#รีวิวฟันด์วันละกอง #AllChinaActiveFund Ep.1
.
สวัสดีครับ วันนี้เราย้อนกลับมาคุยถึงกองทุนจีนกันอีกรอบดีกว่า บทความรีวิวกองทุนตอนที่ 11 นี้จะนำพาทุกท่าน ไปมองกองทุนที่กำลังเป็นอีก 1 กระแสกันตอนนี้ กองทุนจีนนี่แหละ !!!
.
แต่กองทุนจีนถ้าแบ่งย่อยหลักๆจะมีทั้งกอง H Shares / A Shares / All China / Greater China
.
ในบทความตอนที่ 6 เราเคยปูพื้นฐานเรื่องดัชนีของจีนกันมาแล้วเนอะ วันนี้เรามาต่อยอดกันดีกว่า เริ่มกันเลย
.
ใครยังไม่อ่าน ลองไปดูก่อนได้ครับ
****
#ทำไมต้องAllChina เหตุผลไม่ซับซ้อนเลยครับ เพราะมันคือ " จีน " คุณไม่ต้องสับสนกับการมานั่งเลือกตลาด H share หรือ A Share ซึ่งบางคนลงทั้ง 2 ตลาด แต่ก็มีหุ้นบางตัวที่อยู่ใน ADR ด้วย ซึ่งทั้ง 2 กองอาจจะไม่มี ดังนั้นข้อดีของกอง All China ก็คือ #กองเดียวครบทุกตลาดของจีน
.
แต่กองทุนในไทยที่ Feed ไปลงต่างประเทศนั้น ทั้งหมดเป็นกอง Active นะครับ ผมยังไม่เจอกอง Passive เลย (แย่จัง) ซึ่งหลายๆคนมีคำถามกันเยอะเหมือนกันว่า จะลงกองไหนดี พอลองไปไล่ดูจากที่เพจเด็กการเงินทำไว้ น่าจะมีประมาณ 16 กอง ที่แตกต่างกัน (รวม GreaterChina ด้วยนะ) แต่เมื่อวันนี้ขอเลือก 8 กองหลักๆ ที่มีคนถามคำถามเยอะ และเป็น All China มาคุยกันก่อนเป็นตอนแรกนะครับ
.
แต่ตลาดจีนที่กอง All China ไปลงทุนบางกองไม่ได้มีแค่ 3 ตลาดข้างต้นนะ ยังมีอีก 3 ตลาดดังนี้
1) B Share : หุ้นจีนที่ต่างชาติมาซื้อด้วยสกุลเงินต่างชาติ เช่น HKD USD
2) Red Chip : หุ้นจีน ประกอบธุรกิจนอกประเทศจีน และจดทะเบียนในฮ่องกง (สกุลเงิน HKD) โดยมีรัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นร่วมอย่างน้อย 30% และมีรายได้ หรือ Asset จากจีน >55%
3) P Chip : เหมือน RedChips แต่รัฐบาลจีนไม่ได้เข้ามาถือหุ้น
.
ดัชนีที่เราจะคุยกันวันนี้ หลักๆมี 3 ตัว คือ
- MSCI China สะท้อนหุ้นจีนขนาดใหญ่-กลางในทุกตลาด จำนวน 709 ตัว แสดงการเคลื่อนไหวของหุ้นจีนกว่า 85% ของทั้งหมด แต่หุ้น 2 ตัวแรก คือ Alibaba และ Tencent มีน้ำหนักรวมกัน 28% รวมถึง Top10 หนักถึง 46% โดย 6-7 ตัวใน 10 ตัวนี้เป็นหุ้นเทคโนโลยี
- MSCI China 10/40 (อ่านตอนแรกก็งง ยิ่งอ่านยิ่งงง แปลว่า เค้าคุมสัดส่วนหุ้นในพอร์ตนี้ให้ไม่เกิน 5% / 10% /40% ละกัน) แต่ดัชนีตัวนี้ก็ใช้สะท้อนหุ้นจีนขนาดใหญ่-กลางได้ทุกตลาดเช่นกัน 709 ตัวเช่นกัน ส่วนหุ้น Top10 ก็เหมือนกัน แต่น้ำหนักต่างกันโดย 2 ตัวแรกก็เหมือนกันแต่หนักเพียง 8% ขณะที่ตัวอื่นๆก็มีน้ำหนักไม่มาก ทั้งนี้หุ้น Top10 มีน้ำหนักเพียง 38% สะท้อนถึงการกระจายน้ำหนักในดัชนีที่มากกว่า
- MSCI China A Onshore สะท้อนหุ้นใน A Shares >>> เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น มีหุ้นมากถึง 757 ตัวเลย แน่นอนว่า มันสะท้อนได้คลุมกว่า China A50 และ CSI300 แต่ก็มีหุ้นขนาดเล็กอยู่จำนวนมากเช่นกัน และน้ำหนักหุ้น Top10 มีเพียงแค่ 20%
.
สำหรับตอนแรกเราจะมาคุยกัน 8 กองก่อน ถ้าแยกกลุ่มง่ายๆ ผมจะแบ่งเป็นกลุ่ม Feeder Fund และกลุ่ม Fund of Funds ละกันนะ
.
1.#กลุ่มFeederFund (K-CHINA-A KT-CHINA-A SCBCHEQ TMBCOF SCBCHIN)
.
#KCHINAA กองนี้บอกเลยว่า ตอนนี้หลายคนให้ความสนใจกันมาก ฟินโนมีนาก็เชียร์ด้วย พอไปดูแล้วมี 2 Class นะ - - Class D จ่ายปันผล ออกมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 52 มี Master Fund คือ Fidelity Funds – China Focus Fund แหละ แต่พ.ย.63 KAsset เค้ามาขอเปลี่ยน Master Fund นะเพราะ Performance ไม่ค่อยดีต่ำกว่า Benchmark และคู่แข่ง บวกกับกองทุนเน้นหุ้น Value ซึ่ง KAsset น่าจะมองว่ามาตรการทางการเงินและการคลังของจีนที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยหนุนมูลค่าหุ้นประเภทหุ้น Growth มากกว่า ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยน Master Fund เป็น JPMorgan Funds – China Fund โดย JPMorgan
- Class A สะสมมูลค่า Master Fund กองเดียวกัน แต่เพิ่งออกมาเลยเมื่อเดือนเม.ย.64 น่าจะตอบโจทย์ใครหลายๆคนนะ
- JPMorgan Funds – China Fund (TER 0.92%) เน้นลงทุนระยะยาวในจีน เลือกหุ้นแบบ Bottom Up โดยยึดพื้นฐาน แถม High Conviction (ถือหุ้นน้อย ไม่กระจายมาก เน้น idea) หาหุ้นที่มีคุณภาพสูง มีโอกาสเติบโตสูงกว่าธุรกิจอื่นๆและยั่งยืน ผลตอบแทนปี 2020 เท่ากับ 70.86% >>> น่าสนใจเลยทีเดียว น่าจะเพราะถือหุ้นเทคเยอะด้วย
- ความพิเศษ คือ P Chip 46% A Shares 30%(นโยบายไม่เกิน 40%) H Shares 11% ซึ่งหุ้นใน P Chip จะเป็นหุ้นเทคค่อนข้างเยอะ
.
#KTCHINAA เป็นอีกกองที่มีคนลงทุนเยอะ มี Master Fund คือ BGF China Fund ของ BlackRock (TER 1.10%) มีนโยบายสร้างผลตอบแทนรวมสูงสุด จากการลงทุนใน Asset อย่างน้อย 70% ในจีน (ล่าสุดลงในจีน 78.45% ฮ่องกง 8.14% ไต้หวัน 6.63%) (ผลตอบแทนปี 2020 = 47.68%)
.
#SCBCHEQ เป็นกองของ SCBAM ที่ตั้งมานานแล้ว และเร็วๆนี้ เพิ่งออกมาอีกกอง คือ SCBCHIN
สำหรับกองนี้มี Master Fund คือ NINETY ONE GLOBAL STRATEGY FUND - ALL CHINA EQUITY FUND ของบลจ. Ninety One
มีสัดส่วนลงทุนใน A Share 49% H Share 48% เป็น 1 ในกองที่ลงทุนใน Tencent มากถึง 9.5%
(ผลตอบแทนปี 2020 อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไร 25.7% เอง)
.
2. #กลุ่มUBS เป็นอีกกลุ่มที่มีบลจ.หลายเจ้าเลือกให้เป็น Master Fund ซึ่งแต่ละกองที่นำมาเป็นกอง Active ทั้งหมดซึ่งมี SCBCHIN TMBCOF ONE-AllChina (Fund of funds) แต่ใน UBS ก็มีหลายกองให้อ่านจนผมสับสนไปหมด ถ้าข้อมูลตรงไหนผิดไปก็บอกกันได้ครับ
.
#SCBCHIN น้องใหม่สดๆร้อน 23 มี.ค. 2564 มี Master Fund คือ UBS (Lux) Equity SICAV – All China (USD) I-A1-acc (TER 1.28%) เป็นกองเดียวเน้น All China สัดส่วนการลงทุนใน China offshore 68.8% China A onshore 17.8%
อันนี้ก็ลอกมาจาก Fund Fact Sheet เลย แปลว่า offshore >> นอกจีน ก็คือ H Share และอื่นๆ ขณะที่ onshore ก็คือ ในจีนเอง ตลาด A Shares
นอกจากนี้ กองนี้ลง Tencent 9.7% Alibaba 9.37% ก็ต้องรอดูว่าผลงานจะเป็นไงบ้างนะ (ผลตอบแทนปี 2020 ราว 30%)
ทั้งนี้ Master Fund นี้ คือกองเดียวกับ UChina ด้วย ............โอ๊ย เยอะมากครับ
.
#TMBCOF อีก 1 กองยอดฮิตของหลายๆคน มี Master Fund คือ UBS (Lux) Equity Fund – China Opportunity (USD) (TER 1.22%) อ่านดีๆ คนละชื่อกับข้างบน ตัวนี้ชื่อ China Opportunity แต่พอมาดูไส้ใน Tencent 9.96% Alibaba 9.06% คือก็เยอะอีกเช่นกัน (ผลตอบแทนปี 2020 ราว 30%)
.
#ONEALLCHINA กองนี้แปลกกว่าใครเพื่อน มี Master Fund เป็น UBS 4 กอง คือ
**UBS (Lux) Equity SICAV – All China (USD) I-A1-acc (42.41%)
**UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity (USD) I-A1-acc (14.29%)
**UBS (Lux) Equity SICAV – All China (USD) seeding I-A1-acc (14.15%)
**UBS (Lux) Equity China Opportunity (USD) I-A1-acc (7.97%)
- มาดูตัวใหญ่สุดก่อน UBS (Lux) Equity SICAV – All China (USD) I-A1-acc >>> ตัวเดียวกับ SCBCHIN U-CHINAเลย และซ้ำกับตัวที่ 3 ด้วย
- ขณะที่ UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity (USD) I-A1-acc เป็น A Shares เน้นกลุ่มการบริโภคการเงิน Healthcare จริงๆ แล้วกองนี้ยังเป็น Master Fund ของ KFACHINA-A และ TMB-ES-CHINA-A >> กอง A Shares
- ส่วนตัวที่ 4 ก็เป็นกองของ TMBCOF
ดังนั้นจะมาเฉลี่ยๆผลตอบแทนแต่ละกองไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าในกลุ่ม UBS ผลตอบแทนมันก็ราวๆ 30% ขณะที่ A Share จะ 37%
.
3. #กลุ่มFundofFunds วันนี้เราคุยถึง ASP-EVOCHINA และ B-CHINE-EQ
.
#ASPEVOCHINA มีนโยบายการลงทุนใน Mirae Asset China Growth Equity Fund <35% ลงหุ้นรายตัว <50% ที่เหลือเป็น ETF <20%
กองนี้เป็นอีกกองที่จี๊ดดดดดดดดดดดดดดมาก ขอบอก ปีที่แล้ว ผมไล่ดูอยู่ตลอด เพราะผลงานโดดเด่นระดับนึงเลย
- Mirae Asset China Growth Equity Fund (TER 1.5%)เน้นการลงทุนหุ้นที่สามารถเติบโตในระยะยาว ในกลุ่ม Consumer Healthcare และ Ecommerce (ผลตอบแทนปี 2020 =76.50%) ( ASP-EVOCHINA มีสัดส่วนราว 26% ณ เม.ย.64)
- Premia CSI Caixin China New Economy ETF (3173HK)(TER 0.5%) เป็น ETF อีกตัวในกองนี้ ผมว่าไส้ในตัวนี้ไม่เหมือนเจ้าอื่นดี เน้นลงทุนในหุ้น ชั้นนำในภาคเศรษฐกิจใหม่ราว 300 บริษัทที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่ กองทุนนี้เป็นหนึ่งในกองทุน ETF จีน (ผลตอบแทนปี 2019-2020 ปีละ 45%) พอมาดูไส้ใน ถือว่าน่าสนใจ แทบไม่ซ้ำกับกองไหนเลย ซึ่งหนักไปทาง IT Healthcare (ASP-EVOCHINA มีสัดส่วนราว 15% ณ เม.ย.64)
- ที่เหลือกองจะลงหุ้นรายตัวเป็นหลัก 53% มี Consumer Discretionary 16% IT 13%
ผมคิดว่าข้อดีของกองนี้ คือความยืดหยุ่นในการจัดการหุ้นรายตัวในพอร์ท เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดีด้วย แต่ก็ต้องแลกกับ TER กองไทยที่ 2.88% นะครับ
.
4. #BCHINEEQ ของ BBLAM ต้องบอกว่าผมเขียนกองของเจ้านี้น้อยมาก แต่ต่อไปน่าจะมีเข้ามาปรียบเทียบมากขึ้นครับ เพราะเป็นกองทุนอีกกองที่คนไทยลงทุนมากเช่นกัน ล่าสุด Market Cap 8 พันล้านบาทแล้ว (กองนี้มีจ่ายปันผลด้วยนะ กองอื่นไม่ได้จ่าย)
หลักๆกองนี้ลงใน Master Fund คือ Allianz All China Equity (31%) และ Allianz China A-Shares (44%)
- Allianz All China Equity (TER 1.34%) ลงใน A Share 48% H Share 40% ADR 4.2% ไต้หวัน 2.3% (ผลตอบแทนปี 2020 = 60.2%)
- Allianz China A-Shares (TER 1.34%) ลงใน A Share ทั้งหมด หนักในกลุ่มการเงิน 18% อุปโภคบริโภค 15.9% ต่างจากกอง UBS China A ที่เป็นกลุ่มอุปโภคบริโภค 27% Healthcare 24% การเงิน 14% >>> น้ำหนัก A Shares 2 กองนี้เลยนะ นอกจากนี้กองนี้ยังเป็น Master Fund ของ KT-Ashare และ MCHINA อีกด้วย
.
5. #อุตสาหกรรมและหุ้น ในแต่ละกองพอมาเจาะดูดีๆ จะเห็นว่าเกือบทั้งหมดนำโดย
- Consumer Discretionary หรือ สินค้าจำเป็น (อุุปโภคบริโภค) มีสัดส่วน 20-27% ซึ่งก็มาจาก Alibaba Pinduoduo Meituan
- รองลงมา คือ Communication Service สัดส่วน 13-16% ก็คือ Tencent Baidu NetEase
- และ Financial สัดส่วน 10-20% คือ Ping An Insurance และ China Merchant Bank
.
ส่งผลให้หุ้นในพอร์ตของแต่ละกองมีความคล้ายกันสูงมาก ซึ่งถ้ากองไหนมีลงในหุ้นเอง หรือมี Master Fund มากกว่าหนึ่งกอง เราจะเห็นสัดส่วนของหุ้นในตลาดที่ต่างกันมากขึ้น
.
อย่างไรก็ดี ด้วยรายชื่อหุ้นที่คล้ายกันนี้ สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนแต่ละกองโดดเด่นออกมาได้ คือ ศิลปะการทำ Position Sizing หรือการแบ่งหน้าตักนั่นเอง จากที่เล่าให้ฟังในข้อก่อนๆผมสังเกตเห็นว่า ในดัชนี MSCI China และ MSCI China 10/40 มีหุ้น Tencent และ Alibaba เป็น 2 ตัวหลัก แม้แต่ละกองก็ใช้ดัชนีที่วัดต่างกัน แต่ก็ลงทุนในหุ้น 2 ตัวนี้ลำดับต้นๆ ทำให้ผมอาจจะเดาง่ายๆว่า ถ้ากองไหนมี 2 ตัวนี้เยอะ แล้วหุ้น 2 ตัวนี้ขึ้นมาก็น่าจะได้รับประโยชน์มากนะ เช่น JPMorgan UBS Mirae เป็นต้น แต่เราคงไม่มายึดว่า 'จะเลือกกองไหน' เพราะใส่น้ำหนักหุ้น 2 ตัวนี้เยอะเนอะ อย่าเข้าใจผิดแบบนั้น แค่ไอเดียขำๆครับ
.
6. #ผลตอบแทน
-ในแง่ของผลตอบแทนเทียบ Master Fund จะพบว่า กองไทยในปี 2020 สร้างผลตอบแทนแตกต่างจาก Master Fund เนื่องจากค่าเงิน และการกระจายการลงทุนรายกอง
- ผลตอบแทนปี 2020
ASP-EVOCHINA 59.79% B-CHINE-EQ 51.31% KT-CHINA 40.72%
SCBCHEQ 21.25% TMBCOF 24.02% ONEALLCHINA 23.97%
.
7. จากการวิเคราะห์กราฟผลตอบแทนจาก Finnomena พบว่า
- ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของ ASP-EVOCHINA และ KT-CHINA ค่อนข้างโดดเด่นแต่ในช่วงที่ตลาดปรับฐานทั้ง 2 กองดังกล่าวก็ปรับตัวลงมาสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับกองอื่น
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ของ ASP-EVOCHINA KT-CHINA และ B-CHINE-EQ ค่อนข้างโดดเด่น
- ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ของ B-CHINE-EQ ค่อนข้างโดดเด่น รองลงมา คือ KT-CHINA และ TMBCOF
.
อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้ยืนยันผลตอบแทนในอนาคต แต่ถ้าวิเคราะห์ในแง่ผลตอบแทนเราจะเห็นว่า
- ช่วงที่ผ่านมา ASP-EVOCHINA สร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจจากสไตล์การบริหารที่มีการซื้อหุ้นรายตัว
- B-CHINE-EQ มีผลตอบแทนในระยะ 3 ปีที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2020 (มีจ่ายปันผลด้วยนะ)
- KT-CHINA เป็นลำดับ 3 ที่สร้างผลตอบแทนรองลงมา แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในตัว Top ของกอง All China
- ขณะที่กองที่มี Master Fund เป็น UBS ผลตอบแทนไม่ได้ 'แย่' แต่มีกองที่ดีกว่าเท่านั้นเอง
- K-CHINA-A คงต้องรอการพิสูจน์ว่าสไตล์การเลือกหุ้นของ JP Morgan จะสร้างผลตอบแทนที่ดีสู้กับกองอื่นๆได้หรือไม่
.
8. #ค่าสถิติ
- ค่าความผันผวน (SD) SCBCHEQ มีความผันผวนมากที่สุด รองลงมา คือ ASP-EVOCHINA B-CHINE-EQ ละ KT-CHINA
- ผลตอบแทนเทียบ 1 หน่วยความเสี่ยง หรือ Sharpe Ratio เราพบว่า B-CHINE-EQ (1Y และ 3Y)และ TMBCOF (5Y) มีค่าสูงที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
- ผลขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) พบว่า KT-CHINA และ SCBCHEQ มี Max DD มากที่สุด ขณะที่ ONE-ALLCHINA มี MaxDD น้อยสุด (ถ้าดูในตาราง K-CHINA มี MaxDD น้อยสุด เพราะเพิ่งเปลี่ยน Master Fund จึงไม่นำมาพิจารณา)
- สุดท้ายคือ Portfolio Turnover Ratio (PTR) พบว่า หลายๆกองมี PTR เกิน 100% สะท้อนถึงกลยุทธ์ Trading ขณะที่ TMBCOF กองเดียวที่มี PTR เพียง 31% >> Buy and Hold
.
9. #ค่าธรรมเนียม
จากที่ไล่ดูกองแม่แต่ละตัว พบว่า Total Expense Ratio (TER) ใกล้เคียงกันนะ ตั้งแต่ 0.90%-1.50% เฉลี่ยแล้ว 1.2-1.3% แหละ แต่ถ้าเป็นกองไทยเนี่ย K-CHINA-A กับ KT-CHINA ถือว่าต่ำกว่าเพื่อนๆนะ เพราะส่วนใหญ่ TER จะอยู่ที่ 1.7%
ขณะที่ ASP-EVOCHINA ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา มี TER ค่อนข้างสูงนะ 2.88%
.
10. #คำแนะนำจากผม
อ่านถึงตรงนี้ ทุกคนน่าจะมีคำถามเดิม คือ #กองทุนไหนดี ผมก็ตอบเหมือนเดิมว่า "ผมไม่เลือกให้นะครับ" แล้วแต่คุณจะเลือกว่าจะให้น้ำหนักเรื่องไหนมากกว่ากัน
- กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้น Position Sizing >>> มองอนาคต
- ผลตอบแทนย้อนหลัง SD Sharpe Ratio Max DD >>> ยึดจากอดีต
- ค่าธรรมเนียม >>> การเติบโตของผลตอบแทนในระยะยาว
ทุกคนให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน แต่ผมก็พอจะเห็นภาพว่า แต่ละกองก็จะมีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณจะชอบแบบไหนนะครับ
.
#สรุป
กอง All China ก็ดี ลงได้หลายตลาดไม่ต้องเลือก เสียดายที่ไทยไม่มี Passive Fund ขณะที่ Active Fund แต่ละกองก็สร้างผลตอบแทนได้น่าตื่นตาตื่นใจในปีที่ผ่านมา หวังว่าจะยังดีต่อไปแบบนี้ในอนาคตนะ ส่วนจะเลือกกองไหนก็แล้วแต่เราจะให้ความสำคัญ
- ผลตอบแทนในอดีต เลือก ASP-EVOCHINA B-CHINE-EQ KT-CHINA
- ค่าความเสี่ยง SD MAXDD เลือก ONE-ALLCHINA
- Sharpe Ratio เลือก B-CHINE-EQ TMBCOF
ส่วนจะมองอนาคตตัวไหน ก็แล้วแต่เพื่อนๆจะตัดสินใจเลยครับ
===========
.
จบตอน 1 ยังเหลืออีก 7-8 กอง แต่กองแม่ก็ซ้ำๆกันแล้วล่ะ
.
หากท่านชอบงานเขียนของผม ฝากกด Like กด Share และฝากกด Like/Follow Page : Fun Manager ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการทำบทความต่อไป
.
ขอให้โชคดีในการลงทุน และสนุกสนานกับการเรียนรู้ครับ
.
จิรภัทร โบสุวรรณ, CFP®
.
.
===========================
คำเตือน : บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ และไม่ได้ชี้นำการลงทุน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลจาก Fund Fact Sheet ก่อนการลงทุนนะครับ