Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
29 พ.ค. 2021 เวลา 05:19 • กีฬา
ฤดูกาลแห่งความอลหม่านของหงส์แดง นี่คือบทสรุป ซีซั่นรีวิว โพสต์เดียวจบครบเลย วิเคราะห์บอลจริงจัง เขียนภาพรวมทั้งหมดให้คุณอ่าน
[ รีวิว ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2020-21 ]
ก่อนฤดูกาลจะเริ่ม ลิเวอร์พูลคือเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ เพราะดูจากผลงานปีก่อน พวกเขาโกย 99 แต้ม แถมนักเตะแกนหลักยังเก็บไว้ได้ครบทุกตัว แถมยังซื้อตัวเก่งๆเข้ามาเสริมทีมอีกด้วย และนักเตะในทีมเองก็ดูมั่นใจเอามากๆ
แต่ความมั่นใจเกินไป คือบ่อเกิดของหายนะ และกว่าลิเวอร์พูลจะดิ้นรนเอาตัวรอด จากปัญหามาได้ พวกเขาก็เหนื่อยจนแทบเจียนตายทีเดียว
นี่เป็นฤดูกาลที่หกคะเมนตีลังกาที่สุดของเจอร์เก้น คล็อปป์ ตั้งแต่มาคุมลิเวอร์พูล เพราะมันมีครบรสชาติ ตั้งแต่เหนือชั้น หดหู่ ไปจนถึงฮึดสู้ไม่ยอมแพ้ ท่ามกลางมรสุมมากมาย สุดท้ายสามารถจบอันดับ 3 ได้ นับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว
1
ฤดูกาลนี้ เราได้เห็นว่า ผู้บริหารของหงส์แดง ที่ว่าเก่งๆ ก็ยังตัดสินใจพลาดได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับคล็อปป์ ที่เหมือนจะดูเพอร์เฟ็กต์ แต่เอาจริงๆแล้ว ก็มีจุดพลาดให้เห็น และไม่บ่อยนักที่เราจะเห็น Fighter อย่างคล็อปป์ รู้สึกท้อแท้ขนาดนี้
[ Part 1 - ออกสตาร์ตซีซั่น ]
ลิเวอร์พูลเปิดตลาดซื้อขาย ด้วยการปล่อยเดยัน ลอฟเรน ไปเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่ซื้อใครมาทดแทน เหลือเซ็นเตอร์แบ็กอาชีพแค่ 3 คน คือ เวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจเอล มาติป และ โจ โกเมซ ที่เหลือคือกลุ่มดาวรุ่งอย่างรีส วิลเลียมส์ และ แนท ฟิลลิปส์ ที่ไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกแม้แต่เกมเดียว
1
ถามว่าทำไมถึงชะล่าใจปล่อยให้เหลือเซ็นเตอร์แบ็ก 3 คน เราต้องย้อนไปดูใน 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา จะเห็นว่า ฟาน ไดค์ ลงเล่นตัวจริง ทุกนัด ทุกนาที ให้ทีม เขาบาดเจ็บยากมาก นั่นแปลว่ายังไงฟาน ไดค์ก็ล็อกตำแหน่งตัวจริงไว้ 1 โควต้าว่างั้นเถอะ ที่เหลืออีกหนึ่งตำแหน่ง ก็เอาเซ็นเตอร์แบ็กทั้งหมดมาโรเทชั่นกันก็ได้ หรือถ้าถอยฟาบินโญ่มาเล่นเฉพาะกิจก็ได้เหมือนกัน
ตามทฤษฎีแล้ว ในเกมฟุตบอลระดับนี้ เซ็นเตอร์ 3 คน ไม่พอหรอก แต่ทีมซื้อขายของลิเวอร์พูลก็ชะล่าใจ แล้วไปเสริมทัพตำแหน่งอื่นแทน โดย 2 ผู้เล่นที่ฮือฮาสุดๆ ซื้อบิ๊กเนม 2 คนใน 2 วัน คือ ติอาโก้ อัลคันทาร่า จากบาเยิร์น มิวนิค และ ดีโอโก้ โชต้า จากวูล์ฟแฮมป์ตัน เสริมพลังกองกลาง และกองหน้า นอกจากนั้นยังซื้อคอสตาส ซิมิกาส จากโอลิมเปียกอส มาเป็นแบ็กอัพให้แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
3 เกมแรกลิเวอร์พูลออกสตาร์ตด้วยการชนะทุกเกม แม้จะเจอคู่แข่งที่เขี้ยว อย่างลีดส์, เชลซี และ อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานที่ดีเยี่ยม ก่อนที่จะแพ้วิลล่า 7-2 ในเกมที่คล็อปป์เองก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน แต่ ณ ตอนนั้น ทุกคนเข้าใจว่าเป็นแค่อุบัติเหตุลูกหนัง
หายนะของลิเวอร์พูลมาเกิดขึ้นในเกมที่ 5 กับเอฟเวอร์ตัน เมื่อเวอร์จิล ฟาน ไดค์ เจ็บทั้งฤดูกาล ตามด้วยเกมที่ 9 กับแมนฯซิตี้ โจ โกเมซ เซ็นเตอร์ตัวหลักอีกคนเจ็บทั้งฤดูกาลตามไปติดๆ คนที่เหลืออยู่คือ โจเอล มาติป ที่เจ็บออดๆ แอดๆ ซึ่งคล็อปป์เลยต้องปรับมาใช้ฟาบินโญ่ ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวจริงในช่วงหนึ่ง
การไม่มีเซ็นเตอร์มืออาชีพ ทำให้เกมของลิเวอร์พูลเปลี่ยนไป จากเดิมจะค่อยๆเซ็ตมาจากแดนหลัง ฟาน ไดค์ จะเริ่มถ่ายบอลสั้นๆกับอลิสซอน แล้วค่อยๆเข้าทำ มาคราวนี้ อลิสซอนเองก็ไม่มั่นใจ ถ้าจะออกบอลสั้นให้ รีส วิลเลียมส์ หรือแนท ฟิลลิปส์ เขาหวดตูมไปกลางสนามเลยดีกว่า และหลายๆทีก็เสียบอลให้คู่แข่ง
นอกจากนั้นการเอาฟาบินโญ่ถอยมาเล่นกองหลัง ทำให้แผงมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูลลดประสิทธิภาพลง ไม่มีใครคอยเก็บบอลจังหวะสองให้กับทีม รวนเป็นทอดๆ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ ในครึ่งซีซั่นแรก ถูกทดแทนด้วยการจบสกอร์อันเฉียบคมของแนวรุก โม ซาลาห์ ยิงได้เรื่อยๆ ขณะที่ดีโอโก้ โชต้า สร้างสถิติยิงได้ในแอนฟิลด์ 4 เกมติดกัน จะดีจะร้าย เกมรุกก็ยังคงร้ายกาจอยู่ อย่างเกมเยือนอตาลันต้า ลิเวอร์พูลยำเละ 5-0 ก่อนอัดวูล์ฟแฮมป์ตัน 4-0 ขยี้คริสตัล พาเลซ 7-0 คือเพราะเกมรุกเฉียบขาด เรื่องแนวรับที่สับสน ก็เลยยังไม่ถูกมองเท่าไหร่
1
ในช่วงครึ่งซีซั่นแรก ลิเวอร์พูลจะมีปัญหากับ VAR เยอะหน่อย พวกเขาเป็นทีมที่เสียประโยชน์จาก VAR มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก บางลุ้นล้ำหน้าแค่แขนเสื้อ (เกมกับเอฟเวอร์ตันช่วงทดเจ็บ) , บางลูกเสียจุดโทษแบบไม่น่าโดน (ฟาบินโญ่เสียบนอกเขตแต่โดนจุดโทษ และโรเบิร์ตสัน สกิดเท้าแดนนี่ เวลเบ็คในเกมกับไบรท์ตัน) แต่ถึงกระนั้น คล็อปป์ก็ยังประคับประคองทีม ขึ้นไปยึดจ่าฝูงของตารางได้สำเร็จ
3
หลังจากคริสต์มาส (นัดที่ 14) ทีมหงส์แดงนำเป็นจ่าฝูงแบบสวยๆ ทิ้งช่องว่างห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 8 แต้ม พวกเขาเป็นทีมที่ยิงเยอะที่สุดในลีก 36 ลูก ศักยภาพโดยรวมยังน่ากลัวมากๆ
1
แต่หายนะของแท้ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลังจากนัดที่ 15 ของฤดูกาลเป็นต้นไป
[ Part 2 - จุดตกต่ำของสโมสร ]
2
ความวินาศสันตะโร ของลิเวอร์พูล เริ่มต้นจากเกมที่ 15 เมื่อหงส์แดง เปิดแอนฟิลด์พบเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่มีกุนซือคนใหม่คือแซม อัลลาร์ไดซ์ และบิ๊กแซมได้เปิดโลกให้ทีมอื่นๆ ได้เห็นวิธีการเก็บแต้มจากลิเวอร์พูล นั่นคือการเล่นเกมรับเต็มรูปแบบ ยันสกอร์เสมอไว้ให้ได้หรือให้ห่างแค่ลูกเดียว แล้วพอท้ายๆเกม เดี๋ยวแนวรับลิเวอร์พูลก็จะพร้อมใจกันพลาดเอง
1
บิ๊กแซมทำได้ผล ลิเวอร์พูลเสมอกับเวสต์บรอม 1-1 เสียแต้มแบบไม่ควรเสีย จากนั้นเกมต่อมาไปเยือนนิวคาสเซิลที่ฟอร์มแย่มาก ตามหลักก็ควรชนะ แต่สุดท้ายโดนยันเสมอใน 90 นาที จบ 0-0
2
ตามด้วยเจอเซาธ์แฮมป์ตัน ที่ยิงใครไม่ได้มา 3 เกม สุดท้ายลิเวอร์พูลแพ้ 1-0 (พอชนะลิเวอร์พูลปั๊บ อีก 6 เกมต่อมาเซาธ์แฮมป์ตันแพ้รวดทุกเกม)
เกมรับเล่นแบบรอโดน โดยเฉพาะลูกเซ็ตพีซที่พร้อมใจเสียประตูตลอด (เวสต์บรอม กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซทั้งคู่) เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ออกทะเล ขณะที่แอนดรูว์ โรเบิร์ตสันก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าปีก่อน
ครั้นจะไปหวังถึงกองหน้า ก็พึ่งพาไม่ได้ ดีโอโก้ โชต้าที่ยิงรัวๆ ก็มาเจ็บไปอีก ทาคุม มินามิโนะที่เพิ่งยิงได้ในเกมกับคริสตัล พาเลซ อยู่ๆคล็อปป์ก็ไม่ให้ลงเล่นอีกเลย แล้วปล่อยไปเซาธ์แฮมป์ตันในเดือนมกราคม ขณะที่โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ดร็อปลงชัดเจน สถิติของเขาในการแย่งบอลในแดนคู่แข่งต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี ส่วนโม ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ ก็เล่นไม่เข้าขากัน ทั้ง 2 คนไม่มีแอสซิสต์ระหว่างกันเลย เหมือนมีช่องว่างบางอย่าง
สามประสานที่ไร้เทียมทาน กลายเป็น ไม่ไร้เทียมทานเหมือนเดิมเสียแล้ว
ลิเวอร์พูลเสมอแมนฯยูไนเต็ด แบบเกือบแพ้ที่แอนฟิลด์ ตามด้วยแพ้เบิร์นลีย์คาบ้านอย่างเหลือเชื่อ หยุดสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 68 นัด จากที่เป็นจ่าฝูงก็หล่นลงมาเรื่อยๆ
จากนั้นระหว่างเกมที่ 22-28 ลิเวอร์พูล แข่ง 7 นัด ชนะ 1 เสมอ 0 แพ้ 6 พร้อมข่าวร้าย เมื่อโจเอล มาติป เจ็บไปอีกคน คราวนี้ไม่เหลือเซ็นเตอร์แบ็กอีกแล้ว พร้อมทั้งจอร์แดน เฮนเดอร์สันกัปตันทีม ที่ขยับมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็กเฉพาะกิจ ก็ปิดฤดูกาลตามไปด้วย
สุดท้ายลิเวอร์พูลต้องกัดฟันคว้ากองหลังสองคน คือเบน เดวีส์ และ โอซาน คาบัค ซึ่งใครๆก็บอกว่า แล้วทำไมไม่ซื้อแต่แรก ตั้งแต่ซัมเมอร์ เขาก็เตือนกันแล้ว เป็นไงล่ะ แล้วมาซื้อแบบฉับพลันตอนนี้ ก็ได้นักเตะคุณภาพเกรด C หรือ C+ เท่านั้นแหละ จะไปคาดหวังตัวดีๆตอนนี้ ใครจะย้ายมากัน
แล้วก็ไม่ใช่ว่าเดวีส์ กับ คาบัค ย้ายมาปั๊บแล้วจะเล่นได้เลย อย่างเดวีส์ก็เล่นในแชมเปี้ยนชิพมาตลอด ส่วนคาบัคอยู่กับชาลเก้ ที่กำลังจะตกชั้น อาจจะฝีเท้าพอได้ แต่ไม่ใช่ผู้เล่นที่จะสร้างความแตกต่างขนาดนั้น
อีกจุดแข็งที่เคยแกร่งมาตลอดของลิเวอร์พูล คือ "การเล่นในแอนฟิลด์" ก็หายวับอย่างสิ้นเชิง ลิเวอร์พูลแพ้ในบ้าน 6 เกมติดต่อกัน ในประวัติศาสตร์สโมสรเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่แพ้ แต่ลิเวอร์พูลยิงประตูจากโอเพ่นเพลย์ในบ้าน ไม่ได้ 764 นาที สร้างโอกาสได้มากกว่า 100 ครั้งแต่ยิงทิ้งขว้างไปหมด คือนึกไม่ออกจริงๆว่าอะไรเกิดขึ้นกับทีมที่ยิงสลุตเมื่อปีก่อน
1
เจอร์เก้น คล็อปป์เองถึงกับยอมรับว่า เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกๆอย่าง มันไม่เป็นใจเลย ทั้งๆที่นักเตะก็ตั้งใจ ลองเปลี่ยนแผนก็แล้ว แต่ในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของทีม Decisive Moment กองหน้ายิงไม่ได้ กองหลังก็พลาดง่ายๆ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขณะที่บรรยากาศภายในสโมสร ก็ไม่ได้ดีนัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดนตัดรายชื่อออกจากทีมชาติอังกฤษ ส่วนจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ก็ไม่ยอมต่อสัญญากับสโมสรเสียที ดึงเช็งไปเรื่อยๆ เตรียมย้ายออกไปแบบไร้ค่าตัว ตามด้วยผู้บริหารทีม คิดจะจับสโมสรเข้าร่วมซูเปอร์ลีกทั้งๆที่คล็อปป์เคยพูดชัดเจนว่า เขาไม่เห็นด้วยกับซูเปอร์ลีกเลยสักนิด
1
คุณแม่คล็อปป์เสียชีวิตระหว่างฤดูกาล และเขาก็บินกลับไปงานศพไม่ได้ เพราะกฎเรื่องโควิด-19 ขณะที่คุณพ่อของอลิสซอน เบ็คเกอร์ จมน้ำเสียชีวิต สร้างบรรยากาศที่หดหู่ให้เกิดขึ้นในแคมป์นักเตะเป็นอย่างมาก
2
เรื่องในสนาม VAR ก็ยังเหมือนเดิม คือไม่เข้าทางพวกเขาเลย ทั้งซีซั่นลิเวอร์พูลถูก VAR ตัดสิน 20 ครั้ง ผลลัพธ์เป็นใจ 7 ครั้ง ผลลัพธ์ไม่เป็นใจ 13 ครั้ง คิดเป็น "ไม่เป็นใจ" มากกว่า 6 ครั้ง ใน 20 ทีมพรีเมียร์ลีก ไม่มีสโมสรไหนถูก VAR เล่นงานมากเท่าลิเวอร์พูลอีกแล้ว
หลังเกมแพ้ฟูแล่มคาบ้าน 1-0 ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 8 ของตารางคะแนน ช่องว่างตามทั้งเลสเตอร์ และเชลซี ไกลลิบ นึกไม่ออกจริงๆว่าพวกเขาจะคัมแบ็กกลับมาได้อย่างไร
รอย คีน อดีตกัปตันแมนฯยูไนเต็ด วิจารณ์ว่า "ลิเวอร์พูลมีแต่ข้อแก้ตัว สำหรับผมพวกเขาเป็นแชมเปี้ยนที่ย่ำแย่นะ คุณอาจแพ้เกมฟุตบอลได้ แต่วิธีที่คุณแพ้นี่สิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้"
เจอร์เก้น คล็อปป์กล่าวว่า ถ้าหากลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์ติดท็อปโฟร์ได้จริงๆล่ะก็ นี่จะเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา นับตั้งแต่เป็นผู้จัดการทีมมา
การติดท็อปโฟร์หรือไม่ เป็นสิ่งที่จะชี้เป็นชี้ตายของสโมสร เพราะนักเตะบิ๊กเนมคงไม่มีใคร อยากพลาดยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้นอาจมีคีย์แมนบางคนขอย้ายออกไป เช่นเดียวกับการซื้อตัวใหม่เข้ามา เขาคงไม่ยอมมาง่ายๆ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ที่เล็งไว้ คงยากจะทิ้งไลป์ซิก ที่ได้รองแชมป์บุนเดสลีกา มาอยู่กับทีมที่พลาดโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก
[ Part 3 - กลับมาจากนรก ]
1
อีก 10 นัดสุดท้าย ถ้าลิเวอร์พูลไม่ระเบิดฟอร์มขั้นสุดยอดจริงๆ พวกเขาไม่มีหวังจะได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกแน่ๆ
ในเกมนัดที่ 29 ของฤดูกาล ที่ไปเยือนวูล์ฟแฮมป์ตัน เป็นเกมที่มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด นั่นคือคล็อปป์ จับเอาฟาบินโญ่ ไปยืนเป็นกองกลางอีกครั้ง หลังจากยืนเป็นกองหลังมาตลอดปี และใช้โอซาน คาบัค ยืนคู่เซ็นเตอร์แบ็กกับแนท ฟิลลิปส์
จริงอยู่ว่า ทั้งคาบัค ไม่มีประสบการณ์ และฟิลลิปส์เคลื่อนไหวช้า แต่มาถึงตรงนี้ คล็อปป์ทนไม่ไหวกับแผงกองกลางที่ขาดความสมดุล เขาต้องดันฟาบินโญ่ไปเล่นตรงนั้นแทน แล้ววัดดวงกับคาบัคและฟิลลิปส์ ว่าจะเล่นเกมรับได้ดี ซึ่งผลลัพธ์คือ ลิเวอร์พูลชนะวูล์ฟแฮมป์ตันได้ 1-0
1
ถึงตรงนั้น คล็อปป์เข้าใจสัจธรรมคือ อย่าคิดอะไรซับซ้อน กองหลังเล่นกองหลัง กองกลางเล่นกองกลาง แล้วเดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง หลังชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน ลิเวอร์พูลไปเยือนอาร์เซน่อล คล็อปป์ยึดแผนเดิม สรุปชนะ 3-0
1
จะดีจะร้ายซาลาห์ก็ยิงได้เรื่อยๆ โชต้าที่เจ็บไปนานก็กลับมาแล้ว ขณะที่ติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่ต้นซีซั่นโดนแซวยับว่าซื้อมาเสียของ ค่อยๆโชว์ให้เห็นถึงคุณภาพ ในขณะที่ไวจ์นัลดุมเล่นไม่ออก ก็ได้ติอาโก้คอยแบกแผงมิดฟิลด์ ไม่ให้เป็นรองคู่แข่งในแต่ละนัด
1
พอชนะอาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลเล่นในบ้านเจอวิลล่า ก่อนชนะไป 2-1 ในที่สุดก็ปลดล็อกยิงประตูในบ้านได้เสียที โดยประตูชัยของเกม ได้ในนาทีสุดท้ายจากลูกยิงไกลของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหมือนกำลังใจของทีมจะกลับมาอีกครั้ง
แต่แล้วพอทิศทางกำลังดีๆ เกมเจอลีดส์ ยูไนเต็ด นัดที่ 32 และ นิวคาสเซิล นัดที่ 33 คล็อปป์เปลี่ยนแผนอีก เอาฟาบินโญ่ไปเล่นกองหลัง ผลลัพธ์คือเสมอ 1-1 ทั้งสองเกม
เกมที่เสมอนิวคาสเซิล เป็นนัดที่จิตวิญญาณของนักเตะในทีมแทบจะแหลกสลาย เพราะตอนแรกนำอยู่ 1-0 สร้างโอกาสยิงได้มากมายจนน่าจะชนะ 4-0 แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายโดนยิงช่วงทดเจ็บ แต่ฟ้าก็ประทานโชค VAR กลับคำตัดสิน ลิเวอร์พูลเลยยังนำอยู่ แต่นักเตะเสียสมาธิกัน และนาที 90+5 โดนโจ วิลล็อคยิงตีเสมอ 1-1 คาบ้าน
2
ด้วยการเสมอ 2 นัดติด ทำให้คล็อปป์ยอมรับว่า อีก 5 เกมที่เหลือ ต้องชนะ 100% เท่านั้น ถ้าคิดจะติดท็อปโฟร์ และเขาก็กลับไปใช้กลยุทธ์เดิมอีกครั้ง คือดึงฟาบินโญ่มาเล่นกองกลาง และใช้แนท ฟิลลิปส์ ยืนเซ็นเตอร์แบ็กคู่รีส วิลเลียมส์ คือหลักฐานมันเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าการใช้นักเตะผิดตำแหน่ง มันไม่เวิร์ค
1
ลิเวอร์พูลค่อยๆ ตั้งสติกันอีกครั้ง ในเมื่อยังมีโอกาสอยู่ ก็อย่าเพิ่งละความหวัง หงส์แดงเริ่มจากชนะเซาธ์แฮมป์ตัน 2-0 โดยเกมนี้ ติอาโก้ยิงประตูแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูล ความมั่นใจเริ่มกลับมาเล็กน้อย จนมาถึงเกมที่ชี้เป็นชี้ตายที่สุดในฤดูกาล นั่นคือนัดที่ 35 ไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด
หงส์แดงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากชนะอย่างเดียว โดยตอนแรกผู้คนก็มองว่า ฟิลลิปส์-วิลเลียมส์ เป็นกองหลังที่ช้าเป็นเรือเกลือทั้งคู่ มาเจอสปีดของ กรีนวู้ด, แรชฟอร์ด และบรูโน่ อาจโดนฉีกเละกระจุย แต่คล็อปป์มั่นใจในตัว 2 ดาวรุ่ง ให้ลงเล่นต่อและจับฟาบินโญ่ไปยืนกองกลาง บทสรุปคือลิเวอร์พูลชนะแมนฯยูไนเต็ด 4-2 นักเตะแสดงแพสชั่นออกมาเต็มเปี่ยมจริงๆ
เมื่อชนะแมนฯยูไนเต็ดได้ อีก 3 เกมที่เหลือคือ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, เบิร์นลีย์ และ คริสตัล พาเลซ ถ้าลิเวอร์พูลชนะได้ทุกเกม ก็จะติดท็อปโฟร์ทันที โดยไม่ต้องลุ้นผลของใครเลย ซึ่งเกมที่ตัดสินทุกอย่าง คือนัดเจอเวสต์บรอมวิช เมื่อลิเวอร์พูลจะเสมออยู่แล้ว แต่อลิสซอน เบ็คเกอร์ ขึ้นมาโหม่งทำประตูได้สำเร็จ อย่างไม่มีใครเชื่อ
2
นี่คือโมเมนต์ที่ตัดสินลิเวอร์พูลในซีซั่นนี้ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง พวกเขาทำได้ ดังนั้นจากนี้ไป จึงไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว ความมั่นใจจากประตูชัยของอลิสซอน สร้างความเชื่อมั่นว่า เจอกับใคร ลิเวอร์พูลก็ชนะได้หมด ลิเวอร์พูลขยี้เบิร์นลีย์เด็ดขาด 3-0 ตามด้วยอัดคริสตัล พาเลซ ส่งท้าย 2-0
1
สรุปจบ 38 เกม ในฤดูกาลที่ขึ้นและลงอย่างประหลาด ลิเวอร์พูลจบอันดับ 3 ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง
1
[ ฤดูกาลแห่ง Roller Coaster ]
ถ้าหากแบ่งลิเวอร์พูลออกเป็น 3 ส่วน ในฤดูกาลนี้ จะเห็นว่าทีมหงส์แดงขึ้นสุดลงสุดมาก
ถ้านับแต้มเฉพาะใน Part แรก (เกมที่ 1-14) : ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูง อันดับ 1 ของลีก
ถ้านับแต้มเฉพาะใน Part สอง (เกมที่ 15-28) : ลิเวอร์พูลทำแต้มเป็น อันดับ 17 ของลีก (มีแค่เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เวสต์บรอมวิช และ เซาธ์แฮมป์ตันที่ทำแต้มได้น้อยกว่า)
ถ้านับแต้มเฉพาะใน Part สาม (เกมที่ 29-38) : ลิเวอร์พูลเป็นจ่าฝูง อันดับ 1 ของลีก
ถ้าตัดช่วงกลางทิ้งไปซะ จะเห็นว่าลิเวอร์พูลเริ่มต้นดีมาก และปิดท้ายดีมาก แต่เกมฟุตบอลมันไม่ได้คิดคำนวณกันเป็นส่วนๆแบบนั้น เมื่อเอาคะแนนทั้ง 3 Part มารวม ก็ต้องยอมรับความจริงว่า การจบอันดับ 3 ก็นับว่าดีที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้แล้ว
ในฤดูกาลหน้า ความปั่นป่วนทั้งหลาย เชื่อว่าจะกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เพราะเวอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โจเอล มาติปหายเจ็บกลับมาหมด รวมกับแนท ฟิลลิปส์ที่เล่นได้โดดเด่นมากปลายซีซั่น และตัวใหม่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ คราวนี้ลิเวอร์พูลมีกองหลังใช้งานเยอะจนเกินพอ
กองกลางได้เฮนเดอร์สันคัมแบ็กกลับมาแล้ว ร่วมกับติอาโก้ และฟาบินโญ่ นี่คือสามประสานตัวหลักในปีหน้า โดยจะมี มิลเนอร์, โจนส์, เกอิต้า และ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน คอยสอดแทรกในบางนัด ตามกระแสข่าวอาจไม่ซื้อบิ๊กเนมมาแทนไวจ์นัลดุม
1
ส่วนแนวรุก 3 ตัวหลักยังเก็บไว้ครบหมด รวมกับดีโอโก้ โชต้าอีกคน ซึ่งต้องดูว่าคล็อปป์จะเอายังไงกับมินามิโนะ อาจมีการซื้อกองหน้ามาเพิ่มอีกสักคน เอาไว้โรเทชั่น ในฤดูกาลที่ยาวนาน
และในซีซั่นหน้า เมื่อปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แอนฟิลด์กลับมามีแฟนเข้ามาดูได้เหมือนเดิม หงส์แดงจะคัมแบ็กกลับมาลุ้นแชมป์ได้ดีกว่านี้
[ ตัดเกรด ]
ปีนี้ ลิเวอร์พูลรวมพลังใจ คัมแบ็กกลับมาคว้าโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกได้ก็จริง แต่ถ้าพูดกันอย่างยุติธรรม ในภาพรวม นี่ไม่ใช่ปีที่ดีเลย
ตอนช่วงฟาน ไดค์เจ็บแรกๆ คุณอาจจะพออ้างได้ว่า คีย์แมนเจ็บ แต่ฟาน ไดค์เจ็บมาก็หลายเกม คล็อปป์ยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้เสียที นี่ก็เป็นเรื่องน่าผิดหวัง
ถ้ามองในภาพรวมนั้น จุดด่างพร้อยชัดๆ คือการแพ้ในแอนฟิลด์ 6 เกมติด การแก้ปัญหาเกมรุกไม่ได้ และการซื้อขายผู้เล่นที่ผิดพลาด ส่งผลให้ลิเวอร์พูลคว้าน้ำเหลวในซีซั่นนี้ ไม่มีโทรฟี่ ไม่ได้เข้าชิงอะไรเลย
และไม่ใช่แค่มือเปล่า แต่ถ้าเจาะจงไปดูที่สถิติในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ จะเห็นว่า
- ยิงประตูได้น้อยที่สุดในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา (68 ลูก)
- เสียประตูเยอะที่สุดในรอบ 5 ฤดูกาาลที่ผ่านมา (42 ลูก)
- แพ้คู่แข่งมากที่สุดในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา (9 นัด)
- ทำแต้มน้อยที่สุดในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา (69 แต้ม)
1
ทุกอย่างมันบ่งบอกได้ชัดเจนว่า ปีนี้หงส์แดงแย่ลงจริงๆ คุณอาจฉาบหน้าความดีใจด้วยการจบอันดับ 3 และสปิริตของทีมในช่วงปลายฤดูกาล แต่ยังไงก็เถียงไม่ได้ว่าซีซั่นนี้มันอลหม่านไปหมด
1
อย่างไรก็ตาม มันอาจเป็นแค่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว และในฤดูกาลหน้า เชื่อว่าเมื่อได้ตัวผู้เล่นฟูลทีมแล้ว ลิเวอร์พูลก็จะกลับมาไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกเช่นเคย
ตัดเกรด ลิเวอร์พูล 2020-21 : B-
19 บันทึก
73
19
19
73
19
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย