28 พ.ค. 2021 เวลา 02:21 • กีฬา
สถิติที่อยู่ยงคงกระพันในบุนเดสลีกามาเกือบ 5 ทศวรรษ โดนทำลายแล้ว จากชายที่ชื่อโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เขาทำได้อย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง
3
บุนเดสลีกาก่อตั้ง ในปี 1963 นับถึงปัจจุบันก็ 58 ปี มีนักเตะที่เคยลงเล่นในลีกนี้ ทั้งหมดราว 6,400 คน แต่ในจำนวนนั้น มีแค่ 7 คนเท่านั้น ที่ยิงประตูได้ถึง 30 ลูกในฤดูกาลเดียว
และในบรรดา 7 คนนั้น มีแค่ 1 คนที่ยิงได้ถึง 40 ลูกในฤดูกาลเดียว เขาคนนั้นมีชื่อว่า เกิร์ด มุลเลอร์
ที่เยอรมัน สถิติ 40 ลูกในปีเดียว ถูกเรียกว่า Rekord für die Ewigkeit หรือแปลเป็นไทยว่า "สถิติชั่วนิรันดร์" มันสื่อความหมายว่า จากนี้ไปคงไม่มีนักเตะคนไหนจะทำลายสถิตินี้ได้อีกแล้ว
1
ลองคิดภาพตามว่า บุนเดสลีกามีแค่ 34 นัดเท่านั้น การยิงถึง 40 ลูก แปลว่าคุณต้องเล่นได้สุดยอดมากๆ จนยิงได้เฉลี่ยมากกว่าเกมละ 1 ลูก
1
คุณต้องหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงการฟอร์มตก และหลีกเลี่ยงการโดนดร็อป ถึงจะมีโอกาสทำแบบนั้นได้ โดยสถิติดั้งเดิม คนยิงสูงสุดในบุนเดสลีกา ที่เกิน 30 ลูกมีดังนี้
40 ประตู - เกิร์ด มุลเลอร์ (บาเยิร์น) 1971-72
38 ประตู - เกิร์ด มุลเลอร์ (บาเยิร์น) 1969-70
36 ประตู - เกิร์ด มุลเลอร์ (บาเยิร์น) 1972-73
34 ประตู - โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (บาเยิร์น) 2019-20
34 ประตู - ดีเทอร์ มุลเลอร์ (โคโลญจน์) 1976-77
31 ประตู - ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง (ดอร์ทมุนด์) 2016-17
31 ประตู - โลธาร์ เอ็มเมอริช (ดอร์ทมุนด์) 1965-66
30 ประตู - อูเว่ ซีเลอร์ (ฮัมบูร์ก) 1963-64
30 ประตู - จุ๊ปป์ ไฮย์เกส (กลัดบัค) 1973-74
2
จะเห็นได้ว่า อันดับ 1 2 3 ของสถิติสูงสุด เป็นเกิร์ด มุลเลอร์ทั้งหมด การที่สื่อมวลชนยกย่องเขาว่าเป็นกองหน้าที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด มุลเลอร์เก่งขนาดนั้นจริงๆ
1
สไตล์การเล่นของมุลเลอร์ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าแบบยืนค้ำในเขตโทษอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เขาวิ่งพล่านไปทั่วสนาม หลายๆครั้ง ถอยต่ำไปถึงกลางสนาม คู่แข่งจึงไม่สามารถจับทางได้ ว่ามุลเลอร์จะมาไม้ไหนกันแน่ ในเกมเดียวกัน เขายืนได้ทั้งหน้าเป้า ริมเส้น และกองกลาง
เฮอร์มัน เกอร์แลนด์ อดีตโค้ชของบาเยิร์น ที่อยู่กับทีมมายาวนานเล่าว่า "เกิร์ด มุลเลอร์ เหมือนวิญญาณ คุณไม่รู้เลยว่าเขาจะโผล่มาที่ไหน และเมื่อไหร่"
2
ขณะที่พอล ไบรท์เนอร์ ตำนานของทีมชาติเยอรมันกล่าวว่า "นี่เป็นนักเตะที่อัจฉริยะที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ถ้าเขายังคงเล่นอยู่ในปัจจุบันนี้ เกิร์ด มุลเลอร์ จะยิงในบุนเดสลีกาได้ปีละ 50-60 ลูก"
มุลเลอร์ สร้างหลายสถิติในฟุตบอลเยอรมัน แต่สถิติที่น่าจดจำที่สุดคือการยิง 40 ลูกในปีเดียว คือการจะทำแบบนั้นได้ คุณต้องเก่งมากๆ และมีองค์ประกอบที่สมบูรณ์สุดๆ นั่นทำให้เมื่อหมดยุคของมุลเลอร์ จึงไม่มีนักเตะคนไหนที่เทียบเคียงกับสถิตินี้ได้อีก
1
จนมาถึงซีซั่นปัจจุบัน คนที่หาญกล้าจะประชันกับ "สถิติชั่วนิรันดร์" ก็ปรากฏตัวออกมา เขามีชื่อว่าโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
ในสมัยเด็ก เลวานดอฟสกี้ สนิทกับคุณพ่อคริสตอฟเป็นอย่างมาก ด้วยความที่เลวานดอฟสกี้มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ส่วนคุณพ่อเป็นคุณครูพละ ดังนั้นทั้งสองคนจึงแลกเปลี่ยน และคุยกันเรื่องฟุตบอลตลอด
คุณพ่อสละเวลาของตัวเองมากมาย เพื่อสานฝันให้เลวานดอฟสกี้ ตัวอย่างเช่น สโมสรเยาวชนของเลวานดอฟสกี้ อยู่ห่างจากบ้านถึง 2 ชั่วโมง ถ้าขับรถไปกลับก็ 4 ชั่วโมง แต่คุณพ่อยินดีจะขับรถไปกลับในการซ้อมทุกๆครั้ง
2
"ที่คุณพ่อพยายามขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากเห็นผมเป็นโปร และบ้านเราจะได้รวยนะ แต่เขาคิดแค่ว่า ผมมีความฝัน และผมรักฟุตบอล เขาก็อยากสนับสนุนเต็มที่แค่นั้นเอง" เลวานดอฟสกี้กล่าว
เลวานดอฟสกี้ เก่งขึ้นเรื่อยๆ และได้ย้ายไปอยู่ทีมเยาวชนของลีเกีย วอร์ซอว์ ทีมดังในโปแลนด์ ในอนาคตอันใกล้ คุณพ่อจะได้เห็นเขาเป็นมืออาชีพแล้ว อย่างไรก็ตาม ตอนเขาอายุ 16 ปี ชีวิตก็ต้องเจอมรสุมเข้าอย่างจัง เนื่องจากคุณพ่อคริสตอฟเสียชีวิต อย่างไม่คาดฝัน
1
"ตอนคุณเป็นเด็ก คุณอยากคุยกับคุณพ่อของคุณในเรื่องต่างๆ อยากมีคนอยู่ข้างๆ ตอนคุณกำลังจะเปลี่ยนจากวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งหลังจากเขาตาย ผมคิดถึงเขาตลอด อยากมีคนคอยปรึกษา ผมภาวนานะ ว่าขอแค่ได้คุยกับเขาสัก 10 นาทีก็ยังดี แต่ผมรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้อยู่แล้ว"
3
เรื่องในสนาม ตอนนั้นเลวานดอฟสกี้เล่นอยู่กับทีมสำรองของลีเกีย วอร์ซอว์ จริงๆเขาก็เล่นได้ดี และสโมสรก็เตรียมต่อสัญญา แต่อยู่ๆ เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรง จนต้องพักยาว และสโมสรก็คิดว่าต่อให้หายกลับมา เขาก็คงเล่นได้ไม่ดีอีกแล้ว สุดท้ายจึงส่งสตาฟฟ์มาแจ้งว่า จะยกเลิกการต่อสัญญาแล้วปล่อยตัวทิ้งแทน
เท่ากับว่าในช่วงเวลาไม่กี่วัน คุณพ่อของเลวานดอฟสกี้เสียชีวิต และความฝันนักฟุตบอลก็แทบจะดับสลาย "ตอนผมโดนบอกเลิกสัญญา ผมเดินไปที่รถ ที่คุณแม่ของผมรออยู่ แม่ถามผมทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เอาแต่ร้องไห้ แล้วบอกเธอว่าผมเจออะไรมาบ้าง"
4
แม่เลวานดอฟสกี้ตอบว่า "โอเค งั้นเดี๋ยวเรามาหาทางกัน" ก่อนที่เธอจะไปเร่ติดต่อสโมสรอื่นๆทั่วโปแลนด์ และสุดท้ายไปตกลงกับทีม ซนิคซ์ ปรุซคอฟ ที่มีขนาดเล็กกว่าลีเกีย วอร์ซอว์มาก ซึ่งเมื่อไม่มีทางเลือก เลวานดอฟสกี้ก็เลยต้องนับหนึ่งกับทีมเล็กๆ อย่างน้อยคิดในแง่ดี ทีมนี้ก็ต้องการเขาจริงๆ
2
นั่นคือบทพิสูจน์แรก ของเลวานดอฟสกี้ เขาค่อยๆรักษาตัวจนหายดี จนกลับมายิงประตูกระจาย ก่อนสุดท้ายได้ย้ายไปอยู่เลช พอซนันอีกทีมใหญ่ในโปแลนด์ และเมื่อช่วยเลช พอซนันได้แชมป์ลีก ในปี 2009-10 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซื้อตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4.5 ล้านยูโร
2
ตอนที่เลวานดอฟสกี้ย้ายไปดอร์ทมุนด์ เขามีอายุ 21 ปี ถือว่ายังเป็นวัยรุ่นมาก แถมการต้องมาอยู่ต่างบ้าน ต่างเมือง และยังไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ ทำให้เขาต้องใช้เวลาปรับตัวอย่างมาก
"อากาศที่ดอร์ทมุนด์ทั้งฝนตก และหม่นหมอง แถมการซ้อมก็หนักหนาสาหัสมากๆ ผมพูดเยอรมันได้แค่ คำว่า "ดังเค่" (ขอบคุณ) อะไรๆก็ดูไม่ดีไปหมด" เลวานดอฟสกี้เล่า
2
อย่างไรก็ตาม โชคดีของเลวานดอฟสกี้ ที่เจอผู้จัดการทีมของดอร์ทมุนด์ที่ชื่อเจอร์เก้น คล็อปป์
คล็อปป์ให้ความเป็นกันเอง และไม่โยนความกดดันใดๆ ให้นักเตะหน้าใหม่ นอกจากนั้นยังใช้ทริกสนุกๆ เป็นกุศโลบายให้นักเตะตั้งใจซ้อมอีกด้วย "ในช่วงที่ผมย้ายไปใหม่ๆ เราสองคนวางเดิมพันกัน ถ้าผมทำได้ 10 ประตูในช่วงซ้อม เขาจะให้เงินผม 50 ยูโร แต่ถ้าผมทำไม่ได้ ผมก็จะให้เงินเขา 50 ยูโร ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ผมเสียเงินให้เขาทุกวัน และเขาก็จะหัวเราะใส่ผม แต่พอผ่านไปราวๆ 2 เดือน คราวนี้เกมพลิก ผมเป็นฝ่ายได้เงินทุกวันบ้าง จนวันหนึ่งเขาบอกว่า 'โอเค เราเลิกเดิมพันกันได้แล้ว นายพร้อมลงเล่นแล้วตอนนี้!' "
ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก เลวานดอฟสกี้ได้เป็นตัวจริงแค่ 1 นัด โดยหน้าที่ของเขาจะเป็นตัวสำรองของลูคัส บาร์ริออส หัวหอกเบอร์หนึ่งของทีม ณ เวลานั้น แต่พอเข้าช่วงครึ่งหลังของซีซั่น คล็อปป์จับเอาเลวานดอฟสกี้ไปเล่นตำแหน่งใหม่ คือกองหน้าตัวต่ำ
ซ้ายเป็นเควิน โกรสครอยซ์ ขวาเป็นมาริโอ เกิตเซ่ หน้าต่ำเป็นเลวานดอฟสกี้ หน้าเป้าเป็นบาร์ริออส นี่คือกลยุทธ์ที่คล็อปป์ใช้พิชิตคู่ต่อสู้ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่น 2010-11
1
สิ่งที่เลวานดอฟสกี้ยังขาดไป คือความเข้าใจเกม เขาคิดว่ากองหน้าก็ต้องจบสกอร์อย่างเดียว แต่กองหน้าที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ต้องครบเครื่องกว่านั้น ต้องจ่ายบอลดี รู้ว่าเพื่อนจะวิ่งไปทางไหน ดังนั้นการถอยเลวานดอฟสกี้ลงมาเล่นตำแหน่งหมายเลข 10 มันทำให้เขาได้เรียนรู้ สิ่งที่ตัวเองไม่เคยเข้าใจมาก่อน
"ผมต้องขอบคุณเจอร์เก้น ที่ให้โอกาสผมเล่นตำแหน่งนั้น 6 เดือนเต็ม มันทำให้ผมรู้วิธี การถอยลงไปเล่นต่ำ และรู้ว่าในฐานะกองหน้า เราควรจะวิ่งอย่างไร กองกลางถึงจะจ่ายบอลให้เราได้ง่ายที่สุด"
1
"ตอนผมมาดอร์ทมุนด์ใหม่ๆ ผมจะทำอะไรเร็วๆ เล่นบอลจังหวะเดียว แต่เจอร์เก้นสอนผมว่า ผมไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ใจเย็นลงหน่อย จับบอลสองจังหวะก็ได้ แม้ทีมจะเล่นบอลเร็ว แต่ไม่จำเป็นต้องเร่งสปีดขนาดนั้น"
ดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์ในฤดูกาล 2010-11 จากนั้นเมื่อเริ่มซีซั่นใหม่ 2011-12 ลูคัส บาร์ริออสได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีกขาด ตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น แต่แทนที่คล็อปป์จะซื้อกองหน้าใหม่ เขาเลือกดันเลวานดอฟสกี้ กลับมาเล่นกองหน้าตัวเป้าเบอร์ 9 อีกครั้ง
ปัญหาคือเลวานดอฟสกี้เล่นไม่ออกเลย เขาดูเหมือนจะแทนที่บาร์ริออสไม่ได้ โดย 9 เกมแรก ในบุนเดสลีการวมแชมเปี้ยนส์ลีก เลวานดอฟสกี้ลงตัวจริงทุกนัด แต่ยิงไปแค่ 2 ประตู
28 กันยายน 2011 ดอร์ทมุนด์ไปเยือนมาร์กเซย ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ปรากฏว่าแพ้เละ 3-0 เลวานดอฟสกี้ ก็เล่นอย่างน่าผิดหวังอีกหนึ่งเกม จนโดนสื่อมวลชนวิจารณ์ยับ ว่าไม่เหมาะยืนหน้าเป้า อย่างไรก็ตาม คล็อปป์กลับไม่เคยต่อว่าเลวานดอฟสกี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว จนตัวเลวานเองละอายใจ ทนไม่ไหวไปถามคล็อปป์เอง
"ผมเข้าไปหาโค้ชแล้วพูดว่า 'เจอร์เก้น คุณบอกผมมาตรงๆได้เลย ถ้าคุณไม่พอใจตรงไหน หรืออะไรที่คุณคาดหวังจากผมกันแน่' เจอร์เก้นตอบกลับมา แม้ผมจะไม่เข้าใจภาษาเยอรมันทั้งหมด แต่ผมเข้าใจจากภาษากาย ว่าเขาไม่ได้โกรธอะไรผมเลย เราเข้าใจกันดี และคุยกันดีมาก"
1
สาเหตุที่คล็อปป์ไม่ได้ว่าอะไร นั่นเพราะ เขาไม่คิดว่าเลวานดอฟสกี้ทำอะไรผิดพลาด มันก็แค่การยิงไม่ได้เฉยๆ เขามั่นใจในตัวนักเตะเสมอ และคิดว่าตัวเลวานก็ควรมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ด้วย
2
เกมต่อมา หลังแพ้มาร์กเซย ดอร์ทมุนด์ลงเล่นบุนเดสลีกาเจอเอาส์บวร์ก ก่อนชนะไป 4-0 เกมนี้เลวานดอฟสกี้ ยิง 3 แอสซิสต์ 1 และจากเกมนั้นมา เลวานดอฟสกี้ก็ไม่เคยหยุดยิงอีกเลย
"บทสนทนาระหว่างผมกับคล็อปป์ มันช่วยคลี่คลายปมในใจของผมเรื่องพ่อ การพูดคุยกับเขา เหมือนกับผมได้คุยกับผู้ใหญ่สักคนที่เราพึ่งพิงได้ เป็นความรู้สึกที่ผมเคยมี ตอนพ่อยังมีชีวิตอยู่ และผมไม่ได้รู้สึกปลอดภัยแบบนี้นานมาก ผมรู้สึกว่าผมคุยกับเจอร์เก้นได้ทุกเรื่อง ผมรู้สึกว่าสามารถเชื่อใจเขาได้"
2
สำหรับเลวานดอฟสกี้ เจอร์เก้น คล็อปป์จึงมี 2 บทบาทซ้อนกัน บทบาทแรกคือโค้ชที่ชาญฉลาดและปรับแนวทางให้เขาเล่นฟุตบอลได้มีมิติขึ้น และบทบาทที่สอง คือเหมือนพ่ออีกคน ที่เขาเชื่อใจได้ และทำให้เขารู้สึกปลอดภัยตลอดช่วงเวลาที่อยู่ดอร์ทมุนด์
"ในบทบาทโค้ชของเจอร์เก้นน่ะหรอ? ผมอธิบายแบบนี้ ย้อนกลับไปตอนสมัยเรียนหนังสือ คุณจำครูคนไหนได้มากที่สุด คนที่สอนสบายๆ ไม่มีดุด่า หรือครูคนที่เข้มงวดกับคุณมาก อัดการบ้านให้คุณหนักๆ เพื่อให้คุณเค้นศักยภาพของตัวเองออกมา อย่างเจอร์เก้นเป็นคุณครูแบบหลัง"
1
เลวานดอฟสกี้ เป็นผู้เล่นคนเดียวของดอร์ทมุนด์ที่ลงสนาม ครบทุกนัดในบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2011-12 สุดท้ายเขายิงได้ 22 ประตู พาทีมเสือเหลืองป้องกันแชมป์ลีกได้อีกสมัย พร้อมด้วยเดเอฟเบ โพคาล อีกหนึ่งรายการ ในซีซั่นเดียวกัน
1
ถึงตรงนี้ เลวานดอฟสกี้ กลายเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบขึ้น ก่อนจะย้ายไปสู่บาเยิร์น มิวนิคในปี 2014 แบบไม่มีค่าตัวตามกฎบอสแมน
1
คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า หนึ่งในนักเตะที่เขาภูมิใจมากที่สุดก็คือเลวานดอฟสกี้นี่แหละ "ความพอใจสูงสุดของผม คือการไปดึงเอานักเตะสักคนจากทีมเล็กๆในลีกโปแลนด์ แล้วพัฒนาให้เขาเป็นนักเตะที่เก่งกาจเหมือนอย่างวันนี้ ถ้าคุณเห็นนักเตะจากลีกโปแลนด์ในวันนั้น กับเลวานดอฟสกี้ในวันนี้ คุณจะไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นคนคนเดียวกัน"
1
เมื่อย้ายมาบาเยิร์น โค้ชคนแรกที่เขารู้จักคือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในฤดูกาล 2014-15 ซึ่งแนวทางการเล่นฟุตบอลของเขาต้องยกระดับตัวเองอีกครั้ง
ที่ดอร์ทมุนด์ เกมบุกของทีมจะเป็นเกมโต้กลับเร็วเป็นหลัก เขาต้องสปรินท์ไปถึงเป้าหมายให้ได้เพื่อทีมได้เล่นเกมเคาน์เตอร์แอทแท็ก แต่ที่บาเยิร์น มิวนิค กวาร์ดิโอล่าสั่งให้เลวานดอฟสกี้ เรียนรู้ว่า หน้าที่ของกองหน้าไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็นการเชื่อมเกมร่วมกับเพื่อนทั้งทีม จนเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน
1
ตอนอยู่ดอร์ทมุนด์ เขาเคยโดนจับไปเล่นหน้าต่ำอยู่ 6 เดือน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เวลาเขาได้บอลต้องดูเพื่อนรอบด้านทันที ว่าใครอยู่ตรงไหน และเมื่อเพื่อนได้บอล เขาต้องไปยืนในตำแหน่งที่ถูกต้องทันที จะไม่มีการยืนค้ำในเขตโทษใดๆ สิ่งที่เป๊ปคาดหวังจากเลวานดอฟสกี้ ไม่ใช่การยิงประตู แต่เป็นการมีส่วนร่วมกับเกม จนทีมชนะต่างหาก
1
มิคาล ซัคโคนี่ นักข่าวชาวโปแลนด์อธิบายว่า "ฤดูกาลที่แล้ว เกมของเลวี่ไม่ใช่แค่พัฒนา แต่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ จากเป็นกองหน้าที่ชอบเล่นเกมโต้กลับ และชอบเลี้ยงบอล คราวนี้เขากลายมาเป็นผู้เล่นที่เข้าใจเรื่องพื้นที่ว่างได้ดีมาก เขารู้ว่าควรจะวิ่งไปตรงไหน รู้ว่าจังหวะไหนควรเล่นวันทัชทันที ตอนนี้เขากลายเป็นกองหน้าที่ฉลาดเป็นกรดไปแล้ว นี่คืออิทธิพลที่เขาได้รับจากกวาร์ดิโอล่า"
1
เรื่องโจ๊กอย่างหนึ่งคือ ตอนเลวานดอฟสกี้อยู่เลช พอซนัน ทีมที่แย่งซื้อตัวกับดอร์ทมุนด์คือแบล็คเบิร์น โรเวอร์สของแซม อัลลาร์ไดซ์ โดยบิ๊กแซมตั้งใจจะซื้อเลวานดอฟสกี้มา เพื่อใช้กับแผนบอมบ์โยนโหม่งของเขา เรื่องนี้ถูกคอนเฟิร์มโดย มาร์ติน โกลเวอร์ หัวหน้าทีมแมวมองของแบล็คเบิร์นในขณะนั้น
2
จากนักเตะที่เคยโดนมองว่ามีดีแค่สูงใหญ่ โหม่งเก่ง แต่พอเข้าสู่ยุคกวาร์ดิโอล่า เลวานดอฟสกี้พัฒนาไปอีกเลเวล การมีส่วนร่วมกับเกมมากขึ้น ทำให้เขาทำประตูได้เยอะขึ้น ถึงตรงนี้ เขากลายเป็นกองหน้าระดับท็อปทรีของโลก และยิงประตูได้ 30 ลูกในบุนเดสลีกา สองซีซั่นติดต่อกัน (2015-16 และ 2016-17)
1
สภาพจิตใจแข็งแกร่ง ลงเล่นได้ตลอดแทบไม่บาดเจ็บ เข้าใจเกม และมีความเป็นเพชฌฆาต ทั้งหมดทำให้เลวานดอฟสกี้ กลายเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์มากจริงๆ
เลวานดอฟสกี้ กลายเป็นผู้เล่นเกรด A แล้ว แต่เขายกระดับเป็นผู้เล่น A+ ในช่วง 2 ปีหลังสุด ในยุคของฮันซี่ ฟลิค กล่าวคือประสบการณ์ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์หมด เพื่อนร่วมทีมอยู่ในระดับสุดยอดทุกตำแหน่ง นักเตะทุกคนมีเซนส์ขั้นอัจฉริยะ
แต่หัวใจสำคัญที่ทำให้เขาก้าวข้ามจาก A ไป A+ ได้ก็คือความทะเยอทะยานจะเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกให้ได้
"เด็กๆที่โปแลนด์ เราเกิดมาด้วยความเชื่อว่า เราไม่มีวันเก่งที่สุดในโลกได้ คือเราไม่เคยมีนักกีฬาประเภทใดๆ ที่เป็นสุดยอดของโลกมาก่อน ดังนั้นเด็กๆ ก็จะไม่มีซูเปอร์สตาร์คนไหนเป็นไอดอล อย่างแมวมองเวลาเห็นนักเตะดาวรุ่งโปแลนด์สักคน ก็จะพูดว่า 'อืม เขาก็มีทักษะดีนะ ในระดับของเด็กโปแลนด์' มันเป็นความรู้สึกออกมาว่า คนโปแลนด์ยังไม่เก่งพอ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครไปถึงจุดสูงสุดสักคน" เลวานดอฟสกี้กล่าว
ความทะเยอทะยานตรงจุดนี้ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาต้องการฝาก Legacy ความยิ่งใหญ่บางอย่างเอาไว้ให้โลก ดังนั้นใน 2 ปีหลังสุด ตอนที่สภาพร่างกายยังสมบูรณ์อยู่ เลวานดอฟสกี้ จึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี เพื่อไปถึงความฝันให้ได้
1
ในฤดูกาล 2019-20 เลวานดอฟสกี้อายุ 31 ปี เขาพาบาเยิร์นคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ และได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า คือถ้ามีการประกาศบัลลงดอร์เขาก็ได้รางวัลไปแล้ว ขณะที่ในบุนเดสลีกาก็ยิงไป 34 ลูก มีนักเตะคนเดียวที่เคยยิงมากกว่าเขา นั่นคือเกิร์ด มุลเลอร์
1
มาในฤดูกาล 2020-21 เลวานดอฟสกี้ มีความกระหายอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ เขาระเบิดฟอร์มแบบที่คุณไม่สามารถจินตนาการได้เลย
เลวานดอฟสกี้ ยิงประตูทุกรูปแบบเท่าที่จะเป็นไปได้ ตั้งแต่ตะบันไกลนอกเขตโทษ ชาร์จจ่อๆในกรอบ 6 หลา, วอลเลย์กลางอากาศ, โหม่งในมุมยากๆ หรือพักอกหนึ่งทีแล้วหวดตูมหายเข้าไปเลย
จนถึงนัดที่ 33 เขายิงได้ 40 ประตู เทียบเท่าสถิติตลอดกาลของเกิร์ด มุลเลอร์ได้สำเร็จ และในเกมสุดท้าย บาเยิร์นจะเจอกับเอาส์บวร์ก ถ้าหากเลวานดอฟสกี้ยิงได้อีก 1 ลูก สถิติอันยาวนาน 49 ปี จะโดนทำลายทันที
บาเยิร์น นั้นเหนือกว่าเอาส์บวร์กมาก แต่เลวานดอฟสกี้ยิงไม่ได้เสียที จนเหมือนจะไม่มีดวงทำลายสถิติแล้ว อย่างไรก็ตาม พอมาถึงนาที 90 ลีรอย ซาเน่ ยิงไกลนอกเขตโทษ ผู้รักษาประตูปัดไม่ขาด เลวานดอฟสกี้ ใช้สัญชาตญาณกองหน้า รีบสปรินท์ตัวไปโฉบแย่งบอลทันที ก่อนฉีกหนีผู้รักษาประตู แล้วซัดบอลเข้าโกล์ที่ว่างเปล่าในที่สุด
2
นี่คือลูกที่ 41 ของเลวานดอฟสกี้ และเป็นการโค่นสถิตินิรันดร์ของเกิร์ด มุลเลอร์ลงได้ นี่เป็นตัวเลขที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนเอาชนะได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วในวันนี้
หลังยิงได้เลวานดอฟสกี้ ถอดเสื้อดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขาไปถึงจุดสูงสุดของวงการฟุตบอลเยอรมันได้จริงๆ และหลังจากจบเกม เขาทวีตข้อความว่า "จงอย่าหยุดฝัน" #LEW4NDOWSK1 ใส่กิมมิค เอาเลข 4 กับ เลข 1 แทรกไว้ในชื่อตัวเอง
41 ประตู ประกอบไปด้วยเท้าขวา 32 ลูก เท้าซ้าย 4 ลูก และโหม่งอีก 5 ลูก เรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กต์ครบถ้วนจริงๆ
และที่ทำให้ 41 ลูกนี้มันพิเศษมากขึ้นอีกคือ เมื่อผ่านไปถึงนัดที่ 26 เลวานดอฟสกี้ยิงได้แล้ว 35 ลูก แต่มาบาดเจ็บหัวเข่า ต้องพักยาว 4 เกม กว่าจะกลับมาเล่นได้ก็นัดที่ 31 ซึ่งเขาต้องยิง 6 ลูกใน 4 เกมที่เหลือ ถึงจะทำลายสถิติของมุลเลอร์ได้
1
แต่เลวานดอฟสกี้ ก็ยังอุตส่าห์ทำได้จริงๆ สรุปแล้วเขายิง 41 ลูก จากการลงสนามแค่ 29 เกมเท่านั้นเอง เป็นสถิติที่เหลือเชื่อมากเหลือเกิน
2
สำหรับ "สถิติชั่วนิรันดร์" ก็ถูกโค่นอย่างเป็นทางการในปีนี้ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ จากเกิร์ด มุลเลอร์ถึงเลวานดอฟสกี้ใช้เวลาถึง 49 ปี และไม่รู้ว่าคนต่อไปที่จะมาโค่นสถิติของเลวานดอฟสกี้ต้องใช้เวลานานกี่ทศวรรษ
เมื่อพูดถึงแบ็กกราวน์ของเลวานดอฟสกี้แล้ว เขาเคยเป็นนักเตะที่โดนปล่อยตัวทิ้งในสมัยเยาวชน เคยเป็นกองหน้าที่แซม อัลลาร์ไดซ์ชอบ เพราะคิดว่าโหม่งเก่งอย่างเดียว แต่ว่าทุกๆวันที่ผ่านไป เขาค่อยๆพัฒนาตัวเองขึ้นมาช้าๆ และเป็นโชคดี ที่ได้รู้จักคนเก่งๆที่พร้อมซัพพอร์ตเขาอย่างคล็อปป์ และได้รู้จักอัจฉริยะที่ยกระดับการเล่นอย่างกวาร์ดิโอล่า ก่อนจะมาสุกงอมในยุคของฟลิค
มาวันนี้ เขาคือหัวหอกเบอร์ 1 ของโลกอย่างไม่มีคำถาม และถึงตรงนี้เลวานดอฟสกี้สามารถเป็นไอดอลให้เด็กโปแลนด์ได้แล้วว่า นี่แหละคือกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกนะ เป็นนักกีฬาที่คนโปแลนด์สามารถอวดกับคนทั่วโลกได้อย่างภูมิใจได้เสียที
#LEWANDOWSKI
1
โฆษณา