Neuromarketing by MK Restaurant
การทำโฆษณาเกี่ยวกับการขายอาหารสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย แน่นอนว่าต้องเป็นการนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดูน่าอร่อย ยิ่ง Content สามารถดึงอารมณ์ร่วม รู้สึกถึงรสชาติได้มากเท่าไร ก็จะสามารถเรียกลูกค้าได้อย่างมหาศาล
วันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะนำเสนอ Neuromarketing ซึ่งก็คือการทำการตลาดตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ได้มาจากการสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งต่างๆ เช่น อารมณ์ หรือการแสดงออกตามธรรมชาติ นำข้อมูลเหล่านี้มาสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจ และดึงดูดผู้บริโภค รวมไปถึงการสร้างแคมเปญโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
Neuromarketing ซึ่งจะประกอบไปด้วย 6 กลยุทธ์หลักๆ ได้แก่
1. เทคนิค Eye Tracking หรือเทคนิคที่ดึงดูดลูกค้าด้วยสายตา อาจเป็นรูปภาพ หรือ Infographic
2. เทคนิค Anchoring Effect เป็นหลักจิตวิทยาที่กล่าวว่าความรู้สึกแรก (First impression) เป็นตัวกำหนดคุณค่าของสินค้าและบริการ
3. เทคนิค FOMO (Fear of missing out) เป็นเทคนิคที่สร้างแรงกระตุ้นให้ลูกค้ารีบติดสินใจซื้อ อาจกำหนดเวลาของส่วนลด
4. การใช้อารมณ์เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า
5. การใช้ Influencer เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าและบริการ
6. การใช้สีดึงดูดความสนใจ
ซึ่งจริงๆ แล้วการใช้กลยุทธ์การตลาดให้กับสินค้าหรือบริการ ไม่ได้เลือกใช้อย่างเฉพาะเจาะจงเพียงกลยุทธ์เดียว แต่มักมีการผสมผสานเพื่อให้เกิดความลงตัว และสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมาย
บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า MK Restaurant ใช้ Neuromarketing ในรูปแบบใดบ้าง
อย่างแรกที่ขาดไม่ได้เลย สำหรับธุรกิจร้านอาหาร คือการใช้เทคนิค Eye Tracking เพื่อดึงดูดความรู้สึกของลูกค้า โดยเฉพาะความแซ่บของเครื่องต้มยำ ที่เป็นรสชาติคู่คนไทย ซึ่งเมื่อผู้อ่านเห็นภาพนี้คงจินตนาการถึงรสชาติของเครื่องต้มยำได้ (รวมถึงผู้เขียนที่กลืนน้ำลายอยู่ด้วยครับ555) และยังมีส่วนลดพิเศษให้กับ #ทีมซีฟู้ดพรีเมี่ยม และ #ทีมสุดคุ้มวาไรตี้ เพื่อดึงให้ลูกค้าใช้เวลาในการพิจารณาภาพ ว่าจะเลือกแบบใดดี
เทคนิคต่อมาคือ Anchoring Effect เป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่โน้มน้าวให้ลูกค้าเชื่อในคุณภาพของสินค้าและบริการ แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของ MK Restaurant จะอยู่บนห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และพ่อครัวที่ปรุงอาหารสดใหม่ในตู้กระจก ทำให้ลูกค้า "ปักใจเชื่อ" ว่าอาหารของ MK Restaurant มีคุณภาพและสามารถตอบสนองความพึงพอใจได้ ซึ่ง MK ได้ใช้เทคนิคทางจิตวิทยานี้ มาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ากับการได้ทานอาหารที่ MK Restaurant
เทคนิคที่ 3 คือการใช้อารมณ์เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า แน่นอนว่าอารมณ์ที่สื่อออกมาจากโฆษณาจะเป็นความรู้สึกแบบ "กินอะไร กินอะไร ไปกิน MK" ผู้อ่านบางท่านเมื่ออ่านประโยคนี้อาจจะคุ้นเคย จนร้องเป็นเพลงในหัวได้ซึ่งเป็นความรู้สึก Happy หรือสื่อถึงความสุขเมื่อได้ทานอาหารอร่อย และยังมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดเทรนด์ ทวิตเตอร์ #ทีมลวก/ไม่ลวกหมี่หยก ที่เกิดเป็นกระแสในกลุ่มผู้บริโภคกันเอง ซึ่งสามารถดึงอารมณ์ของผู้บริโภคได้หลากหลายโดยที่ MK ไม่ได้ตั้งใจ และได้ตอบสนองต่อกระแสโซเชียลมีเดียโดยการแจกหมี่หยกฟรีแบบจำกัดจำนวน
MK X MUSIC พรีเซนต์ ‘กินอะไร ไปกิน MK’ ปี 2562
ผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ใน 1 โฆษณาไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคเดียวเสมอ ซึ่ง MK Restaurant เป็นร้านอาหารที่ Content จะประกอบไปด้วย Eye Tracking ที่เป็นภาพดึงอารมณ์ร่วมจากลูกค้า และวัตถุดิบที่สดใหม่สื่อถึงคุณภาพอย่าง Anchoring Effect เป็นความรู้สึกคุ้มค่าถึงแม้ว่าจะราคาสูงกว่าร้านสุกี้อื่นๆ
สุดท้าย MK Restaurant อาจจะไม่ได้ใช้กลยุทธ์นี้ทำการตลาดแบบจริงจัง จากเทคนิคการใช้สีดึงดูดความสนใจ แต่ตามหลักจิตวิทยาแล้ว สีแดงจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร และสีเขียว เป็นสีที่สื่อถึงคุณประโยชน์จากธรรมชาติช่วยให้อาหารดูน่ากินมากยิ่งขึ้น ซึ่งโลโก้ของแบรนด์ MK Restaurant จะประกอบไปด้วยสีเขียวและสีแดง อีกทั้งถาดรองอาหารของ MK และพื้นหลังโฆษณาโดยส่วนมากจะประกอบไปด้วยสีแดงหรือสีเขียวเป็นส่วนใหญ่
แต่โดยรวมแล้ว กลยุทธ์หลักๆ ของ Neuromarketing ที่ MK Restaurant คือ
1. เทคนิค Eye Tracking
2. เทคนิค Anchoring Effect
4. การใช้อารมณ์เพื่อกระตุ้นความรู้สึกของลูกค้า
6. การใช้สีดึงดูดความสนใจ
ท้ายที่สุดนี้ อยากให้ผู้อ่านลองสังเกตว่าเราได้ตอบสนองต่อ Neuromarketing แตกต่างจากการตลาดแบบอื่นหรือไม่ แล้วมาแชร์กันได้นะครับ
อ้างอิง
1. Neuromarketing คืออะไร ? ทำไมนักการตลาดออนไลน์ควรใช้ เพื่อเข้าใจ “ความคิด” ของลูกค้า: https://stepstraining.co/strategy/benefits-of-neuromarketing-for-business
2. รูปภาพ MK Restaurant: https://www.facebook.com/mkrestaurants
- 8
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
