29 พ.ค. 2021 เวลา 05:14 • ท่องเที่ยว
Mystical Mrauk U .. บทส่งท้าย กับสายน้ำ และทางกลับบ้าน
ไม่มีการเดินทางจากบ้านไปที่ไหน แล้วไม่เลิกรา … การเดินทางในพม่า ณเมืองมรัคอูของเรามาถึงบทสุดท้ายแล้วนะคะ
เช้านี้เราเตรียมตัวเดินทางกลับ โดยเลือกที่จะใช้เส้นทางการเดินทางทางเรือที่เราเช่าเหมาลำ
เรือที่นั่งไปชั้นบนเป็นคนบังคับเรือ จะได้มองเห็นทั้งหมด ข้างล่างมีเก้าอี้ให้นอนสำหรับคนโดยสาร มีห้องน้ำในตัว .. คนคุมหางเสือที่เป็นใบพัดเหมือนเรือหางยาวนี่จะยืนบนแท่นบนชั้น 2 หรือดาดฟ้าเรือ ยืนตรงมองไปข้างหน้า
เราล่องเรือไปตามแม่น้ำกัลดาน (Kaladan River) … อันเป็แม่น้ำสายหลักในบริเวณนี้ กะๆด้วยตาบางช่วงคงกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาราว 3 เท่า
ว่ากันว่า … แม่น้ำกาลาดานเป็นแม่น้ำที่ยังไม่มีเขื่อนกั้นที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในปัจจุบัน
อันดับ 1, 2, 3 คือแม่น้ำ Fly, Mamberamo และ Sepik ใน New Guinea และอันดับ 4 คือ Pechora ใน Russia
ทิวทัศน์ระหว่างทางจาก Sittwe ไป Yongon ตลอดอ่าวเบงกอล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ เหมาะสำหรับการเพาะปลูก มีแม่น้ำสายเล็กๆ เหมือนเส้นเลือดฝอย แตกแขนงจากแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลคดโค้งไปมาจำนวนมาก
แม่น้ำสายนี้เป็นทั้งถนนที่เชื่อมต่อผู้คนที่ห่างไกลกับโลกภายนอก และเป็นสายเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงผืนนาที่ปลูกข้าวเลี้ยงผู้คน .. รวมถึงเป็นแหล่งจับปลาน้ำจืดที่สำคัญแห่งหนึ่งของพม่า
น้ำไม่เคยเหือดแห้งจากแม่น้ำสายนี้ ปลาจึงไม่เคยหมด ... ชาวยะไข่ส่วนหนึ่งจึงจับปลาเป็นอาชีพหลักมาช้านาน พอๆกับการทำนาเป็นอาชีพหลัก
บ้านเรือนของผู้คนริมน้ำปลูกสร้างง่ายๆห่างไกลจากคำว่า “โอ่อ่า อลังการ” ...ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ หรือไม้ไผ่ หลังคามุงจาก .. อาจจะเพียงพอแค่เป็นที่ “คุ้มหัวนอน” เท่านั้น
ชาวนาพม่าใน Mrauk U ใช้วัวในการไถ คราด เรือกสวนไร่นาเป็นหลัก หากคุณจะมองหาเครื่องจักรที่ชุมชนที่เจริญแล้วใช้เป็นเครื่องทุนแรง เหมือนในเมืองไทย คงหาดูได้ยาก หรืออาจจะไม่มีให้เห็นเลย …
เหมือนๆกับหากจะพูดในทางกลับกันว่า การจะหาภาพของชาวนาไทยใช้วัวควายในการไถคราดนา คงไม่ใช่เรื่องง่าย จนเดี๋ยวนี้ต้องมีโรงเรียนสอนการใช้วัวควายไถนากันเชียวล่ะ
สัตว์ใช้งานบริเวณนั้น ใครบางคนบอกว่า นี่เป็นวัวกระทิง … ลองดูลักษณะทางกายภาพของสัตว์ที่เห็นในภาพด้านบนนะคะ แล้วช่วยฟันธงทีว่า นี่คือ กระทิงหรือไม่
ภาพตลอดทางที่ไหลผ่านเลนส์กล้องและสายตา ไม่ใช่แค่ภาพธรรมชาติที่สวยงาม ...นาข้าวที่ตอนนี้โล่งมองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งไกด์บอกว่าพื้นที่ส่วนนี้จนถึงเสียมเรียบเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของยะไข่เลยทีเดียว
ดูๆไป .. คนยะไข่นี่ไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาก็มีความสุขตามประสา การติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางออกไป หรือผ่านเครือข่าย Social media สำหรับคนส่วนใหญ่ยังยากและจับต้องไม่ได้ จึงไม่มีสิ่งเย้ายวนจากภายนอกมารบกวน
อีกทั้ง “ศาสนา” ยังเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ จะหันไปรอบๆ ในน้ำก็มี ปลาในนาก็มีข้าว ... ความสุขจึงอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องไขว่คว้ามาก
ในสายน้ำเราเจอนกหลายประเภท ส่วนใหญ่เป็นนกชายเลน แต่เราเห็นไก่ฟ้าประเภทหนึ่งด้วย
โลมาน้ำจืด … มีเรื่องเล่าว่า โลมาช่วยชาวประมงในการจับปลาด้วย เราไม่รู้ว่าทำไม
เราใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชม. ระหว่างทางชมวิธีชีวิตของชาวบ้านตามฝั่งแม่น้ำ ... ถึงจะเจ็บป่วยเล็กน้อย และปวดเมื่อยไปหมด แต่ความประทับใจกับสิ่งที่เห็น ประสบการณ์ที่ได้จากทริป มรัคอู นั้นมีมากมาย อิ่มเอมไม่รู้ลืมกับสถานที่ทุกแห่งที่ไปเยือน ..
...ภาพของชาวบ้านที่ไปไหว้วัดโบราณในชุดผ้าซิ่น สวมเสื้อสีเข้ม รวมถึงยิ้มพิมพ์ใจของเด็กๆในทุกที่ที่เราไปเยือน ยังคงประทับอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
เรามาถึงเมืองชิตเวในเวลาไล่เลี่ยกับเวลาที่เครื่องบินที่จะมุ่งสู่ย่างกุ้งจะเทคออฟ ด้วยเหตุที่เรือแล่นช้า และ “ความเร่งรีบ” ไม่มีในดิกชันนารีของคนที่นี่
ไกด์จัดการให้เราได้รับประทานอาหารกลางวันที่สนามบิน เพราะการไปทานที่ภัตตาคารคงทำให้ทั้งคณะตกเครื่องแน่ๆ .. ฮาๆ
ใช้เวลาบินราว 1 ชม. ก็มาถึงสนามบินย่างกุ้ง และหลังจากนั้นไม่นาน เราก็เหินฟ้ามาสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัย
บทส่งท้าย
สำหรับคนที่รักการท่องเที่ยวโบราณสถาน คงมีความเห็นพ้องกันว่า วัดและเจดีย์มากมายในมรัคอู คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ในใจของผู้ที่ชื่นชอบวัดและโบราณสถานอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ … ไม่เว้นแม้แต่ฉันที่มีโอกาสมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก
ถึงเส้นทางส่วนใหญ่ของการเดินทางในดินแดนแห่งนี้จะไม่ราบเรียบ ห่างไกลจากคำว่าสะดวกสบาย … แต่คนรักประวัติศาสตร์และสนใจวิถีชีวิตของผู้คนอย่างฉัน ก็ยังเห็นว่าการเดินทางแบบนี้เปี่ยมเสน่ห์ ที่ได้เห็นวิถีชีวิตตลอดเส้นทาง รวมถึงภูมิประเทศที่แตกต่าง ไหลช้าๆผ่านสายตาและเลนส์กล้องตลอดเส้นทาง
ประวัติศาสตร์บอกเราเสมอว่า .. ยุคใดที่กษัตริย์เก่งกล้า สร้างอาณาจักรจนเป็นปึกแผ่น เมื่อสิ้นรัชกาลจะต้องมีเหตุให้พี่น้อง อา หลาน ได้รบราแย่งชิงอำนาจและสมบัติเสมอมา หรือในกรณีของอาณาจักรยะไข่ คือ อำนาจจากภายนอก
… เป็นอย่างนี้จนบ้านเมืองอ่อนแอ … การเดินทางของราชวงศ์ยะไข่จึงเหมือนดวงไฟท่ามกลางพายุ .. ส่องสว่าง แล้วริบหรี่ใกล้ดับ .. พระเจ้า มง บาจี OMong Ba Gree) จุดดวงไฟให้ลุกโชนจนรุ่งเรืองสุดขีด หลังจากนั้นก็ค่อยๆหรี่แสง จนอีกหลายร้อยปีต่อมาโคมไฟของยะไข่ก็ดับวูบลง .. และไม่มีเปลวไฟติดขึ้นมาอีกเลย
ฉันยังจำได้ว่า … หลังการเดินๆๆๆ แต่เมื่อลงมานั่งพัก นิ่งสงบท่ามกลางซากของความรุ่งเรืองในอดีต จิตก็นึกไปว่า ..
... ศาสนสถานแห่งนั้นๆ แม้จะสร้างจากความเชื่อ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
... ทว่าคงมิอาจปฏิเสธได้ถึงพลังศรัทธา และหัวใจอันยิ่งใหญ่แห่งกษัตริย์ผู้สร้าง ซึ่งแม้ต้องใช้ทั้งหยาดเหงื่อ แรงงาน และอาจถึงชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
... แต่ … มิใช่ว่าเพียงเพราะมีอำนาจก็ทำได้ … ที่สุดแล้ว สถานที่แห่งนี้คือ จารึกแผ่นดิน ที่อยู่นอกเหนือเงื่อนไขใดๆ …
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา