4 มิ.ย. 2021 เวลา 07:26 • สุขภาพ
"เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้"
“ทำไมชอบทำตัวงี่เง่าแบบนี้อ่ะ น่ารำคาญ”
“เลิกบ่นซะทีได้มั้ย เบื่อว่ะ”
“ก็แกทำตัวแบบนี้ไง ถึงไม่มีใครอยากคบ”
“ดูลูกข้างบ้านนี่สิ เขาขยันเรียนกันทั้งนั้น แถมยังเป็นเด็กดีเอาอกเอาใจพ่อแม่”
หลายคนอ่านแล้วคงเผลอตกใจ ครูอู๋แอบอยู่ใต้เตียงรึเปล่า? เหมือนประโยคที่ฉันเผลอพูดบ่อยๆเลยอ่ะ
แต่สิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริงทั้งนั้นหนิ
พูดความจริงไม่ผิดหรอกค่ะ แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าพูดแล้ว คนฟังเข้าใจตรงกันกับสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ จะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกัน มามีปัญหากันไงคะ?
จากบทความที่แล้ว อู๋ได้พูดถึง
“ครอบครัวไม่ใช่ safe zone สำหรับทุกคน” ไปแล้ว
วันนี้จะมาพูดถึงอีกหนึ่งปัญหาที่พบเจอได้บ่อยครั้งที่กระทบความสัมพันธ์ของคนในบ้าน หรือแม้กระทั่งกระทบกับความสัมพันธ์ของคนใกล้ตัว นั่นก็คือ “ปัญหาในการสื่อสาร”
ทุกคนคิดว่าปัญหาในการสื่อสารมันคืออะไร?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการสื่อสารคืออะไร.. .
การสื่อสาร ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Communication หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสาร ไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
จากข้อความด้านบน สิ่งจำเป็นในการสื่อสารมี 3 สิ่งค่ะ
คือ
1.ผู้ส่งสาร (ผู้พูด)
2.สาร (ความต้องการ อารมณ์ คำพูด ความรู้ ความคิด)
3.ผู้รับสาร (ผู้ฟัง)
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารที่ดีต้องมีทั้ง 3 สิ่งประกอบกันจึงจะเกิดเป็นการสื่อสารได้ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป การสื่อสารนั้นจะเป็นการสื่อสารที่สมบูรณ์ได้ยากและขาดประสิทธิภาพ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสารคืออะไรรู้มั้ยคะ?
แท่นแท๊น นั่นก็คือ “สาร” นั่นเองค่ะ
เพราะ “สาร หรือ message” คือ ถ้อยคำที่เราใช้ในการสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน และใช้กันอยู่ทุกวันนั่นเอง
ลองสังเกตตัวเองกันบ้างมั้ยคะว่าในแต่ละวันเราสื่อสารด้วย “สาร” ลักษณะไหนบ้าง มาทำความรู้จัก "สาร" กันเลย
สารแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. I-message
เป็นการสื่อสารที่ผู้พูดขึ้นต้นประโยค โดยการใช้สรรพนามแทนตัวเอง สื่อความรู้สึกและความต้องการของตนเองให้ผู้ฟังรับทราบได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถเลือกใช้คำที่เหมาะสมและให้ความหมายด้านบวก
เช่น “แม่รู้สึกเสียใจที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ลองเล่าให้แม่ฟังซิว่า เรื่องเป็นยังไง ”
“ฉันเป็นห่วงที่เธอกลับบ้านช้า ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผมอยากให้คุณพยายามทำงานกันอย่างเต็มที่อีกครั้ง”
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ทำให้ ผู้พูดใจ สามารถแยกแยะความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจน ผู้ฟังเข้าใจอารมณ์และความต้องการของผู้พูด และหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบได้
2. You-message
เป็นการสื่อสารที่มักจะใช้สรรพนามขึ้นต้นประโยคเจาะจงไปยังผู้ฟัง เช่น แก เธอ คุณ โดยผู้พูดไม่สามารถสื่อความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของตนเองกับผู้ฟังได้อย่างชัดเจน
เช่น “ทำไมชอบมาทำเสียงแบบนี้ พูดดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”
“เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมทำไม่ได้”
“แกนี่เถลไถลไปที่ไหนมาถึงได้กลับบ้านช้าขนาดนี้”
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ทำให้ ผู้ฟังมีความลำบากใจที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของผู้พูด ผู้ฟังรู้สึกว่าตนเอง “ถูกตำหนิ ถูกดูถูก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกบังคับ” รู้สึกถูกตอกย้ำถึงความไม่ดี และเสียคุณค่าในตนเอง (Low self-esteem)
3. He or they message
เป็นการสื่อสารที่ผู้พูดอ้างถึงบุคคลอื่น ทำให้ไม่สามารถสื่อถึงความรู้สึกนึกคิด และความต้องการของตนเองได้อย่างชัดเจน
เช่น “ใครๆเขาก็บอกพ่อแม่กันทั้งนั้น ”
“คนอื่นยังบ่นเลยว่าแกมันทำงานช้า ไม่ทันใจ”
“น้องข้างบ้านยังทำแบบนี้ได้เลย”
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ทำให้ ผู้ฟังเกิดความรู้สึกถูกเปรียบเทียบ ไม่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้พูด และทำให้ตีความหมายผิดได้ง่าย
ลักษณะสารที่เหมาะสมและสร้างสรรค์จะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากที่สุด ลดความขัดแย้งในการสื่อสารได้ดีที่สุด ถ้าปกติแล้วคุณเป็นคนที่ใช้ You-message หรือ He or they message จนเคยชิน การปรับให้กลายเป็น I-message เพื่อที่จะสื่อสารกับคนอื่น ให้ได้ตรงกับความต้องการในการสื่อสารมากที่สุด คงจะดีไม่น้อยเลยแหละค่ะ ลองฝึกฝนกันดูนะคะ
#นักจิตอูยอน
เรียบเรียงข้อมูลจาก
-คู่มือวิทยากร การฝึกอบรมผู้ปกครองเรื่องวิธีการปรับพฤติกรรม
ผู้เขียน รศ.นพ. ชาญวิทย์ พรนภดล
ดร. วัจนินทร์ โรหิตสุข
มะลิรมย์ หัสดินรัตน์
นิรมล ยสินทร
เอษรา วสุพันธ์รจิต
โฆษณา