30 พ.ค. 2021 เวลา 01:37 • ข่าว
เรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกในวันนี้
ที่มีการค้นพบศพ 215 ศพ ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นศพเด็ก
ณ สถานที่ที่เคยเป็นโรงเรียนประจำของเด็กพื้นเมือง ในประเทศแคนาดานั้น
1
เกิดจากกระบวนการ ”ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” ในอดีตของประเทศแคนาดา ซี่งเป็นเรื่องราวด้านมืดที่เป็นปมใหญ่ของประเทศแคนาดามาโดยตลอด
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม เป็นแนวคิดที่สร้างขึ้นเจตนาเพื่อทำลายวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาต้องการ ให้มันหายไปโดยไม่ต้องมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันคือการกำจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ทำลายภาษา และทำลายประเพณีโดยสิ้นเชิง
6
วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่ปัจจุบันถือได้ว่ามีสิทธิและเสรีภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
3
ในอดีต ประเทศแคนาดามีชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่หลายกลุ่มหลายเผ่า ชนพื้นเมืองที่ประเทศแคนาดาจะถูกเรียกรวมๆ ว่าพวก “Indigenous”
1
การเป็นอยู่ของพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทำเกษตร ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร พวกเขาไม่มีนิสัยที่โหดร้ายหรือฆ่าฟันกันเองระหว่างเผ่า
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้จะเข้ามาสำรวจและตั้งรกรากในพื้นที่ประเทศแคนาดาในปัจจุบัน เมื่อมีคนขาวเข้ามาในพื้นที่ ด้วยนิสัยที่ไม่โหดร้ายของชนพื้นเมือง พวกเขาจึงต่างต้อนรับเป็นอย่างดี
6
ชนเผ่าพื้นเมืองในแคนาดา
วันเวลาผ่านมาชนพื้นเมืองเริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดผิด พวกเขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับและได้รับสิทธิดั่งเช่นคนผิวขาวที่มารุกรานพื้นที่พวกเขาเท่าไหร่นัก
2
หลังจากกลายเป็นประเทศแคนาดา ชนพื้นเมืองก็เริ่มถูกกีดกันและขับไสไล่ส่งไปยังดินแดนอื่นที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่คนผิวขาวสร้าง
3
รัฐบาลเรียกการกระทำนี้ว่า
“นโยบายการกวาดล้างดินแดนสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาล”
หรือก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมนั่นเอง
2
กรณีการกวาดล้างดินแดนที่โหดร้ายที่สุดคือในช่วงปีค.ศ.1950 เมื่อรัฐบาลแคนาดาได้สั่งให้ชนเผ่า Ahiarmiut ออกจากพื้นที่ของตนเอง เจ้าหน้าที่รัฐบาลลงมือทำลายที่พักและข้าวของอื่นๆ ของชนเผ่า จากนั้นนำคนในชนเผ่าขึ้นเครื่องบิน และไปปล่อยไว้บนเกาะใหญ่ในทะเลสาบ Nueltin โดยไม่มีเสบียง อาหาร หรือที่พักให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชนพื้นเมืองต่างเริ่มอดอยากและล้มตายเป็นจำนวนมาก
10
มิหนำซ้ำพวกเขายังถูกย้ายอีก 3 ครั้ง โดยถูกไล่ขึ้นไปตอนบนซึ่งหนาวเหน็บและไร้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ พวกเขาทยอยกันล้มตาย โดยแทบไม่ได้ได้รับการช่วยเหลืออะไรจากรัฐบาลเลย
3
ชนพื้นเมืองที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะถูกไล่ไปอาศัยอยู่ในดินแดนอันห่างไกล ส่วนชนพื้นเมืองที่ยังเป็นเด็กๆ อยู่ พวกเขาจะถูกกวาดต้อนและบังคับนำตัวไปอาศัยอยู่ในโรงเรียนที่รัฐบาลจัดให้ โดยที่เด็กบางคนนั้นไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อและแม่ของเขาอีกเลย
6
ตั้งแต่ปีค.ศ.1863 ถึง ค.ศ.1998 เด็กชาวพื้นเมืองกว่า 150,000 คนถูกพรากไปจากครอบครัวของตนเอง พวกเขาถูกบังคับให้ไปอยู่ในโรงเรียนประจำของรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ
2
เด็กๆ เหล่านี้จะไม่อนุญาตให้พูดภาษาพื้นเมืองของพวกเขา และจะไม่ให้ทำกิจกรรมหรือธรรมเนียมใดๆ ที่เป็นของพวกเขา เด็กหลายคนถูกลงโทษ ถูกทำร้ายร่างกายและเฆี่ยนตี เพียงเพราะพวกเขาเผลอพูดภาษาตนเองออกมา
4
พวกเด็กๆ จะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อจากครอบครัวและวัฒนธรรมของพวกเขาโดยสิ้นเชิง เด็กจะถูกบังคับให้พูดภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส อีกทั้งยังถูกบังคับให้นับถือศาสนาที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อน
เด็กๆ ชนพื้นเมืองเริ่มถูกต้อนเข้ามาในโรงเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มมีมากเกินควบคุมและเกินที่จะดูแลด้านสุขอนามัยอย่างเพียงพอ
2
วิชาเย็บปักถักร้อย หนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียนเด็กพื้นเมือง
โรงเรียนกลับกลายเป็นเหมือนนรก
มีการล่วงละเมิดทางเพศและถูกข่มขืนทั้งจากครูและนักเรียนด้วยกัน เด็กนักเรียนยังได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกบังคับให้อดอาหารและการลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกาย
3
จากความเชื่อของเหล่าคุณครูที่บอกว่าการทำร้ายร่างกายเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้จิตวิญญาณของคนป่าเหล่านี้ให้กลับกลายเป็นคนและทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะหลบหนีไปไหน
2
มีนักเรียนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการลงโทษในแบบฉบับที่คิดค้นโดยคนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ดี
2
ความแออัดยัดเยียดและการดูแลด้านสุขอนามัยที่ไม่ดีพอทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่และวัณโรคระบาดไปทั่วโรงเรียน
เรื่องที่น่าตกใจคือบางโรงเรียนมีนักเรียนเสียชีวิตสูงถึง 69 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะถูกฝังในสุสานข้างโรงเรียนโดยไม่มีแม้แต่ป้ายหลุมศพให้ระลึกถึง
3
นักเรียนที่รอดชีวิตจบกลับไปจากโรงเรียนเหล่านี้ บางส่วนพยายามใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองก็โดนเหยียดจนไม่สามารถอยู่ร่วมได้ เมื่อพวกเขากลับไปอยู่กับชนพื้นเมืองของตนเอง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมและภาษาของพื้นเมืองตนเองได้เช่นกัน ทำให้มีนักเรียนหลายคนที่จบไปแล้วตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมกับสังคมไหนได้เลย
ภาพก่อนและหลัง หนึ่งในเด็กนักเรียนที่ถูกบังคับเข้าไปในโรงเรียน พวกเขาทำลายวัฒนธรรมของเผ่าผู้ให้กำเนิดจนหมดสิ้น
สุดท้ายแล้วด้วยความล้มเหลวทางนโยบายอันโหดร้ายนี้ รวมถึงการตระหนักในด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันในสังคมที่มีมากขึ้นทั่วโลก โรงเรียนจึงได้เริ่มทยอยปิดไป จนสูญสิ้นไปในที่สุดในปีค.ศ.1998
ในยุคของนายกรัฐมนตรี สตีเฟน ฮาร์เปอร์ จนถึง นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ในปัจจุบัน เริ่มมีการขอโทษต่อชนพื้นเมือง และชดเชยค่าเสียหายแก่พวกเขาเป็นจำนวนหลายล้านดอลลาร์
1
ถึงแม้ในปัจจุบันประเทศแคนาดาจะมีความเป็นสิทธิและเสรีภาพมากแล้วก็ตาม แต่สิ่งนี้ยังคงติดอยู่ในประวัติศาสตร์และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้กับคนทั่วโลกต่อไป
2
ปัจจุบันคนแคนาดาตระหนักถึงเรื่องราวนี้มากเลยนะ มันเป็นเรื่องราวในอดีต อย่าไปทำร้ายคนปัจจุบันนะครับ🙏🏻
บทความโดย : I’m from Andromeda
ขอสงวนสิทธิ์การนำบทความไปใช้โดยไม่ได้ขออนุญาต
แหล่งข้อมูล
โฆษณา