31 พ.ค. 2021 เวลา 02:10 • ประวัติศาสตร์
“การค้าทาสข้ามแอตแลนติก (Atlantic Slave Trade)” กระบวนการค้าทาสที่มีชาวแอฟริกาเป็นเหยื่อ
ระหว่างศตวรรษที่ 15-ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาของ “การค้าทาสข้ามแอตแลนติก (Atlantic Slave Trade)”
ในช่วงเวลานี้ ชาวแอฟริกาตะวันตกจะถูกนำไปค้าเป็นทาส โดยผู้ซื้อคือชาวยุโรปตะวันตก
1
ทาสจากแอฟริกาจะถูกจับใส่เรือ ก่อนจะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาถึงสหรัฐอเมริกา โดยทาสเหล่านี้จะถูกจัดเป็น “สินค้า” และเมื่อถึงสหรัฐอเมริกา ก็จะกลายเป็น “ทรัพย์สิน”
1
ในการนี้ มีชาวแอฟริกันประมาณ 12 ล้านคนถูกพรากจากบ้านเกิด และถูกส่งไปเป็นทาสที่สหรัฐอเมริกา โดยชาติที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการที่โหดร้ายนี้ ก็มี โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และเนเธอแลนด์
จริงๆ แล้ว ก่อนหน้าการค้าทาสข้ามแอตแลนติก ผู้คนในแอฟริกา ยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการค้าทาสมาก่อนหน้าเป็นเวลานับศตวรรษ
ในช่วงเวลาของการค้าทาสข้ามแอตแลนติก ก็ได้มีการค้าทาสทางอื่นอยู่เช่นกัน หากแต่การค้าทาสข้ามแอตแลนติกเป็นการค้าทาสขนาดใหญ่ มีทาสที่ถูกค้าไปเป็นจำนวนมากยิ่งกว่าครั้งใด
2
เมื่อชาวยุโรปเริ่มจะย้ายไปสหรัฐอเมริกา ราชอาณาจักรคาสตีล (Kingdom of Castile) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ใหญ่และทรงพลังในช่วงยุคกลาง ก็ได้ส่งชาวยุโรปเข้าไปรุกรานเกาะกานาเรียส
เกาะกานาเรียสนั้นใช้เป็นสถานที่ผลิตไวน์และน้ำตาล โดยชาวเกาะบนเกาะกานาเรียสก็ถูกเกณฑ์เป็นทาส ถูกใช้แรงงานบนเกาะซึ่งเป็นบ้านเกิดของตน ในขณะที่บางส่วนก็ถูกส่งไปเป็นทาสยังดินแดนอื่น
ในช่วงแรกของการค้าทาสข้ามแอตแลนติก ชาวแอฟริกันได้ถูกจับและส่งไปยังโปรตุเกส รวมถึงอาณานิคมของสเปนในอเมริกาใต้
กระบวนการนี้กินเวลาเกือบ 80 ปี ตั้งแต่ค.ศ.1502-1580 (พ.ศ.2045-2123) โดยมีโปรตุเกสเป็นประเทศขาใหญ่ที่ค้าทาสเป็นจำนวนมาก รองลงมาก็คือฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ และอังกฤษ
ต่อมา สเปนและโปรตุเกสได้จับมือเป็นพันธมิตรกันในปีค.ศ.1580 (พ.ศ.2123) ทำให้โปรตุเกสถูกสเปนห้ามไม่ให้ขนทาสกลับไปยังสหรัฐอเมริกา ทำให้เนเธอแลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส เห็นเป็นโอกาสเหมาะในการหาประโยชน์จากการค้าทาส
ฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ อังกฤษ และโปรตุเกส ยังคงเป็นผู้ค้าทาสรายใหญ่ โดยทาสมักจะถูกส่งไปยังบราซิลและแคริบเบียน ซึ่งเป็นที่ๆ ชาวอาณานิคมต้องการแรงงานทาสเป็นจำนวนมาก
ในยุค 1690 (พ.ศ.2233) อังกฤษได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง ผู้ค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มากยิ่งกว่าชาติใด
ในศตวรรษที่ 18 ทาสจำนวนมากได้ถูกส่งไปยังสหรัฐอเมริกา และในปีค.ศ.1808 (พ.ศ.2351) อังกฤษและสหรัฐอเมริกาก็ได้ทำการแบนการค้าทาส ทำให้ตัวเลขการค้าทาสเริ่มจะลดลง
สาเหตุที่มีการส่งทาสจำนวนมากไปยังสหรัฐอเมริกา ก็เนื่องจากเจ้าของไร่และที่ดินจำนวนมาก ต้องการแรงงานจำนวนมากเพื่อทำงานในไร่
การซื้อที่ดินเพื่อทำฟาร์มนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็น ทำให้คนจำนวนมากทำการซื้อทาส และยิ่งคนซื้อทาสมากเท่าไร จำนวนทาสที่ถูกส่งมายังสหรัฐอเมริกาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาวอาณานิคมอเมริกาไม่ต้องการจะทำงานบ้านเอง อีกทั้งการทำงานในไร่ จะให้ทำคนเดียวก็ไม่ได้ ความต้องการทาสจึงมีสูง และหากทาสมีลูก ลูกของทาสก็จะตกเป็นทาสเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป แอฟริกาก็ได้เริ่มนำนักโทษและเชลยมาขายแก่ผู้ค้าทาสชาวยุโรป
นักโทษจะถูกนำมาขาย เนื่องจากเป็นการตัดปัญหาไม่ให้ก่อเรื่องในประเทศของตนอีก
มีการประเมินว่าจำนวนทาสที่ถูกนำมายังแคริบเบียน มีทั้งหมดกว่า 52,000 คน และในช่วงสองทศวรรษหลังของศตวรรษที่ 18 ตัวเลขก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ที่สหรัฐอเมริกา ทาสมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ถูกจัดเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่มนุษย์
ทาสต้องทำงานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตก และหากไม่ทำตามคำสั่งเจ้านาย ก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายต่างๆ นาๆ
ขณะอยู่บนเรือไปยังจุดหมายที่จะถูกค้า มีทาสชาวแอฟริกันเสียชีวิตระหว่างทางประมาณ 1.2-2.4 ล้านคน และอีกจำนวนมากที่เสียชีวิตขณะมาถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว
สภาพบนเรือค้าทาสก็เลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ผู้ชายจะถูกอัดเข้าไปในห้องใต้ท้องเรือ โดยแต่ละคนจะมีโซ่ตรวนที่ขา ห้องก็เล็กมาก แทบจะยืนไม่ได้
ส่วนผู้หญิงและเด็กจะถูกแยก บางครั้งก็ให้มาอยู่บนดาดฟ้าเรือ ไม่ต้องลงไปอึดอัดที่ใต้ท้องเรือ
แต่ถึงอย่างนั้น การมาอยู่ข้างบนก็ทำให้ผู้หญิงและเด็กตกเป็นเป้าในการล่วงละเมิดทางเพศของเหล่าลูกเรือ
ด้วยความที่สภาพบนเรือนั้นเลวร้าย ทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย อีกทั้งอาหารที่ให้เหล่าทาสก็ไม่ใช่อาหารที่ดี ทำให้เหล่าทาสอดอยาก
มีการประเมินว่าทาสบนเรือค้าทาส จะมีอยู่หนึ่งในห้าที่เสียชีวิตก่อนถึงฝั่ง และพวกที่รอด ก็ต้องทนกับสภาพความเป็นอยู่บนเรือที่เลวร้ายไปไม่ต่ำกว่าสองเดือนก่อนถึงฝั่ง
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์บทหนึ่งที่สะท้อนถึงความดำมืดและเลวร้ายของมนุษย์
โฆษณา