ผมเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าสตางค์ทรงยาว โละเศษเหรียญ นามบัตรที่ไม่จำเป็นออกไป จนกระเป๋าดูสะอาดสะอ้าน และเรียงธนบัตรให้ดูสวยงาม
.
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมทุกข์มากคือ
ผมหมกมุ่นกับกฎ 200 เท่า
(กฎที่บอกว่ารายได้ต่อปีของคนเรา
คือ 200 เท่าของราคากระเป๋าสตางค์)
.
ผมคอยภาวนาว่าอีกไม่นาน
ผมจะมีเงินต่อปีหลายแสนบาท
จนพอเวลาผ่านไปผมรู้สึกเครียดและกังวล
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะมีเงินก้อนใหญ่ตามที่หนังสือว่าไว้สักที
.
จนพอได้อ่านทบทวนอีกครั้ง
ก็พบบทหนึ่งที่พูดถึงว่า "เราเก็บเงินไปเพื่ออะไร"
.
มีคนมากมายที่ตั้งเป้าหมายทางการเงิน เช่น ฉันจะมีเงินล้านภายใน 10 ปี หรือฉันจะมีเงิน 10 ล้าน ก่อนอายุ 30
.
มีคนมากมายที่เก็บเงินอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่มีเป้าหมายจนสุดท้ายก็กลายเป็นคนหลงเงิน
.
เศรษฐีที่มีความสุข พวกเขาไม่ใช่คนที่หลงเงิน แต่จะตั้งคำถามอยู่ตลอดว่าเขาต้องการเก็บเงินไว้เพื่ออะไร และรู้ดีว่าจะต้องใช้เงินเพื่อให้เกิดคุณค่า
.
สำหรับจุนอิชิโร เขามองว่าการเก็บเงินเยอะๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกและให้อิสระในการใช้ชีวิต เช่น เมื่อมีเงินคุณจะเลือกอาหารที่อยากกิน หรือเลือกเรียนวิชาที่คุณอยากพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น
.
.
จุนอิชิโรแนะนำสิ่งหนึ่งที่คนเราจะต้อง ไตร่ตรองและระวังให้มากคือ "ทางออกของเงิน" เพราะถ้าเป็นคนที่ทำงานประจำมักจะมีรายได้หรือทางเข้าของเงินเพียงช่องทางเดียว
.
แต่ทางออกของเงินนั้นมีมากมาย เขาแนะนำวิธีการเฝ้าระวังทางออกการเงินโดยให้แบ่งการใช้จ่ายเป็น 3 กอง คือ
.
1. การบริโภค คือการใช้เงินซื้อของที่มีมูลค่าเท่ากัน เช่น การซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันหรือการซื้ออาหาร
.
2. การลงทุน การใช้เงินซื้อของที่เพิ่มคุณค่า เช่นการซื้อหนังสือเพื่อพัฒนาตนเอง ซื้อทรัพย์สินที่มีมูลค่า เช่น ทองคำ รวมถึงสินทรัพย์ ที่คุณสามารถนำมาขายมือสองแล้วยังได้เงินอยู่ 70% ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ของสะสม หนังสือหายาก.