จนแม่ต้องบ่นและคอยสอนวิธีพับผ้าอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยคิดว่าการคุ้ยหาเสื้อผ้าจะเป็นปัญหา
กลับกันผมมองว่าแม่เป็นคนที่จุกจิก
น่ารำคาญมาก
.
ผมเถียงกลับด้วยซ้ำว่า
คนทำบ้านรกไม่ใช่ผมแต่คือ...แม่
เพราะแม่เก็บของแล้วไม่ยอมทิ้งอะไรเลย
.
.
วงจรบ้านรกอยู่ในรูปแบบ
ผมหาของไม่เจอก็จะร้องให้แม่ช่วยหา
ชอบคุ้ยเสื้อผ้ามาแล้วก็ยัดกลับเข้าไป
.
ในสายตาของผมมองว่าแม่เป็นคนที่เชี่ยวชาญในการหาสิ่งของและแม่เป็นคนที่รู้ว่าของทุกอย่างในบ้านนั้นอยู่ไหน
.
ตอนนั้น ผมไม่รู้หรอกครับว่า
ตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้
แม่ต้องจมอยู่กับของรกๆ ตามลำพัง
.
========
ในสารคดี Tidying up with Marie Kondo
ตอน the downsizer
.
คนโด มาริเอะ พาเราไปพบกับครอบครัวของแคทรีน่า และดั๊กลัส ช่างทำผมและนักดนตรี พร้อมกับลูกชายลูกสาวรวมกันทั้งหมด 4 คน
.
ครอบครัวเพิ่งย้ายบ้านจากเดิมที่มี 4 ชั้น 4 ห้องนอนมาอยู่ในอพาร์ทเม้นท์เพียงแค่ 2 ห้องเท่านั้น
.
แคทริน่าเป็นเหมือนศูนย์กลางของครอบครัว เธอเล่าปัญหาให้ฟังว่า ที่บ้านมีข้าวของรกมาก เช่น แผ่น DVD เครื่องครัว เครื่องปรุงต่างๆ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้
.
เธออยากเห็นบ้านสวยเป็นระเบียบ
เพราะเธออยากทำบ้านให้เป็นบ้าน
มากกว่าเป็นแค่สถานที่เอาไว้เก็บของเท่านั้น
เธอตระหนักดีว่า
แม่มีหน้าที่สร้างความทรงจำที่ดีให้กับลูก
เธอจึงพยายามดูแลงานบ้าน และดูแลข้าวของเครื่องใช้ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
.
ขณะเดียวกันสามีและลูกๆเอง
พวกเขามักจะหาเสื้อผ้าไม่เจอเป็นประจำ
ใช้คุ้ยหาแล้วยัดกลับเข้าไป
เวลาหาเสื้อผ้าไม่เจอ
ทั้งลูกและสามีจะตะโกนเรียกหาให้แคทริน่าช่วยหาให้
.
เวลาที่ลูกทำรกแม่จะต้องพยายามจัดให้กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยมากที่สุด
แต่ลูกก็ทำรกอีก
.
แคทริน่า เห็นภาพนี้อยู่บ่อยๆ
ก็ทำให้รู้สึกอดห่วงไม่ได้ว่า
ลูกๆโตไปจะเป็นเช่นไร
เธอเชื่อว่าบ้านที่สะอาด
จะช่วยเพิ่มความสงบทางใจให้กับลูกๆด้วยเช่นกันดังนั้น บ้านรกจึงสะท้อนถึงความบกพร่องของแม่อย่างเธอ
.
เมื่อเด็กๆได้ลองจัดบ้านให้ตัวเอง
พวกเขาได้เรียนรู้การพับผ้า
ฝึกให้เด็กรับผิดชอบ
สิ่งของที่ต้องดูแล
.
พวกเขาเรียนรู้ว่าการทำงานบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย
และพยายาม ไม่ทำบ้านให้รกเพื่อไม่ให้แม่ต้องเหนื่อยเกินไป
.
ฝ่ายสามี พบว่าเขาได้มุมมองและทัศนคติใหม่
ก่อนหน้านี้เขามองว่างานบ้านเป็นหน้าที่ของแม่หรือภรรยาที่ต้องดูแล
.
เมื่อจัดบ้านร่วมกันได้พูดคุยและสื่อสารกัน สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเครียดและกังวลของภรรยา
.
จากการร่วมกันจัดบ้านทั้งพ่อแม่และลูกพวกเขาได้มองเห็นถึง ภาระอันยิ่งใหญ่และความกดดันของแม่ที่ต้องดูแลข้าวของทุกอย่างภายในบ้าน
เขาบอกว่าการดูแลบ้านเป็นหน้าที่ของทุกคนในครอบครัวที่ควรจะต้องช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน
.
การจัดบ้านร่วมกันในครั้งนี้
จึงทำให้ทุกคน ได้สื่อสารและพูดความในใจ
โดยไม่ต้องมานั่งพูดคุยกัน
.
แต่เป็นการสื่อสารผ่านการลงมือทำ
เพื่อสร้างพื้นที่ในบ้านให้น่าอยู่
และสร้างพื้นที่เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น
========
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ
.
1.การเข้าใจผู้อื่น...เราต้องยืนอยู่ในมุมมองเดียวกันก่อน
.
เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ชอบบ่นเมื่อเห็นผมยัดผ้าจนยับ เมื่อผมลองมองในมุมเดียวกัน
ก็เห็นว่าแม่คอยทำหน้าที่ของภรรยาและแม่อย่างดีที่สุด
.
เธอพยายามดูแลข้าวของของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ให้ทุกคนมีข้าวของใช้ได้ตลอดเวลา
การที่ผมทำบ้านรกจึงเป็นการสร้างภาระให้กับแม่มากๆ ด้วย
.
2. การนั่งพูดคุยปัญหาตรงๆ อาจเป็นเรื่องยาก
ให้ลองใช้การลงมือทำ สื่อสารกัน
เช่น การจัดบ้าน ถือเป็นเครื่องมือ
ที่ทำให้คนในบ้านไเปิดโอกาสพูดคุยกัน
และสื่อสารเพื่อจะเข้าใจกันมากขึ้น
...