ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ วันนี้ค่าบริการส่งอาหารในบ้านเราเป็นราคาที่เข้าถึงง่าย
เมื่อทุกรายยอมขาดทุน “แข่งขันราคา” เพื่อให้ตัวเองดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์ก็คือ ผู้บริโภค ที่ได้ใช้บริการในราคาประหยัด
และหากในอนาคตเกิดมีผู้เล่นในตลาด Food Delivery น้อยลง
การแข่งขันในเรื่องอัตราค่าบริการก็ย่อมน้อยลง
ผลที่ตามมาก็คือค่าบริการอาจต้องแพงขึ้น
เพราะต้องยอมรับว่าลึก ๆ ในใจ Food Delivery ทุกรายต้องการรู้จักคำว่ากำไรให้เร็วที่สุด
นอกจากนั้น ธุรกิจนี้ได้สร้างอาชีพคนขับส่งอาหารจำนวนมาก
ยกตัวอย่างเช่น Grab ที่มีคนขับนับแสนราย (รวมธุรกิจเรียกรถและส่งอาหาร)
แน่นอนหาก Food Delivery รายใดรายหนึ่งต้องหายไป ก็ย่อมส่งผลกระทบในตลาดแรงงาน
เมื่อ Food Delivery ทุกรายก็ไม่อยากที่จะลดค่า GP ในวันที่ยังขาดทุนหนักหน่วง
ฝั่งร้านอาหารก็อยากเสียค่า GP ให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด 19
ส่วนตัวลูกค้าเองก็คงไม่มีใครอยากเสียค่าบริการ Food Delivery แพงขึ้นกว่าเดิม
ไม่ว่าจะช่วงโควิด 19 หรือช่วงเวลาปกติ ส่วนฝั่งคนขับก็ยังต้องการรายได้ที่เหมาะสม
แต่เมื่อทุกอย่างไม่ลงตัว มันก็อาจจะมีคนที่ทนไม่ไหว และต้องยอมออกจากเกมนี้ ก็เป็นได้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
การระบาดของโควิด 19 เมื่อปีที่แล้วทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ออกคำสั่งห้ามลูกค้านั่งทานในร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพาบริการ Food Delivery เป็นหลัก คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา
แต่ที่ต่างกันคือ
สิงคโปร์ มีหน่วยงานที่ชื่อ Enterprise Singapore หรือ ESG ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ภายใต้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ เลือกที่จะชดเชยค่า GP 5% ให้แก่บรรดาร้านอาหารเป็นเวลา 1 เดือน