Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Why Are You Reading - อ่านไปทำไม - لماذا تقرأ
•
ติดตาม
5 มิ.ย. 2021 เวลา 08:59 • ปรัชญา
ขอโทษก่อน ไม่ได้แปลว่าแพ้
ภาพโดย Hier und jetzt endet leider meine Reise auf Pixabay aber จาก Pixabay
ใครเคยเจอคนประเภทนี้บ้าง ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ไม่ก็หาข้ออ้างนู่นนี่นั่น หนักสุดก็หาแพะรับบาป เจอคนประเภทนี้ทีไรแล้วรู้สึกหัวเสียทุกที จะระบายออกไปก็ไม่ได้ ว่าแต่ว่าสาเหตุอะไรกันแน่ที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่ค่อยเอ่ยหรือกล่าวคำขอโทษกัน หรือพวกเขาเหล่านี้จะคิดว่าการขอโทษคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียเกียรติ
ด้วยค่านิยมต่างๆที่มีในสังคมบ้านเรา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่กล้าที่จะขอโทษใครก่อน แต่ไม่ว่าด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม สิ่งที่เราพบเจอกันก็คือ คนประเภทที่ไม่ค่อยจะยอมรับผิด ทั้งๆที่ตัวเองผิดเองแท้ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมขอโทษ หาแพะรับบาปตลอด ซึ่งเมื่อเราเจอแบบนี้เข้า บางครั้งเราก็พูดอะไรไม่ออกกันเลยทีเดียว แล้วคำขอโทษนี้มันสำคัญอย่างไร ทำไมมนุษย์เราจึงรู้จักการใช้คำขอโทษ ในขณะที่ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง เรียนรู้ที่จะขอโทษไม่เป็น
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นสังคม ฉะนั้นก็จะมีสิ่งต่างๆหลอมรวมกันเพื่อสังคมมนุษย์เคลื่อนต่อไปได้ พื้นฐานของการอยู่ร่วมกันคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อว่า ชอบทำผิดพลาดอยู่เรื่อยๆเช่นกัน ดังนั้นเวลาที่เกิดความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็จะต้องมีคำขอโทษเกิดขึ้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ เพื่อให้มนุษย์สามารถเดินหน้าต่อไปได้ พูดให้เข้าใจง่ายอีกแบบก็คือ คำขอโทษ มีไว้เพื่อให้มนุษย์รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้อยู่ในระดับที่ยังสามารถอยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้ เมื่อเราเข้าใจได้ตามนี้ เราจึงอาจอยากขอโทษเพื่อนเรากันแล้ว แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังรู้สึกว่าไม่อยากขอโทษ การไม่อยากขอโทษผู้อื่นมันเกิดจากอะไรกันล่ะ
มนุษย์จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกกันว่า อัตตา การยึดตัวถือตนนั่นเอง เหตุนี้ที่ทำให้หลายๆคนไม่อยากขอโทษ เพราะมันเป็นการลด อัตตา ของตัวเองลง ทำให้รู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองนั้นลดลง การโทษคนอื่นมักรู้สึกดีกว่าโทษตัวเองก่อนเสมอ ทั้งในความเป็นจริง การขอโทษ เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ รักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ต่อไป ไม่ได้มีฝ่ายไหนเสียเปรียบเลย และการขอโทษที่แท้จริง คือการยอมรับความผิดของผู้ขอโทษ ที่ได้ล่วงเกินไป อีกทั้งตัวผู้ถูกขอโทษเองก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจริงใจที่จะยอมรับผิดนั้นด้วย ถ้ามองในมุมนี้ การขอโทษไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นสิ่งที่น่ายกย่องเสียอีก ที่คนๆหนึ่ง ยอมรับ กล้าที่จะยอมรับความผิดของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เราก็มักจะมีประสบการณ์เลวร้ายจากคำขอโทษอยู่เช่นเดียวกัน เท่าที่นึกออกตอนนี้ มีอยู่ 2 กรณี คือ
ถูกบังคับให้ขอโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด หรือเป็นแพะรับบาปนั้นเอง ทำให้คิดไปเองว่า คนถูกขอโทษ เป็นฝ่ายได้เปรียบ
ข้อ 1. สามารถแบ่งออกมาเป็นข้อย่อยได้อีก คือ เราต้องขอโทษในสิ่งที่คนอื่นเห็นว่ามันผิด แต่ในมุมของเรา มันคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่เราก็ต้องขอโทษเพราะคนอื่นไม่เห็นด้วยกับความคิด การกระทำของเรา ถ้าเราไม่ขอโทษหรือแก้ไข เราอาจไม่ได้ไปต่อ
เอาแต่ขอโทษโดยใช้ปากอย่างเดียวเลยว่า ขอโทษๆ แต่การกระทำ มันบ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่า ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ เมื่อเจอคนประเภทนี้แล้ว ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า ไม่อยากให้อภัยใครอีก เมื่อไม่มีใครให้อภัย ก็ไม่รู้ว่าจะขอโทษไปทำไมกัน
เพื่อให้เห็นว่า การขอโทษมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น จึงอยากให้รู้ไว้ว่า จริงๆแล้ว ความรู้สึกผิด ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่เสมอไป ลองคิดตามเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เพื่อให้เข้าใจถึงพลังของความรู้สึกผิด
มีชายคนหนึ่ง เป็นนักค้าอาวุธ อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้คนเข้าใจผิดว่า เขาตาย แล้วเขียนพาดหัวข่าวว่า พ่อค้าความตาย ได้ตายไปแล้ว พอเขาเห็นพาดหัวข่าวดังกล่าว เขาจึงรู้สึกผิดมาก กลับไปนั่งคิดว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้ผู้คนเรียกเขาแบบนั้นอีก จึงเอาเงินจำนวนมหาศาลที่เขามี เอาไปก่อตั้งรางวัลสำหรับมอบให้บุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลก รางวัลนั้นก็คือ รางวัลโนเบล ชายคนนี้คือ อัลเฟรด โนเบล นั่นเอง
ภาพโดย OpenClipart-Vectors จาก Pixabay
ใครจะไปคิดว่า คนๆหนึ่งที่รู้สึกผิดเอามากๆ จะสามารถทำสิ่งที่ทรงคุณค่าได้ถึงขนาดนี้ รางวัลโนเบล เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในโลกนี้ ใครได้ไปนี่ถือว่าสุดยอดมาก แต่ถึงกระนั้น จุดเริ่มต้นของมันก็มาจาก ความรู้สึกผิดของคนๆหนึ่ง
เวลาที่ได้ทำอะไรที่มันผิด คิดเลยว่า มนุษย์ทุกคนมันผิดพลาดกันได้ การรู้สึกผิดจะทำให้เราเติบโตมากกว่า ดังนั้น เราจะรู้สึกผิดก็ไม่แปลก แต่อย่าลืมถอดบทเรียนจากความผิดนั้นด้วย และเมื่อมันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์แล้วละก็ สิ่งที่เราต้องทำเป็นอันดับแรกคือ สำนึกผิด แล้วกล่าวคำขอโทษกับคนที่เราทำผิดนั้น
การขอโทษทำให้ได้รับการประเมินจากที่ทำงานสูงขึ้น กล่าวคือ ลูกน้องทำงานผิดพลาด หัวหน้าจึงออกมาบอกจุดที่ลูกน้องทำผิด จากนั้นลูกน้องจึงกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ แล้วนำข้อผิดพลาดของตัวเองไปแก้ไข ตามคำแนะนำของหัวหน้า จากเหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อได้เลยว่า ความรู้สึกของหัวหน้าที่มีต่อลูกน้องคนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว การประเมินในที่ทำงานก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
การขอโทษเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของเราอย่างหนึ่ง ก็ในเมื่อเราได้ทำผิดไป เราก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ จากนั้นจึงแก้ไขความผิดนั้นด้วยการแก้ไขปรับปรุงต่อไป
ต่อไปนี้คือ วิธีการกล่าวขอโทษที่ได้ผล
อย่าปล่อยให้เวลาในผ่านไปนานจนแผลไม่ได้รับการเยียวยา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ เราต้องขอโทษทันที ตั้งแต่ตอนที่เรารู้ตัวว่าเราทำผิดไปแล้ว
อย่าขอโทษเรื่องเดิมซ้ำๆ เพราะมันเป็นการแสดงออกว่าคุณไม่ได้ขอโทษเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถ้าคุณขอโทษจริงๆ คุณจะไม่ทำความผิดนั้นอีก
หนักแน่นในคำขอโทษ ผู้ฟังจะรับรู้ความรู้สึกของเราได้ เมื่อเราหนักแน่นมากพอ
คิดว่า ที่เราขอโทษ เราทำเพื่อทั้งตัวเราเอง และเพื่อผู้อื่น มนุษย์จะคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ แต่ยังไงก็ไม่ควรมองข้ามผู้อื่น การขอโทษเพื่อให้จิตใจเราสงบสุข และการขอโทษอีกเช่นกันทำให้ใครคนหนึ่งรู้สึกสบายใจขึ้น มีพลังลุยต่อได้ เรามีความสุข เขามีความสุข ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แล้วถ้าหากเราอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นละก็ เราจะไม่ขอโทษได้อย่างไรกัน
อย่าสักแต่ว่าขอโทษ พร้อมกันนั้น ในขณะที่เราขอโทษ ให้เรารู้สึกผิดจริงๆ ยอมรับ เพื่อนำไปพัฒนาแก้ไขต่อไป แล้วไม่กลับไปทำความผิดนั้นซ้ำอีก แบบนี้คนรับคำขอโทษจะรู้สึกเชื่อใจเราได้มากกว่าเดิม
หนึ่งในวิธีพิสูจน์ว่าเราได้รู้สึกผิดจริงๆแล้วหรือยัง ลองคิดดูว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราอยากทำแบบนั้นอีกไหม ถ้า ใช่ แสดงว่าเรายังไม่เปลี่ยนแปลง ยังไม่ฉลาด ยังไม่พัฒนา แต่ถ้าเราตอบว่า ไม่ทำแล้ว ก็แสดงว่าเราได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคนแล้ว เราฉลาดขึ้น เราพัฒนาแล้ว
คนที่รักเรา อยากเห็นเราพัฒนากันทั้งนั้น ไม่ได้อยากเห็นเราจมอยู่กับความผิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน พ่อแม่ คนรัก หรือแม้กระทั่งลูกของเรา เมื่อเราทำผิดแล้วรู้จักขอโทษ แก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ผู้คนรอบตัวเราจะยิ่งชื่นชมในตัวเรามากยิ่งขึ้นไป
อีก
จริงๆแล้ว การทำผิด มีอยู่ 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง คือ เราทำผิดพลาดไปจริงๆ ซึ่งอันนี้ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ แต่ความผิดที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้คือความผิดครั้งที่สอง นั่นก็คือ การเอาแต่จมอยู่กับความผิดนั้น ไม่ยอมลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ไม่แก้ไขความผิดนั้น แบบนี้เรียกว่าเราทำผิดซ้ำซ้อน อันนี้ต่างหากที่ไม่น่าให้อภัย
สุดท้ายแล้ว ความจริงที่เราต้องยอมรับให้ได้ก็คือ การขอโทษ ไม่ได้มีไว้เพื่อให้แก้ไขความผิด เพราะเราไม่สามารถย้อนอดีตได้เลย แต่มีไว้เพื่อให้คนเราสามารถรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ต่อไปได้ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอนาคตจะเป็นยังไงนั้นก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในวันนี้ อย่าพึ่งไปรีบกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ทำชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น ออกไปช่วยเหลือผู้อื่น ทำสิ่งที่เรามีความสุข สร้างสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง สังคม คนรอบตัว ชีวิตของเรา จงออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่
ขอขอบคุณ
1. ที่มา
https://youtu.be/qQNiZvXquqI
2. คาบาซาวะ ชิออน./(2563)./การดุ,สุภลักษณ์ อันตนนา(บรรณาธิการ)./ศิลปะของการปล่อยของ(พิมพ์ครั้งที่ 2).(หน้า 107-109) พิมพ์โดย สำนักพิมพ์แซนด์คล็อคบุคส์
ชอบบทความแนวปรัชญา หนังสือ การศึกษา ไลฟ์สไตล์ อย่าลืม "กดถูกใจ" "กดแชร์" และ "กดติดตาม" ท่านจะไม่พลาดบทความดีๆ จากเพจ "Why Are You Reading อ่านไปทำไม"
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย