Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
29 พ.ค. 2021 เวลา 07:54 • ปรัชญา
ศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลี่ย วัชรพุกก์ ผจญกับวิญญาณ
จากหนังสือ "วิญญาณมีจริงหรือ เล่มที่ ๑๐"
โดย ทองทิว สุวรรณฑัต
วันหนึ่ง "คุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา" ผู้สนับสนุนผลงานของผู้เขียน โดยพิมพ์บทความออกเผยแพร่ แจกเป็นธรรมทาน ในหนังสือชื่อ "วิญญาณมีจริงหรือ ?" ตลอดมา ได้โทร. มาบอกผู้เขียนว่า เธอได้ไปสนทนากับ "ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลี่ย วัชรพุกก์" ถึงเรื่องวิญญาณมา
ปรากฏว่า "ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ เฉลี่ย วัชรพุกก์" เคยมีประสบการณ์ที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง อยากจะให้ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ท่านเพื่อจะได้นำมาเขียนเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ตระหนักว่า "วิญญาณนั้นมีจริง มิได้สูญหายไปตามสังขารร่างกาย"
ผู้เขียนยินดีที่จะไปสัมภาษณ์ ท่านศาสตราจารย์ นพ. เฉลี่ย วัชรพุกก์ ตามคำแนะนำของเธอเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ขอให้เธอเป็นผู้นัดหมายเพื่อขอโอกาสให้เวลาแก่ผู้เขียนสัมภาษณ์ท่าน
อีก ๒-๓ วันต่อมา คุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา ก็พาผู้เขียนไปพบท่าน ศาสตราจารย์ นพ. เฉลี่ย วัชรพุกก์ ณ คลินิกที่ตั้งอยู่หน้าบ้านคุณหมอในซอยงามดูพลี ทุ่งมหาเมฆ ซึ่ง ณ ที่นี้เอง เราทั้งสาม อันมี คุณหมอเฉลี่ย คุณหญิงสาวิตรี และผู้เขียน ได้สนทนากันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเศษ จึงได้เรื่องราวที่อัศจรรย์มาเสนอต่อท่านผู้อ่านทั้งหลาย
เริ่มแรกคุณหมอเฉลี่ยได้ออกตัวว่า เรื่องที่ท่านจะเล่าให้ฟังนี้ ถือว่าเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์หรือคุณสมบัติพิเศษ ที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาของ "พล.ร.ต. หลวงสุวิชานแพทย์" มากกว่าจะเป็นเรื่องของท่าน เพราะเป็นเรื่องดังจะกล่าวต่อไปนี้ ไม่เหมือนเรื่องของ "คุณหมออาจินต์ บุณยเกตุ" ที่ผู้เขียนเคยเขียนลงใน "นิตยสาร โลกทิพย์" มาแล้ว
ท่านบอกว่า คุณหมออาจินต์มีญาณวิเศษอะไรบางอย่างที่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ หรือกายทิพย์ได้ ส่วนท่านนั้นไม่มีญาณวิเศษอะไรเลย แต่เป็นประสบการณ์ที่ท่านได้มาจากผู้มีคุณวิเศษคือ "คุณหลวงสุวิชาญแพทย์" และคำบอกเล่าของ "ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจา" บิดาของคุณหญิงสาวิตรี เป็นบางเรื่องเท่านั้น
เรื่องที่ ๑ "ศาลพระภูมิในที่ร้าง"
ท่านอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ คุณหมอเฉลี่ย วัชรพุกก์ เล่าว่า ที่ดินบ้านของท่านในปัจจุบันนี้ สม้ยก่อนยังเป็นที่ดินร้าง ไม่มีผู้คนมาอยู่อาศัย เป็นที่ดินของ "คุณปาน นันทาภิวัฒน์" บุตรสาวของ "ท่านเจ้าคุณพิชัยญาติ" ซึ่งแบ่งขายเป็นล็อค ๆ คุณหมอเห็นแปลนของที่ดินแล้วชอบใจ ก็ซื้อที่ดินแปลงนี้ไว้ โดยไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า ข้างในที่ดินมีอะไรบ้าง
ต่อเมื่อท่านตรวจดูบริเวณที่ดินเพื่อจะปลูกบ้าน ท่านจึงเห็นศาลพระภูมิหลังหนึ่ง ดูเหมือนกำลังจะล้มมิล้มแหล่ เสาของศาลเอียงกระเท่เร่ตั้งอยู่ในใจกลางของที่ดิน แต่บนศาลพระภูมิที่กำลังจะพังนั้น กลับเต็มไปด้วยดอกไม้ พวงมาลัย กล้วยน้ำว้าและไข่ต้ม !
คุณหมอเล่าให้ฟังถึงตอนนี้ว่า "พวงมาลัย ดอกไม้ใหม่ ๆ ทั้งนั้น ผมก็ดูอยู่ทุกวัน มีไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า
เอ! ผมก็จะปลูกบ้าน จะทำอย่างไรดี ?
ผมก็ถามชาวบ้านเขาบอกว่าศาลพระภูมินี้เป็น 'ศาลพระภูมิหมอ' เวลาเด็ก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็จะเอาพวงมาลัย เอาไข่ เอากล้วยมาถวาย มีทุกวันเลยครับ บางทีธูปที่เขาจุดยังไม่ทันหมด เราก็มาเห็น
เอ ! ก็กลัว !"
เรื่องที่ ๒ "คนงานถูกลงโทษ"
เมื่อคุณหมอจะปลูกบ้าน คนงานที่คุณหมอจ้างเขามา ก็สร้างบ้านพักชั่วคราวในบริเวณที่ดินของท่าน แล้วอยู่มาวันหนึ่ง คนงานคนหนึ่งเกิดท้องร่วงอย่างแรงเป็นเวลาถึงสองวัน แม้คุณหมอจะนำยามาพยาบาลรักษาอาการท้องเสียของคนงานผู้เคราะห์ร้าย ก็หาได้ทุเลาไม่ จนกระทั่งถึงกับนอนแบ็บ !
คุณหมอเห็นอาการของคนงานหนักเกินกว่าจะปล่อยให้นอนรอความตายเช่นนั้นได้ ก็ตัดสินใจจะต้องนำคนป่วยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ ซึ่งคุณหมอประจำอยู่ในวันรุ่งขึ้น
ครั้นรุ่งเช้า คุณหมอก็รีบมาแต่เช้ามืด แต่แล้วคุณหมอก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นคนงานที่นอนแบ็บเมื่อวานนี้ กำลังนั่งกินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งเดินเหินสบายดี
คุณหมอเฉลี่ย เล่าว่า "ผมก็ถามเขาว่า ทำไมหายเร็วนักล่ะ ? เมื่อวานยังนอนแบ็บลุกไม่ได้อยู่เลย"
เขาก็บอกว่า
"เมื่อคืนนี้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้าผมจะท้องร่วงนี้ ผมไปคว้าไข่ต้มจากศาลพระภูมิมากิน เห็นมีอยู่สองฟอง ผมก็คว้ามากิน พอกินได้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ คืนนั้นผมก็ท้องร่วง พอนึกขึ้นมาได้ ผมก็รีบให้เพื่อนไปซื้อไข่มาถวายท่านตอนกลางคืน เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับสบาย ตื่นขึ้นมาหิวข้าวก็เลยกินข้าวต้ม พอดีคุณหมอก็มา"
เรื่องที่ ๓ "คุณวิเศษของหลวงสุวิชานแพทย์"
คุณหมอได้ฟังคนงานเล่าให้ฟังแล้วก็ยิ่งตกใจและเกิดความกลัวพระภูมิเจ้าที่ เพราะถ้าลงมือปลูกบ้านจะต้องย้ายศาลพระภูมิออกไปจากทีเดิมเสียด้วย และถ้าลงมือย้ายโดยพลการ "อะไรจะเกิดขึ้น ?"
คุณหมอเฉลี่ยเล่าต่อไปว่า "ก็พอดีเพื่อนหมอคนหนึ่งเขารู้จัก 'คุณหลวงสุวิชานแพทย์' ท่านเป็นหมอก่อนผมราว ๆ ๑๐ กว่าปี ตอนนั้นท่านยังเป็นนาวาโท บ้านอยู่วัดอัมรินทร์ ติดกับสถานีรถไฟบางกอกน้อย เวลาไปหาท่านต้องข้ามเรือที่ท่าช้างวังหน้า
เพื่อนหมอเขาก็พาผมไป เขาบอกว่าต้องไปตั้งแต่เช้ามืดนะ เพราะมีคนเข้าแถวรอคิวกันมากมาย ผมก็ตื่นตีห้า ขนาดผมไปแต่เช้ายังเป็นคนที่ ๑๐ กว่า มีคนคอยรับบัตรต่อจากผมเป็นแถว
เมื่อถึงคิวผม ผมก็เข้าไปทำความเคารพแล้วแนะนำตัวเอง ท่านก็ว่าเป็นหมอด้วยกัน ผมเอาบุหรี่กับดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย ท่านชอบสูบบุหรี่ ๕๕๕ สมัยนั้น ผมก็เอาไปด้วยเพราะเรารู้ว่าท่านชอบ
ผมก็เล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องผมซื้อที่ดินที่มีศาลพระภูมิเก่า ๆ มีคนเอาดอกไม้ ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้าถวายท่านเยอะเหลือเกิน ผมกลัวอยากจะย้ายท่านแต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี จึงอยากจะขอความกรุณาขอให้ท่านช่วยดูที่เพื่อจะได้ทำถูกวิธี ตั้งแต่เล็กมาครั้งผมอยู่ที่เมืองตาก ก็เห็นศาลพระภูมิใหญ่มาก ก็เรียกว่า เราเชื่อถือตามผู้ใหญ่สมัยนั้น
หลวงสุวิชานแพทย์ ท่านก็หลับตาครู่หนึ่ง แล้วท่านก็ถามผมว่าที่ตรงนั้นมีอะไรอย่างนั้น ๆ ใช่ไหม ?
ผมก็บอกว่า ใช่ครับ!
ท่านบอกว่า นี่เป็นศาลพระภูมิที่ไฟกำลังจะลุกอยู่โคนเสา จะพังอยู่แล้ว ! พอดีคุณหมอมา ดีเหลือเกิน เพราะเป็นศาลพระภูมิหมอนะ เป็นแขกกลิงค์ พุงใหญ่ ๆ ผิวดำ มือหนึ่งถือแก้วสารพัดนึก อีกมือหนึ่งถือกริช เป็นหมอนะ ชาวบ้านเขาเคารพนับถือกันมาก เวลาใครเจ็บป่วย เขาก็มาบนบานให้ท่านรักษาใช่ไหม ?
ผมก็บอกว่า ใช่ครับ !
ท่านก็บอกว่า นี่นะคุณหมอไปดูเถอะ ท่านไม่เสวยพวกของคาวเลย อย่าไปเอาหมูเห็ดเป็ดไก่ หัวหมูอะไรไปถวาย ไม่ได้นะ !
ตอนนี้ผมก็บอก จริง ๆ ครับ ผมเห็นมีแต่ไข่มีแต่กล้วย พวกชาวบ้านเขารู้กันหมดครับ ผมแปลกใจเหลือเกิน
แล้วท่านก็บอกว่า ท่านจะทำเจว็ดให้อันหนึ่งสำหรับไว้ในศาล
ผมก็เรียนท่านว่า อยากให้คุณหลวงช่วยตั้งศาลพระภูมิโดยทำให้ถูกต้องตามวิธีการจะได้ไหม ?
ท่านก็บอกว่า ได้ !
ท่านก็เรียก "คุณเหรียญ มีเดช" ซึ่งเป็นพราหมณ์ที่มีชื่อเสียง เคยแต่งตำราไว้หลายเล่ม เวลานี้ก็ยังมีอยู่ที่เวิ้งนครเขษม
คุณหลวงสุวิชานแพทย์บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านจะให้คุณเหรียญ มีเดช ไปดูและไปทำพิธี แต่ท่านบอกว่า ขณะที่ตั้งศาลพระภูมิ ขอให้คุณหมอสังเกตดูสองอย่างนี้คือ
๑. ขณะที่คุณเหรียญ มีเดช กำลังทำพิธี จะมีผีเสื้อสีน้ำตาลตัวใหญ่เท่าฝ่ามือมาบินวนเวียนอยู่ ๓-๔ ตัว แล้วก็หายไป ตอน ๑๐ โมงเช้าเริ่มพิธี
๒. จะมีงูตัวหนึ่งมาปรากฎให้เห็น
สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ให้คุณหมอสังเกตุดู สำหรับที่ของคุณหมอนี้ ถ้าทำไม่ดีจะอันตรายมากเพราะพระภูมิเป็นของแขก !
ผมก็ใจคอไม่ดี ก็ทำเต็มที่เลย ไปซื้อศาลใหม่มา ก่อนจะเปลี่ยนท่านให้ราดน้ำที่โคนเสาให้มาก ไฟจะดับ
พอถึงวันทำพิธี คุณเหรียญ มีเดช ก็มาทำพิธีอัญเชิญพระภูมิให้ไปอยู่ในศาลที่ตั้งใหม่ ขณะที่คุณเหรียญกำลังทำพิธีอยู่ ก็ได้ยินเสียงพั้บ ๆ ๆ ๆ ผมเงยหน้าดู ก็เห็นผีเสื้อสีน้ำตาลขนาดเท่าฝ่ามือกำลังบินอยู่ ! ตามธรรมดา ที่บ้านก็มีผีเสื้อสีเหลืองตัวเล็ก ๆ มักชอบบินไปบินมา แต่ไม่ใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามืออย่างนี้ ! อ้ายนี่ตัวใหญ่ บินวนอยู่ ๓-๔ รอบ
แล้วท่านบอกว่าจะมีงูอีกตัวหนึ่ง ผมมองดูก็ไม่เห็น งูไม่มี ผมก็ยังสงสัย ก่อนนี้ที่บ้านมีคูน้ำ คราวนี้พอทำพิธีเสร็จปั๊บ รุ่งเช้ามีงูตัวเบ้อเริ่ม ! เป็นงูงวงช้างมานอนอยู่หน้าบันใด ! ผมเห็นเช่นนั้น ก็ไปไหว้พระภูมิขอให้ท่านไปเถอะ งูก็เลื้อยลงน้ำหายไป เลื้อยไปเองโดยที่เราไม่ได้ไล่!
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็นับถือคุณหลวงสุวิชานแพทย์ ท่านเก่งจริง ๆ
พออีกสัก ๗ วัน ตอนบ่าย ๆ ท่านก็โผล่พรวดเข้ามาที่บ้านผม พอดีผมยืนอยู่หน้าบ้าน ผมจำท่านได้ ผมก็เชิญท่าน ท่านบอกว่า ผมไม่เข้าบ้านหรอก ผมจะมาดูว่า ท่านพระภูมิเก่าที่เป็นแขกมาอยู่ที่ศาลใหม่ของคุณหมอหรือเปล่า? อยากดูว่าท่านมาอยู่หรือเปล่า?
ท่านมองอยู่ครู่หนึ่งก็บอกผมว่า คุณหมอสบายแล้ว! ท่านมาอยู่เรียบร้อยแล้ว! คุณหมอไม่ต้องกลัว แต่อย่าถวายหัวหมูเป็ดไก่น่ะ ท่านไม่ชอบ ต้องถวายไข่ กล้วยน้ำว้า พวกอาหารแขก แล้วท่านก็ไป
ก็จริงอย่างที่ท่านว่า แต่ก่อนผมไม่ได้เปิดคลินิค อยู่แต่ในบ้านก็มีคนพาเด็กมาให้รักษาไม่ขาด ผมก็บูชาพระภูมิเรื่อยมา วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๒ เป็นวันที่ขึ้นต้นศาลพระภูมิ ผมก็ต้องนำอาหารแขกมาถวายตั้งแต่วันที่ ๗ ที่ ๘ ถือเป็นงานประจำปี เวลากลางวันเราก็กินอาหารแขก ไปซื้อพวกโรตี พวกอาหารแขกที่บางรักนี่แหละครับ ปัจจุบันนี้ก็บูชาอยู่เพราะบูชาก่อนหน้า ๗ วัน บูชาเรื่อยไป พวกดอกไม้พวงมาลัยผมก็เปลี่ยนบ่อย เวลาจะไปไหนก็บอก คาถาที่บอกก็เป็นคาถาของท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจา ท่านสอนผมมานานแล้ว คาถาบูชาพระภูมิ บูชาเจ้าที่ บูชาเทพยดา ท่านบอกไปไหนไม่ต้องกลัว ถึงจะมีศัตรูคอยทำร้ายก็ไม่ทำร้ายเรา นี่ผมก็บูชาคำพูดของท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจาที่ผมถือว่าเป็นคุณพ่อของผมท่านหนึ่ง
เรื่องที่ ๔ "บิดาที่ล่วงลับมาหา"
เรื่องของศาลพระภูมิก็เกือบจะหมดแค่นี้ แต่พอดีเมื่อสัก ๑๐ กว่าปี "น้องสาวผมมีเด็กคนหนึ่ง เป็นผู้หญิง เกิดผีเข้า!"
เรื่องผีเข้าผมก็ไม่เชื่อนะ วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ ผมก็ไปเยี่ยมน้อง ๆ ที่บ้านเขา น้อง ๆ เขาชอบให้ผมไปเยี่ยม เขาจะได้รดน้ำ
ก็ไปกับน้าชายของผม "คุณหมอชุด อยู่สวัสดิ์" คือ น้ากับหลานนี่อายุเกือบจะเท่า ๆ กัน เรียนหนังสือชั้นเดียวกัน ก็เหมือนเพื่อนกัน
ก็ไปพบเหตุการณ์ที่ว่า หมอชุดก็ตกใจ ผมก็ตกใจ ผู้หญิงคนนั้นอายุเกือบจะ ๓๐ กระโดด กระโจนพรวดพราดมา สร้อยคอก็กระชากทิ้ง แล้วบอกว่า "เอ็งมาก็ดีแล้ว! เอ็งมาก็ดีแล้ว!"
พวกนั้นก็ตกใจกันใหญ่ ถามว่า "ใครเล่า?"
บอกว่า "พ่อไง"
คุณพ่อตายมาสิบปีแล้ว! ผมก็พูดว่า "อ้าว! คุณพ่อมาหรือ?"
ก็บอก "ฉันโดยสารรถมาจากเมืองตาก"
ผมก็บอกว่า "นี่ไม่ใช่บ้านผมนะ คุณพ่อ นี่บ้านของน้องสาวนะ"
บอกว่า "รู้! แกมาที่นี่ ฉันก็มาเยี่ยมลูก ๆ ก็พอดีเจอะแกอยู่ที่นี่"
ผมก็ถามว่า "คุณพ่อเคยไปเยี่ยมบ้านผมบ้างไหม? ผมเองไม่เคยฝันถึงพ่อเลย"
บอกว่า "ทำไมจะไม่ไปบ้านแกน่ะ จะเข้าบ้านนี่มีคนต่างชาติมายืนถามฉันอยู่ได้! พอรู้ว่าฉันเป็นพ่อเขาถึงให้เข้าไป คนต่างชาตินี่เขาดี เขารักษาบ้านของแกดีมากทีเดียว"
เด็กคนนั้นไม่เคยไปบ้านผมเลย! ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย! นี่เป็นประสบการณ์ที่ผ่านพบมา ก็เล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนี้ น้าชายผมก็ทึ่ง ถามว่า อะไร? ทำไมมันเป็นอย่างนี้? ผมก็เล่าอย่างที่เล่าให้คุณทองทิวฟัง พอรู้เรื่องทั้งหมด เขาก็เอาเรื่องของผมนี่ไปเล่าให้คนเมืองตากฟังกัน
(บิดาของท่านศาสตราจารย์ นพ.เฉลี่ย วัชรพุกก์ ชื่อ ขุนวัชรพุกก์ศีกษากร เคยเป็นนายกเทศมนตรีและเป็นครูใหญ่คนแรกของจังหวัดตาก)
เรื่องที่ ๕ "พระภูมิจันทร์เพ็ญภัตตาคาร"
คุณหมอเฉลี่ยกล่าวต่อไปว่า
"เรื่องศาลพระภูมิของผมก้มีแค่นี้ แต่ตั้งแต่มีศาลพระภูมิมานี่นะครับ "คุณจันทร์เพ็ญ" เจ้าของจันทร์เพ็ญภัตตาคาร เขาจะปลูกบ้าน เขาก็มีพระภูมิเหมือนกัน ผมก็บอกว่า พระภูมิประจำบ้าน ประจำที่ แม้จะเป็นที่ดินผืนเดียวกัน ก็ของ "คุณปาน นันทาภิวัฒน์" นี่ แม้จะเป็นผืนเดียวกันก็จริง แต่ก็ควรไปหา "คุณหลวงสุวิชานแพทย์" ให้ท่านตรวจดู ผมแนะนำเขา แล้วผมก็พาไป
คุณจันทร์เพ็ญนี่ดีเหลือเกินครับ เป็นเพื่อนบ้านที่ดีมาก เป็นเจ้าของจันทร์เพ็ญภัตตาคาร เมื่อก่อนมีต้นมะม่วงสองต้นปลูกไว้ที่หน้าบ้าน
คุณหลวงวิชานแพทย์ ท่านก็บอกว่า
"พระภูมิบ้านคุณจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่พระภูมิแขกเหมือนคุณหมอนะ! เป็นเทพธิดาสององค์ เป็นรุกขเทวาอยู่บนต้นมะม่วง ท่านบอกให้ทำศาลพระภูมิเสีย จะร่ำรวยใหญ่โต ภัตตาคารนี่! แหม! แกก็ทำศาลพระภูมิต่อมาจึงร่ำรวยเยอะเลย แล้วคุณจันทร์เพ็ญยังไม่แน่ใจ ก้ตั้งศาลพระภูมิขึ้นอีกศาลหนึ่ง เป็นศาลพระภูมิแขก เอาโรตีมาถวายทุกวัน ของผมยังไม่ทุกวัน แล้วแกก็เป็นคนใส่บาตรทุกวันด้วย มีศรัทธามากครับ"
เรื่องที่ ๖ "ขโมยเอาของไปไม่ได้"
เรื่องความศักดิ์สิทธิของพระภูมินั้น คุณหมอเฉลี่ยเล่าให้ฟังว่า
"เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๗ ขโมยเข้าบ้านผม ข้างล่างไม่ได้ใส่เหล็กดัด มีสเตอริโอ งาช้างและของอื่น ๆ บ้าง ขโมยก็เข้าบ้านไม่ได้ มันงัดอย่างดีเลย เอาพิชเชอร์ของผมไปด้วย พอเช้าผมตื่นลงมาข้างล่างก็ตกใจ ตายแล้ว! หมดเลย! เหลือแต่งาช้างไม่เอาไปด้วย ขโมยคนนี้ต้องชำนาญเรื่องพิชเชอร์ มันแกะออกสวยเหลือเกิน ไม่มีอะไรเสียเลย
ผมก็เดินสำรวจดูว่ามันเข้ามาทางไหน อ้ายทางนี้ก็เศรษฐีโรงงานยาง อ้ายทางโน้นก็เศรษฐีคุณจันทร์เพ็ญอยู่ เขาก็มียาม ผมเข้าใจว่าเขาคงจะเข้าทางโรงงานยางเพราะกำแพงไม่ได้ฝังแก้ว
ผมยังนึกแปลกใจ นี่หมายความว่าท่านไม่อนุญาตให้เอาโทรทัศน์ไป! มันเอาไปไม่ได้ ตั้งอยู่ตรงหน้าศาลพอดีเลย! ผมถึงได้รู้ว่ามันเดินทางไหน ออกทางไหน มันแปลกอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่เอาของไปวางที่อื่น วางตรงหน้าศาลพระภูมิเป๋งทีเดียว
เรื่องศาลพระภูมิของผมก็มีเท่านี้ เวลาเราจะไปไหน ๆ ก็ไหว้ท่าน ขอให้ท่านคุ้มครอง ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุสักครั้งเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง เราต้องเที่ยวบ้างนะครับ ขึ้นเครื่องบินปีละครั้ง ไปต่างประเทศ สบายกลับมาอะไรอย่างนี้ แล้วก็อยู่เย็นเป็นสุข ลูก ๆ ก็เรียนสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ผมก็รู้สึกว่าศาลพระภูมินี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องนับถือตลอดไป จนต้องสั่งลูกหลานไว้
ส่วนเรื่องที่สงสัยกันว่า ทำไมถึงเป็นพระภูมิแขกก็เพราะเหตุว่า บริเวณที่นี้เป็นของคุณพระอัยการคนแรกของประเทศไทย เป็นแขกพวก "คุณะดิลก" ชื่อคุณพระอะไรผมก็จำไม่ได้
สืบไปสืบมาได้ความว่า เคยมีตึกเก่าอยู่ทางโน้น คุณลุงของผมเคยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่าน มาอยู่กับท่านที่นี่ เมื่อก่อนการเรียนกฎหมายไม่มีโรงงาน ต้องมาอยู่กับอัยการ มาฝึกงานกับท่านแล้วก็ไปเป็นอัยการอยู่แปดริ้ว เมื่อก่อนมานอนอยู่ที่ตึกเก่าซึ่งเป็นของคุณจันทร์เพ็ญ ปัจจุบันรื้อหมดแล้ว ประจวบเหมาะผมก็เป็นลูกหลานก็ไม่พ้นต้องมาอาศัยอยู่ที่เก่า
เรื่องที่ ๗ "หมอตายปีละคน"
คุณหมอเฉลี่ย วัชรพุกก์ ท่านเป็นหมออยู่ที่รพ.จุฬาฯ ตั้งแต่หนุ่มจนกระทั่งเกษียณ ตำแหน่งสุดท้ายของท่านเป็นถึงรองผู้อำนวยการ ฉะนั้นท่านจึงพบกับเหตุการณ์ที่แปลก ๆ และน่ากลัวอยู่หลายปี จนกระทั่งต้องขอให้คุณหลวงสุวิชานแพทย์ตรวจดูอีกเรื่องหนึ่ง ดังที่ท่านกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังต่อไปนี้
"อีกเรื่องหนึ่งที่ผมพบมา มันเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หรือ ๒๔๙๙ ผ่านมาตั้ง ๔๐ กว่าปีแล้ว
คือมีหมอโรงพยาบาลจุฬาฯ ตายไปคนหนึ่งประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พอปีต่อมาพยาบาลประจำตึกตาย เนื่องจากเป็นฝีที่ข้างจมูก แล้วเชื้อเข้าไปในสมอง ครั้นตกปีที่สาม นักเรียนแพทย์กับพยาบาลถึงแทงกันตายบนตึกอาทร ! เรื่องมันนานมาแล้ว
เกิดมีการตายปีละคน ปีละคนสองคนอย่างนี้ ผมก็ชักใจไม่ดี เพราะตอนนั้นผมไม่ได้เป็นผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการหรอกครับ เป็นหมอธรรมดา ๆ แต่ผมมีความเชื่อถือในไสยศาสตร์นิดหน่อย
ผมมาคิดดู เอ๊ะ ! มันแปลก หมอตาย! พยาบาลตาย! แล้วก็นักเรียนแพทย์ตาย! เอ๊ะ แล้วจะถึงหมออะไร ?! ผมก็นึกถึงตัวผม! เพราะมันน่ากลัวนี่ครับ !
ผมก็ไปปรึกษากับ "คุณสงวน เฟื่องเพ็ชร" หัวหน้าพยาบาลใหญ่ ตอนนั้น "ท่านเจ้าคุณดำรงแพทยากุล" ท่านเป็นผู้อำนวยการ
ผมก็บอก คุณสงวน เฟื่องเพ็ชร ว่า ผมมาอยู่ ๔-๕ ปีแล้วไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ ผมสังเกตดู ทำไมพนักงานเจ้าหน้าที่ของเราถึงได้ตายปีละคน ปีละคน ปีละสองคน ดูเหมือนรวม ๔ คนแล้วนะครับ มีหมอหนึ่งคน พยาบาลสองคน นักเรียนแพทย์อีกหนึ่งคน ผมจำได้!
คุณสงวนก็บอก นั่นซี คุณหมอ! ฉันก็สังเกตุดู มันเป็นยังไงกันนี่!
ผมก็บอกว่า เอาอย่างนี้ไหม ผมรู้จักคุณหลวงสุวิชานแพทย์ ผมจะให้คุณสงวน เฟื่องเพ็ชร ไปกับผม ไปหาคุณหลวงสุวิชานแพทย์ ขอให้ท่านช่วยดู คุณสงวนตกลงก็ไปดูด้วยกัน
ไปถึงก็เล่าให้ท่านฟังอย่างนี้ว่า ทำไมหมอถึงตาย พยาบาลถึงตาย
ท่านนั่งสักประเดี๋ยว ท่านก็บอกว่า
"คุณหมอรู้ไหม ที่หน้าตึกสุธาทิพย์ ที่หน้าสนาม มีฤาษีอยู่ตนหนึ่ง นอนอยู่ในสนามตลอดเวลา มีเลือดไหลออกจากมุมปาก!
ผมติดต่อกับฤาษีนี้แล้ว เขาบอกว่า ฉันไม่มีที่อยู่ โรงพยาบาลนี้ไม่มีที่อยู่ให้ฉัน จึงต้องนอนกลางสนามอย่างนี้ ฉันจึงต้องกินหมอกับพยาบาลปีละคนสองคน"
ผมก็เรียนถามท่านว่ามีวิธึจะทำอย่างไร เหตุการณ์เช่นนี้จึงจะไม่เกิดขึ้นอีก?
ท่านก็บอกว่า "เอาละ! ผมจะจัดการให้คุณเหรียญ มีเดช ทำพิธีให้ จะทำให้ดีที่สุด"
ผมก็บอกคุณสงวน เฟื่องเพ็ชร ว่า ผมจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด คุณสงวนทำเถอะ!
เพราะอ้ายเราก็กลัวว่าประเดี๋ยวจะถึงคิว! ผมก็บอกคุณสงวนว่าทำเต็มที่เลย!
ก็เห็นไหมครับ ศาลพระภูมิที่อยู่ตรงหัวถนนสุรวงศ์ อยู่ข้างในรั้วโรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นศาลพระภูมิใหญ่นั่นน่ะ! ทำพิธีใหญ่
ตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย! ไม่มีเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ถึงจะมีคนตายก็ไปตายนอกโรงพยาบาลกันเยอะ ส่วนในโรงพยาบาลก็มีเหมือนกัน แต่ก็นาน ๆ นะครับ ไม่ใช่ทุกปีดังที่เคยเป็น
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นคุณสมบัติที่วิเศษของ คุณหลวงสุวิชานแพทย์ ที่มี "ตาทิพย์"
ผมเคยทราบว่าตอนที่ท่านบวชเป็นพระ ท่านปฏิบัติจนได้ญาณวิเศษ แล้วได้เร็วเสียด้วย!
นี่แหละครับ เป็นเรื่องที่ท่านมี "หูทิพย์ ตาทิพย์" ซึ่งเรื่องนี้ผมเห็นว่า เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ต้องพิเศษจริง ๆ "*
เรื่องที่ ๘ "ฝรั่งตาทิพย์"
เมื่อได้พูดถึงบุคคลที่มี "นัยน์ตาทิพย์" นั้น คุณหมอเฉลี่ย ได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องอัศจรรย์ในต่างประเทศว่า
"ผมเคยอ่านจากข่าวต่างประเทศเรื่องหนึ่ง เขาบอกว่า มีช่างไม้คนหนึ่งเป็นช่างไม้ธรรมดา ๆ นี่เอง เป็นชาวฮอลันดา วันหนึ่งปีนขึ้นไปบนร้านไม้แล้วเกิดตกลงมาศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรงจนสลบ พอฟื้นขึ้นมามองเห็นอะไรเป็นอย่างอื่นไปหมด คือ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เฃ่น อย่างคุณทองทิวนี่นะครับ พอแกจับมือคุณทองทิวปั๊บ จะเห็นอดีต ปัจจุบันและอนาคตของคุณทองทิวหมด!
เป็นเรื่องแปลกที่สุด สมองส่วนหนึ่งส่วนใดมันเป็นอย่างนี้
ตอนนั้น เกิดสงครามโลก ทางอังกฤษส่งนายทหารใต้ดินมาอยู่ที่ฝรั่งเศส ช่างไม้ชาวฮอลันดานี่ก็หนีมาอยู่ฝรั่งเศส คราวนี้ตัวแกเกิดป่วยต้องไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลรวมกับนายมหารอังกฤษที่ป่วยเหมือนกัน
ครั้นไม่กี่วันต่อมานายทหารอังกฤษที่เคยนอนอยู่เตียงข้าง ๆ ก็ลุกมาจับมือลา พอสัมผัสมือปั๊บ ตาช่างไม้ฮอลันดาก็เศร้าทันที! เพราะแกเห็นฃัดว่า นายทหารอังกฤษคนนี้ไปตายที่หัวมุมตึกหลังหนึ่ง! แกไม่กล้าบอกเจ้าตัว ก็เที่ยววิ่งไปบอกนางพยาบาล
นางพยาบาลก็หาว่าแกเป็นบ้า! จะต้องไปให้หมอโรคจิตตรวจดู แกก็บอกจริง ๆ นะ อย่าให้เขาออกไปจากโรงพยาบาลเลย ทั้งเล่าอะไรต่าง ๆ ให้นางพยาบาลฟัง
นางพยาบาลก็หาว่า อ้ายหมอนี่ บ้า! จับตัวไปให้หมอโรคจิตตรวจเป็นการใหญ่
"อีก ๕ วันเท่านั้น นางพยาบาลคนนั้นก็มาบอกว่า เออ! นี่แกพูดจริงแฮะ! นายทหารอังกฤษไปตายที่หัวมุมตึกโน่นจริง ๆ "
คราวนี้ก็มีคนลือกันใหญ่ ก็มีคนมาให้แกดู พอแกจับมือ จับสิ่งของของเขาก็รู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร
อยู่มาวันหนึ่งก็ไปแสดงบนเวที คนดูเอานาฬิกาออกมายื่นให้แกจับก็บอกได้ทันทีว่า เวลานี้คุณเป็นหนี้เขาเท่านั้น ๆ ทำไมไม่ใช้เขา! บางคนโดนเข้าอย่างนี้ก็ชักอาย ก็พูดตามความจริงนี่ครับ! นาฬิกานี่คุณเอามาจากโน่น หยิบของคนอื่นเขามาเฉย ๆ อะไรทำนองนี้ คนที่ยื่นนาฬิกาให้แกก็หน้าชาซิครับ!
ต่อมามีผัวเมียคู่หนึ่งนั่งอยู่แถวหน้า เอาผ้าเช็ดหน้าส่งให้ก่อนที่จะพูด แกบอกว่า ขอพูดความจริงนะ ถ้าใครไม่ชอบความจริงก็อย่าเอาอะไรมาให้แกดู พอผัวเมียคู่นั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แกรับปุ๊บก็บอกเลยว่า คุณนี่โกหกเมีย! คุณมีเมียน้อยซ่อนอยู่ที่ตำบลนั้น ๆ !
ก็เกิดเรื่องใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา แกก็บอกว่าไม่เอาแล้วเรื่องอย่างนี้ เลิกแล้ว!
แต่คราวนี้อเมริกันหัวมันแจ๋วกว่าเป็นชาวเท็กซัส นะครับ มันเอาตานี่ไปเท็กซัส ไปชี้บ่อน้ำมัน ทนายความอเมริกันเป็นคนพาไป มันจ้างนะครับ ก็ไปชี้ปั๊บ ๆ ๆ ๆ เป็นเศรษฐีไปเลย! ไปชี้บอกตรงนี้มีบ่อน้ำมัน ตรงนั้นเป็นบ่อน้ำมัน แต่ตอนหลังนี้ รู้สึกแกจะเสื่อมหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร"
เรื่องที่ ๙ "เรื่องของคนไข้คนหนึ่ง"
คุณหมอเฉลี่ย วัชรพุกก์ ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ขณะที่เขียนเรื่องนี้ อายุ ๗๒ ปี ย่างเข้า ๗๓ ปี จบแพทย์ศาสตร์จากศิริราชเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ เกษียณอายุปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ชีวิตรับราชการเคยเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราชหนึ่งปี แล้วมารับราชการที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ตลอดมาจนเกษียณอายุ ท่านเล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งท่านเป็นแพทย์ประจำบ้านให้ฟังว่า
"เรื่องที่ผมประสบด้วยตนเองนี่ ผมไม่เชื่อนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ที่มันสมองอาจกำลังฟั่นเฟือนก็เป็นได้
ตอนผมเป็นแพทย์สูตินารีแพทย์ประจำบ้านอยู่ที่ศิริราช มีอยู่ห้องหนึ่ง ห้องนี้ก็แปลกนะ ตอนหลังผมไปถามพยาบาล พยาบาลเขาบอกว่ามีบ่อย
ห้องนั้นเป็นห้องเดี่ยว พอดีวันนั้นผมอยู่เวร ก็เห็นคนไข้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากห้องไปนอนดิ้น แกแท้งใหม่ ๆ ก็มีไข้ แกร้องแต่ว่า
"อยู่ไม่ได้! อยู่ไม่ได้!"
ผมก็ถามว่า "ทำไม อยู่ไม่ได้!"
แกบอกว่า "เวลานอนมีคนมากวนฉันเรื่อย ๆ ประเดี๊ยวมาดึงขา ประเดี๋ยวมาดึงแขน!"
ผมก็บอกว่า เอ้า! ถ้างั้นไปนอนห้องอื่น แกก็ย้ายไป รุ่งขึ้นผมไปถามพยาบาล เอ๊ะ ห้องนี้เคยมีอย่างนี้ไหม?
เขาบอกว่า บ่อย! มีคนมาถึงแขนดึงขาคนไข้นี่มีบ่อย! ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอะไรก็เฉย ๆ ปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งบัดนี้"
เรื่องที่ ๑๐ "วิญญาณที่โรงพยาบาลหญิง"
นอกจากนี้ คุณหมอเฉลี่ยได้เล่าถึงบุตรชายของคุณหมอว่า
"ลูกชายคนโตของผมเป็นหมอ แกเล่าให้ผมฟัง ตัวแกเองไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางอะไรนี่หรอก เขาบอกว่าเขาไปอยู่เวรที่โรงพยาบาลหญิง (โรงพยาบาลราชวิถีในปัจจุบัน) สมัยก่อนโรงพยาบาลหญิงมีตึกอยู่ตึกหนึ่งสำหรับหมอเวรนอน ตรงข้ามกับทางเดินนั้นเป็นห้องคลอด
แกบอกว่า อยู่เวรตอนกลางคืน ปิดประตูใส่กลอนเรียบร้อยก็เข้านอน เตียงนอนอยู่ตรงข้ามกับประตู
พอจะเคลิ้ม ๆ แกบอกว่าเห็นประตูเขยิบเข้าเขยิบออก! เขยิบเข้า เขยิบออก! ทั้ง ๆ ที่ประตูใส่กลอน มองดูก็ไม่เห็นมีใคร
คราวนี้พอจะเคลิ้ม ๆ อีก ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าถุงมายืนอยู่ข้างแกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้! บอกว่า
"ช่วยฉันหน่อยซี่ ฉันต้องการให้คนทำบุญให้ฉันหน่อย"
ลูกชายผมก็มองดู เห็นผู้หญิงนุ่งผ้าถุงยืนอยู่อย่างนั้น แกก็ลุกขึ้นเปิดไฟแล้วก็ขนของไปอยู่ห้องอื่น!
รุ่งขึ้น แกก็ไปถามพยาบาล เอ๊ะ! ห้องนี้เป็นยังไง?
พวกพยาบาลก็หัวเราะถามว่า คุณหมอเจออย่างนั้น ๆ ใช่ไหม?
แกก็ตอบว่า ไช่!
พยาบาลก็บอกว่าคุณหมอโดนมาหลายคนแล้ว ผู้หญิงที่นุ่งผ้าถุงน่ะ! ลูกผมก็ถามว่า ตายเพราะอะไร?
พยาบาลก็บอกว่า คลอดลูกตาย! ผู้หญิงคนนั้นใส่เสื้อสีอย่างนั้น นุ่งผ้าถุงสีอย่างนั้น ลูกชายผมก็ไม่เชื่อนะครับ แกบอกเรื่องนี้แปลกที่สุดแล้วก็ไม่นอนในห้องนั้นอีกเลย!"
เรื่องที่ ๑๑ "เรื่องของพระยาศรีวิสารวาจา"
เมื่อพูดถึง "ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจา" ซึ่งเป็นบิดาของ "คุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา" และเป็นคุณน้าของผู้เขียนนั้น คุณหมอเฉลี่ยได้กล่าว่า
"ผมเคารพนับถือท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจาเป็นคุณพ่อคนที่สองของผม!
ในชีวิตผมนี้ได้ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจาแนะนำวิธีการทุกอย่างในเรื่องการบริหารงานหรือในเรื่องอื่น ๆ ที่ท่านสามารถแนะนำได้ซึ่งเป็นความรู้สูงมากเพราะท่านเชี่ยวชาญเหลือเกิน เรียกว่า ท่านมีความเมตตากรุณาต่อครอบครัวผมมาก อย่างทำบุญบ้าน ท่านก็ได้เอาพระบูชาสวย ๆ จากลพบุรีมาให้เป็นคนแรกในชีวิตนี้ที่ผมได้พระบูชา และปัจจุบันนี้ผมถือว่า เป็นยอดของพระบูชาทั้งหลายเท่า ๆ กับพระที่คุณพ่อของผมให้ !
วันหนึ่งท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจาเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งท่านไปประชุมที่นิวเดลี ประเทศอินเดียนั้น ท่านไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบิน ก็เผอิญพบกับ "หลวงพ่อลี" วัดอโศการาม ท่านเจ้าคุณก็ได้เข้าไปนมัสการ แล้วถามว่าท่านจะไปไหน หลวงพ่อลีก็บอกท่านเจ้าคุณฯ ว่า ท่านจะไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดีย นี่ก็ปราศรัยกันได้ชั่วครู่ท่านเจ้าคุณฯ จึงนมัสการลา เพราะถึงเวลาเครื่องจะออก
ครั้นท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจามาถึงกรุงเทพได้วันเดียว ก็ทราบว่า
"หลวงพ่อลีท่านมรณภาพเมื่อวัน-สองวันนี่เอง!
เรื่องนี้ ท่านเจ้าคุณศรีวิสารวาจาเล่าให้ผมฟัง ผมยังจำได้จนบัดนี้!"
เรื่องที่ ๑๒ "เชื่อว่าวิญญาณมีจริง"
ผู้เขียนเรียนถามคุณหมอเฉลี่ยว่า ท่านเชื่อว่า วิญญาณมีจริงไหม?
คุณหมอตอบอย่างหนักแน่นว่า "สำหรับผม ผมเชื่อว่าวิญญาณมีจริง"
"แต่ว่าต้องเป็นวิญญาณแบบพระพุทธศาสนานะครับ ไม่ใช่วิญญาณของศาสนาอื่น เพราะศาสนาอื่นเขาถือว่าวิญญาณคือตัวจริง ๆ แต่เป็นกายทิพย์ที่ตัวจริงของเราเป็นอัตตา ตายไปแล้วก็ยังเป็นตัวของเราอยู่ แต่มันเหมือนอินวิสซิเบิลแมน คือ เป็นกายทิพย์ หากทว่ายังเป็นตัวของเราอยู่ มี หู มีตา มีอะไรเหมือนกับตัวเรา
เหมือนกับถอดเสื้อผ้า แล้วไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นอัตตา แต่ในพระพุทธศาสนาของเรา "เป็นอนัตตา" แปลว่า "ไม่มีตัวตน" เพราะฉะนั้นวิญญาณนี้เป็นคล้าย ๆ "พลังงาน" พลังงานที่เกิดขึ้นมาได้จากกรรมที่ตัวทำไว้ กรรมดีก็เป็นพลังงานที่ดี กรรมชั่วก็เป็นพลังงานที่ชั่ว แล้วก็จะต้องเกิดทันที ตายปั๊บต้องเกิดเป็น "โอปปาติกะ"
หมายความว่า พระพุทธศาสนาของเราแบ่งชั้นที่ไม่ใช่เป็นมนุษย์กับสัตว์ทั้งหมด ๓๑ ชั้น คือ อบายภูมิ ๑๑ ชั้น เทวดา ๑๖ ชั้น แล้วก็พรหมอีก ๔ ชั้น ข้อนี้ผมว่าจริง! เพราะพระพุทธเจ้าท่านเห็น ท่านมีตาทิพย์ ท่านก็มองเห็นรอบตัวเรานี้อาจจะมีพวกอินทร์ พระพรหม เทวดาหรือเทพทั้งหลาย แต่ว่าคล้าย ๆ เหมือนวิญญาณเหมือนกับคนเราอยู่ในโลก เราก็มองเห็นกันนั่นก็เป็นโลกของเรา โลกซ้อนโลก เป็นโลกเทวดา โลกพรหม ก็มี แต่เรามองไม่เห็นเพราะเราไม่มีตาทิพย์ ไม่มีหูทิพย์ เราก็มองไม่เห็น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเห็น นี่ ทำไมท่านถึงต้องเทศน์โปรดพระพรหม พรหมา จ โลกา ฯ หมายความว่า เชิญท่านพรหมมาฟังเทศน์ ท่านมองเห็นหมด
อันนี้เป็นลักษณะที่ไม่ใช่วิญญาณแบบพราหมณ์ ทางพราหมณ์ หมายความว่า "ผม หมอเฉลี่ย ตายไปเกิดเป็นหมอเฉลี่ย"
แต่ทางพระพุทธศาสนา วิญญาณของเราถ้าเป็นวิญญาณที่ดี ทำกรรมดี เราก็ไปเกิดเป็นเทวดา ถ้าวิญญาณเราชั่ว ทำกรรมชั่วมาก็ไปเกิดเป็นเปรต! หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรมนั้น ๆ รูปร่างไม่เหมือนอย่างเรา เปลี่ยนไป! แต่วิญญาณเรายังอยู่ พลังของเรายังอยู่ รูปเปลี่ยนไปเป็นอนัตตาฯ"
เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกินที่ผู้เขียนฟังท่านพูดเพลิน จนเทปหมดม้วนแต่เพียงนี้ซึ่งเป็นความสะเพร่า เผอเรอของผู้เขียน จึงไม่อาจจะนำคำพูดคำอธิบายของท่านมาลงจนหมดถ้อยคำที่สนทนาในวันนั้นได้
ผู้เขียนขอกราบประทานอภัยต่อ "ท่านศาสตราจารย์ นายแพทยเฉลี่ย วัชรพุกก์" มา ณ โอกาสนี้ และขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ท่านกรุณาให้สัมภาษณ์ด้วยความเมตตาตั้งแต่ต้นจนจบ และอีกท่านหนึ่งซึ่งผู้เขียนจะลืมมิได้เสียก็คือ "คุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา" ที่เป็นธุระทุกอย่าง ทุกประการ จนกระทั่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์สมดังความประสงค์
เรื่องที่ ๑๓ (สุดท้าย) "เสียงประหลาดในเทป"
ที่จริงผู้เขียนสมควรจะจบบทความชิ้นนี้แต่เพียงแค่นี้ ถ้าหากไม่นึกถึงเสียงประหลาดที่ปรากฏในเทปขณะที่กำลังสัมภาษณ์คุณหมอเฉลี่ยอยู่ ทั้งนี้เพราะถ้าผู้เขียนสัมภาษณ์ท่านผู้ใดมา ก่อนจะเขียนเรื่องราวของผู้นั้น จำต้องถอดเทปแต่ละคำพูด แต่ละประโยคเสียก่อนชั้นหนึ่ง แล้วจึงจะเขียนบทความตามเนื้อเรื่องที่ถอดมาจากเทป และเรื่องราวของคุณหมอเฉลี่ย วัชรพุกก์ นั้น ผู้เขียนก็ปฏิบัติดังกล่าว โดยทำการถอดเทปเป็นอันดับแรก
แต่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ภายในห้องทำงานของคุณหมอเป็นห้องมิดชิด ไมมีสรรพสำเนียงภายนอกจะหลุดรอดเข้าไปรบกวนได้นั้น ทำไมหนอผู้เขียนเปิดเทปฟังแล้ว จึงมีเสียงหนึ่งสอดแทรกคำพูดของคุณหมอเฉลี่ยซึ่งกำลังพูดเรื่องวิญญาณเป็นจังหวะ ๆ ! เสียงที่ปรากฏในเทปเป็นเสียงเหมือนใครคนหนึ่งตีกระทะทองเหลืองหรือแผ่นทองเหลืองเป็นจังหวะ ๆ และดังเหลือเกิน!
มิหนำซ้ำยังมีคล้าย ๆ เสียงเพลงสอดแทรกขึ้นมาช่วงสั้น ๆ อีกด้วย! เป็นเสียงเพลงเย็น ๆ พิกล!
เมื่อผู้เขียนได้ยินดังนั้น บังเกิดความไม่แน่ใจ และเนื่องจากการสัมภาษณ์คุณหมอเฉลี่ยในวันนั้น นอกจากคุณหมอกับผู้เขียนแล้ว ยังมีคุณหญิงสาวิตรี ศรีวิสารวาจา นั่งฟังอยู่ด้วยจนจบการสัมภาษณ์
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงโทร.ไปถามคุณหญิงสาวิตรีว่า ขณะที่ผู้เขียนกำลังสัมภาษณ์คุณหมอเฉลี่ยนั้น มีเสียงดังเหมือนมีใครมาตีกระทะทองเหลืองแทรกขึ้นมาหรือไม่?
คุณหญิงยืนยันว่าไม่มีเด็ดขาด!
ผู้เขียนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นจึงเปิดเทปให้เธอฟังทางหูโทรศัพท์ คุณหญิงสาวิตรีฟังแล้วบอกว่า "ขนลุก" ผู้เขียนยังไม่แน่ใจอีก จึงโทร. ไปหาคุณหมอเฉลี่ยและได้เรียนถามท่านเช่นเดียวกับที่ถามคุณหญิงสาวิตรี
คุณหมอเฉลี่ยยืนยันว่า ห้องของท่านเป็นห้องมิดชิด ไม่มีทางที่เสียงจากภายนอกจะเล็ดลอดเข้ามาได้
ผู้เขียนจึงเปิดเทปให้ท่านฟังทางโทรศัพท์
คุณหมอฟังแล้วบอกว่า "ถ้ามีเสียงนี้ขณะที่คุณทองทิวกำลังสัมภาษณ์ ผมคงรำคาญและทนไม่ไหวแน่!"
ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า ท่านเข้าใจว่าเป็นเสียงอะไร?
ท่านตอบว่าไม่แน่ใจ แล้วพูดต่อว่า "เมื่อเช้านี้ก่อนคุณทองทิวมา ผมก็บอกกล่าวพระภูมิเจ้าที่ขออนุญาตที่จะเล่าเรื่องของท่านแล้ว แต่ทำไมเป็นอย่างนี้ไม่ทราบ!"
ผู้เขียนยังเก็บเทปม้วนนี้ไว้และตั้งใจจะอัดสำเนาส่งไปให้คุณหมอเฉลี่ยกับคุณหญิงสาวิตรี ท่านละม้วนด้วย!
..ขอประทานอภัย ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบบ้างไหมครับว่า เสียงที่ปรากฏในเทปของผู้เขียน เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากท่านผู้ใด?
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย