ถึงตอนนี้ เหลือเวลาอีกแค่ 3 นาที ชัยชนะของบาร์ซ่า ไม่หลุดลอยไปไหนแล้ว ที่ต้องทำคือไปลุ้นผลของ ลา กอรุนญ่า
บังเอิญเหลือเชื่อ ในนาทีเดียวกันกับที่ โฆเซ่ บาเกโร่ ทำประตู 5-2 ให้บาร์ซ่านั้น ที่ริอาซอร์ เจ้าถิ่นมาได้จุดโทษ!
นานโด ได้บอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ เขาแตะบอลทะลุเข้าข้างในแต่แล้วก็โดน โฆเซ่ เซเรร์ กองหลังบาเลนเซียแหย่ขาสกัด เขาล้มทันที และผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดดังเป็นสัญญาของจุดโทษ
1
นักเตะลา กอรุนญ่า บางคนลงไปนั่งกับพื้นด้วยความตื้นตัน ข้างสนามกอดกันกลม เพราะมันกำลังจะเป็นประตูสุดสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
หมายความว่า หากยิงเข้า และไม่พลาดโดนตีเสมอในช่วงอีก 2-3 นาทีสุดท้าย ลา กอรุนญ่า จะคว้าแชมป์ ลา ลีกา สมัยแรกได้สำเร็จ
ปัญหานิดหน่อยก็คือ โดนาโต้ มือ 1 ตัวชัวร์ด้านลูกนิ่งและจุดโทษของทีม ดันโดนเปลี่ยนตัวออกไปแล้ว
คนยิงอันดับ 2 ไม่กล้าเพราะแบกความกดดันมากเกินไป ผลก็คือ หน้าที่ยิงจุดโทษตกเป็นของ มิโรสลาฟ ยูคิช เซนเตอร์แบ็กยูโกสลาเวีย วัย 28 ปี
ยูคิช วิ่งมาตัดสินใจแปไปทางซ้ายมือของตัวเอง มันเบาเกินไป และที่สำคัญ โฆเซ่ กอนซาเลซ นายทวารของบาเลนเซีย ก็เดาทางถูก พุ่งไปคว้าติดมือ พร้อมกับลุกมาแสดงอาการสะใจอย่างสุดเหวี่ยงราวกับว่า บาเลนเซีย ของเขาเป็นแชมป์เสียเอง!
นี่คือจากพลาดจุดโทษที่ดราม่าที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ลา ลีกา มันเกิดขึ้นในช่วงแทบจะนาทีสุดท้าย ของนัดสุดท้ายแห่งฤดูกาล และมันคือจุดโทษที่จะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับ ลา กอรุนญ่า และบาร์เซโลน่า ได้เลย
จบเกม เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า ทำได้แค่เสมอบาเลนเซีย 0-0 หมายความว่า บาร์เซโลน่า ที่ครองอันดับ 1 บนตารางคะแนนแค่ 5 สัปดาห์ คว้าแชมป์ ลา ลีกา ไปครองด้วยการมีแต้มเท่ากัน แต่เฮด ทู เฮด เหนือกว่า
แต่จะว่าไป นั่นก็เริ่มเป็นขาลงสำหรับ ดรีม ทีม ของโยฮัน ครัยฟ์
4 วันหลังจากได้แชมป์ ลา ลีกา บาร์เซโลน่า ก็เข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เอซี มิลาน ที่ไม่มี มาร์โก แวน บาสเท่น, ฟรังโก้ บาเรซี่ และ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า
ทว่าบาร์เซโลน่า ของ ครัยฟ์ กลับโดน มิลาน ของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ถลุงไป 4-0 จบด้วยความชอกช้ำ
หลังจากนั้นตลอด 2 ปี บาร์เซโลน่า ของ โยฮัน ครัยฟ์ ก็ไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือเลย ยกเว้น ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า หรือคอมมูนิตี้ ชิลด์ ของสเปน เพียงรายการเดียว ทำให้ ครัยฟ์ ต้องลงจากตำแหน่ง
ส่วน ลา กอรุนญ่า ปีต่อมายังทำได้ดี แต่ก็แค่พระรอง จากนั้นสถานการณ์ยังทรงๆ เป็นทีมระดับ B ถึง B+ ของลา ลีกา มาตลอดจนกระทั่งการเข้ามาของ ฆาเบียร์ อิรูเรต้า ที่พา ลา กอนรุนญ่า คว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 1999/2000 ช่วงนั้นเองที่ทำให้แฟนบอลทั่วไปได้รู้จักกับคำว่า "ซูเปอร์เดปอร์" อย่างแท้จริง
สำหรับ มิโรสลาฟ ยูคิช ผู้ยิงจุดโทษพลาดในเกมกับบาเลนเซีย หลังจากนั้นอีก 3 ปี เขาก็ย้ายไปอยู่กับ บาเลนเซีย เองนั่นแหละ กลายเป็นตำนานอีกคนของสโมสร เพราะเขาเล่นที่เมสตาย่า นานจนถึงปี 2003 เลยทีเดียว
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
www.cheerball.com/news/talk
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
Line :
https://line.me/R/ti/p/@cheerballth
Facebook :
www.facebook.com/cheerball
Twitter :
www.twitter.com/cheerballth
Website :
www.cheerball.com
Youtube :
www.youtube.com/cheerballth
ขอบคุณครับ
3 บันทึก
8
3
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย