5 มิ.ย. 2021 เวลา 16:27 • หนังสือ
กฤษณา อโศกสินเป็นนักเขียนในดวงใจของผมครับ…
ผมจำได้ว่าช่วงที่เรียนมัธยมปลาย สัก ม.4 ได้มั้งครับ เป็นช่วงที่ผมปวารณาตัวเองเป็น “หนอนหนังสือ” แบบเต็มตัว เริ่มจากการอ่านนิยายในห้องสมุด “น้ำเซาะทราย” ของกฤษณา อโศกสินเป็นหนึ่งในนิยายที่ผมเลือกยืมมาอ่าน และด้วยวัยของผมในขณะนั้น ยอมรับครับว่าอ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง บางครั้งก็อดงุนงงสงสัยว่าเพราะเหตุใดผู้หญิงสองคนถึงต้องมาทะเลาะกันรุนแรงแค่เพียงต้องการแย่งผู้ชายคนเดียว กระทั่ง ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในวันที่สอบข้อเขียน ผมเลือก “น้ำเซาะทราย” ติดมือไปด้วย (หลังจากยืมมาอ่านแล้ว ถ้ารู้สึกว่าใช้ได้ ผมก็มักจะขอเงินแม่ไปซื้อมาเก็บสะสมไว้) ก่อนเข้าห้องสอบ ในขณะที่คนอื่นขมักเขม้นเตรียมสอบ ผมกลับอ่าน “น้ำเซาะทราย” เพลินไปเลย ในการอ่านครั้งที่ 2 ผมเข้าใจสิ่งที่ตัวละครหญิงทั้งสองตัวต้องการมากขึ้น คงเป็นด้วยวัยวุฒิที่มากขึ้นด้วยแหละ จะว่าไป มีนักเขียนไม่กี่คนหรอกครับที่ไม่ว่าจะหยิบนิยายซึ่งเคยอ่านไปแล้วกลับมาอ่านซ้ำ รสชาติความสนุกนั้นก็ยังคงอยู่ เผลอๆ อาจจะมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก และกฤษณา อโศกสินเป็นนักเขียนหนึ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้เสมอ หลายครั้งที่นึกเบื่อการอ่านหนังสือ (แน่ล่ะครับ ผมเชื่อว่านักอ่านหลายคนมักมีอาการแบบนี้) นิยายของกฤษณา อโศกสินเรื่องที่เคยอ่านไปแล้วหลายเรื่องก็ช่วย “เติมไฟ” ในการอ่านให้กับผมอีกครั้ง
ช่วงหลังๆ มานี้ ผมเห็นนิยายของกฤษณา อโศกสินหลายเรื่องถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์ แต่ด้วยความนกรู้ของผมที่ตระหนักเสมอว่าเมื่อถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์แล้ว รายละเอียดที่คมคายลึกซึ้ง หรือมุมมองที่กฤษณา อโศกสินถ่ายทอดไว้ในหนังสือหลายๆ เรื่องอาจถูกละเลย เพื่อชี้ชู “สิ่งที่ขายได้” ให้โดดเด่นขึ้นมามากกว่า ยกตัวอย่างจาก “เนื้อใน” ที่สำหรับผม เป็นหนึ่งในนิยายที่หมดจด และสะท้อนให้เห็นถึงการถูกกดขี่และการลุกขึ้นมาสู้ของผู้หญิงได้อย่างแยบยล เมื่อถูกนำมาทำละครกลับกลายเป็นละครที่หนักไปทางผู้หญิงจิกด่าและเอาคืนกันซะงั้น แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังคงติดตามอยู่เสมอว่าจะมีนิยายเรื่องไหนของกฤษณา อโศกสินถูกนำมาทำเป็นละครอีก
“กระเช้าสีดา” นิยายของกฤษณา อโศกสินที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารลลนา ระหว่างปี 2515 ถูกเลือกมาทำเป็นละครโทรทัศน์ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ แน่นอน ในฐานะแฟนคลับของกฤษณา อโศกสินที่อ่านนิยายของท่านมาแทบจะทุกเรื่อง ผมย่อมเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาแล้ว แต่อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมมักแพ้ทางนิยายที่ถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์ ยิ่งละครดัง หรือมีความน่าสนใจ ผมยิ่งอยากอ่านนิยาย เพื่อที่จะได้เห็นร่องรอยของความต่างอันเกิดมาจากการดัดแปลงข้ามสื่อ แถมละครเรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายของนักเขียนคนโปรดของผมด้วย ผมจะพลาดได้อย่างไร
“กระเช้าสีดา” เล่าเรื่องของลือ และน้ำพิงค์ คู่สามีภรรยาที่มีชีวิตครอบครัวเรียบง่าย ลือเป็นนักธุรกิจ ส่วนน้ำพิงค์ก็เลี้ยงลูกสาวหนึ่งคนอยู่กับบ้าน โดยมีรำนำ ลูกสาวของแม่บ้านที่ลือเลี้ยงดูส่งเสียมาตั้งแต่เด็กคอยเป็นหูเป็นตา และเป็นกระบอกเสียงให้แทน เนื่องจากลือเป็นคนที่เจ้าชู้และมักหว่านเสน่ห์ไปทั่ว กระทั่งวันหนึ่ง น้ำพิงค์ รู้สึกทนไม่ไหว หล่อนจึงตัดสินใจหย่าขาดจากลือ และในตอนนั้นเอง ที่น้ำพิงค์สังเกตเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา รำนำซึ่งเหมือนจะเข้าข้างและช่วยเหลือหล่อนนั้น ไม่ใช่เพราะอยากช่วยหรือเห็นใจหล่อน แต่รำนำแอบหลงรักลือมานานแล้วต่างหาก ส่วนรำนำนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา หล่อนปรารถนาให้ตัวเองขึ้นไปยืนเด่นอยู่เหนือคนอื่น เพราะชีวิตทั้งชีวิตถูกกัก และกดไว้ให้อยู่ในสถานะ “เด็กในบ้าน” ที่ไม่ต่างไปจากกาฝาก หล่อนอยากได้รับการยอมรับว่าเป็นหงส์ที่สวยสง่าและมีค่าคู่ควร จนลืมตัวไปว่าแท้ที่จริงแล้วตนก็แค่อีกา ไม่ใช่หงส์ และไม่ว่าจะขวนขวายอย่างไร หล่อนก็เป็นได้แค่นั้น รำนำเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับลือจนได้เสียกับเขาสมใจ หากแต่หล่อนก็ยังไม่พอใจ หล่อนอยากมีเงินมากๆ หล่อนอยากได้รับการนับหน้าถือตา เพราะลือไม่กล้าและไม่ยอมแต่งงานกับหล่อน เนื่องจากกลัวว่าใครจะหาว่าตัวเองเป็นสมภารกินไก่วัด รำนำจึงออกไปทำงานเป็นสาวเชียร์เบียร์ (อารมณ์แบบนั้นแหละ แม้เจ้าตัวจะเรียกตัวเองว่าทำงานด้านประชาสัมพันธ์) และได้พบกับจรินทร์ ยอมตกร่องปล่องชิ้นให้เขาส่งเสียเลี้ยงดูเป็นเมียน้อยแบบหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งต้องหลบซ่อนจากสังคม และหลบซ่อนไม่ให้ลือรู้ว่าตัวเองกำลังสร้างโลกสองใบ สุดท้ายไม่มีใครหนีความจริงพ้น รำนำจึงพบกับจุดจบที่เกือบจะเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่หล่อนพยายามตะเกียกตะกายหามาเพื่อสนองความปรารถนาที่จะเป็นหงส์ของตัวเอง ดีที่ลือช่วยเตือนสติและทำให้หล่อนได้คิด อันนำไปสู่ฉากจบของเรื่องที่รำนำเลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตของลือเพื่อไปตามหนทางของตัวเอง ที่แม้กระทั่งคนอ่านก็เดาได้ว่ามันคือทางเดินไปสู่หายนะ
ความโดดเด่นอย่างหนึ่งที่พบได้เสมอในงานเขียนของกฤษณา อโศกสิน คือความ “ทันสมัย” ที่ฉาบทับไว้ด้วยเรื่องเล่าแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยอย่างเรื่องครอบครัว สังคมชายเป็นใหญ่ และความปรารถนา ทะเยอะทะยานอันไม่จบสิ้นของมนุษย์ ถึงเรื่องเล่าจะเป็นเรื่องเดิมที่คนอ่านอย่างเราๆ เดาทางได้ แต่เมื่อเรื่องเล่านี้มาอยู่ในมือของกฤษณา อโศกสินแล้ว แม้จะเดาเรื่องได้ แต่เราก็ยังอดฉงนฉงายไปกับ “ตัวตน” ของตัวละครได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ผมคิดว่าที่งานเขียนของกฤษณา อโศกสินเป็นที่ยอมรับชื่นชมมาโดยตลอดนั้นเป็นเพราะสิ่งนี้นี่แหละ แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่เก่าเก็บ เรื่องครอบครัว เรื่องผัวเมีย แต่กฤษณา อโศกสินสามารถเสกสรรค์ให้เรื่องเล่าเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่ทันสมัย เข้าถึงได้ ผ่านการสร้างตัวละครที่มีมิติ ยิ่งรวมเข้ากับกลวิธีในการใช้ภาษาที่สวยงามและดึงดูดให้คนอ่านมีส่วนร่วมกับเรื่องราว ก็ยิ่งทำให้คนอ่านอย่างเราๆ เอาใจช่วย ลุ้น หรือบางครั้งก็แข่งชักหักกระดูกตัวละครให้มันฉิบหายวอดวายไปก็มี นี่จึงเป็นสาเหตุที่ผมเห็นนิยายของกฤษณา อโศกสินมักจะเวียนวนกลับมาเป็นละครโทรทัศน์ให้เราได้ดูกันบ่อยๆ
ตอนที่อ่าน “กระเช้าสีดา” รอบที่ 2 นั้น ผมยอมรับว่าผมจำรายละเอียดของเรื่องในตอนอ่านครั้งแรกไม่ได้เท่าไร จำได้แค่เพียงว่ามันเป็นเรื่องของเด็กในบ้านที่ปรารถนาจะได้รับการยอมรับจนเกิดการเข้ามาแทนที่ ดังนั้น การอ่านรอบที่ 2 จึงไม่ต่างไปจากการเริ่มอ่านใหม่ จริงอยู่ที่งานเขียนในปี 2515 นั้นอาจมีบางอย่างที่ดูผิดแผกให้จับสังเกตได้ แต่รสขาติของความสนุก คมคายนั้นยังคงอยู่ ดีไม่ดีอาจมากขึ้นกว่าตอนที่ได้อ่านครั้งแรกด้วยซ้ำ (เพราะจำไม่ได้ไงว่าอ่านครั้งแรกรู้สึกอย่างไร)
และในการอ่านครั้งนี้ ผมเห็นประพิมพ์ประพายความคล้ายคลึงกันระหว่าง “รำนำ” จาก “กระเช้าสีดา” กับ “ก้านแก้ว” ใน “หลงไฟ” นิยายของผู้เขียนคนเดียวกัน ผู้หญิงสองคนที่ปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่ง ผู้ต้องการให้ตัวเองได้ และมี ทั้งเงินตราและหน้าตาในสังคม และยอมที่จะเดินดุ่มๆ ลงไปในเพลิงกาฬที่พร้อมจะเผาตนให้แหลกราญไม่เหลือซาก ผู้หญิงในนิยายของกฤษณา อโศกสินมักมีรูปรอยแบบนี้ ผู้หญิงที่มีความปรารถนา และทำทุ่กทางให้ตนได้ในสิ่งที่ต้องการแม้ต้องแลกมาด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของตัวเอง แต่อย่างที่ผมบอกไป ถึงจะเป็นผู้หญิงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็น “ประเภทเดียวกัน” แต่ด้วยมุมมองและกลเม็ดเด็ดพรายของภาษา กฤษณา อโศกสินก็มักจะนำพาให้ผู้หญิงที่มีความคิด ความต้องการเหมือนกันเหล่านี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในส่วนของละครโทรทัศน์นั้น ผมขอออกตัวว่ายังไม่มีโอกาสได้ชมละครเลยสักตอนเดียว แต่เท่าที่เห็นจากการประชาสัมพันธ์นั้น สิ่งที่แตกต่างอย่างแน่นอนจากนิยายก็คือโครงเรื่องในส่วนของน้ำพิงค์ ที่ในนิยายมีแค่เพียงช่วงต้นเรื่องและตอนท้ายอีกเล็กน้อย แต่ละครก็คือละคร และน้ำพิงค์ก็เป็นตัวละครที่สามารถผลักให้เป็นนางเอก ที่ยืนอยู่ในขั้วตรงข้ามกับนางร้าย อย่างรำนำได้ไม่ยาก จึงไม่แปลกอะไรที่เราเห็นการโปรโมทเรื่องรักข้ามรุ่นระหว่างน้ำพิงค์กับอำพน ตัวละครชายหนุ่มรุ่นน้องในเรื่อง ซึ่งในนิยายก็มีประเด็นนี้อยู่ แต่ไม่ได้ถูกหยิบยกเชิดชูเหมือนที่ละครทำ
กระเช้าสีดา เป็นชื่อของไม้อิงอาศัยกับไม้ใหญ่ต้นอื่น ลักษณะของพืชชนิดนี้คือจะอาศัยบนต้นของพืชชนิดอื่น (แต่มีรากเป็นของตัวเอง ไม่ได้ไปอาศัยแบบฝังตัว และไม่ใช่กาฝาก) เวลาที่เติบโตจะแตกออกดอกที่มีลักษณะเป็นกระเช้า และเมื่อตัวมันอิงอยู่กับไม้ต้นอื่น มันจึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผลเป็นดอกของไม้ต้นนั้น อุปมาอุปไมยได้เท่ากับรำนำ ที่เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูและเติบโต อาศัยใบบุญของลือ และพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้รับการยอมรับและมองเห็นว่าเป็นคนในครอบครัวทั้งที่จริงตนเป็นเพียงผู้อาศัย ถ้าเพียงแต่รำนำ มองเห็นว่าตนอยู่ในสถานะใด และไม่กดตัวเองให้ต่ำลงไปว่าเป็นเพียงกาฝาก หล่อนอาจจะไม่ทะเยอทะยาน อยากได้อยากมี และนำพาตัวเองสู่ห้วงหายนะแบบนี้
ก็เหมือนกับสำนวนที่ผมใช้เป็นคำโปรยในรีวิวนี้นั่นแหละครับ “ตัวเป็นขี้ข้า อย่าให้ผ้าเหม็นสาบ” อันเป็นสำนวนที่สอนให้เราตระหนักในคุณค่าของความดี มากกว่าชาติกำเนิด เราอาจเลือกเกิดไม่ได้ แต่ถึงเราจะเกิดมามีฐานะต่ำต้อย หากเราหมั่นทำความดี ความดีจะนำพาเราจากความมัวหมองทั้งปวง ผ้าที่เหม็นสาบก็เหมือนกับความชั่ว และสิ่งที่ไม่ดีที่จะทำให้ชีวิตของเราแปดเปื้อนและต่ำตมไม่ผิดกับชาติกำเนิดของตัวเอง
รู้สึกว่ารีวิวนี้ยาวกว่ารีวิวไหนๆ ที่เคยเขียนมา ว่าไม่ได้ นานๆ จะได้รีวิวนิยายของนักเขียนขวัญใจของตัวเองสักที…
#ReadingRoom #กระเช้าสีดา #กฤษณาอโศกสิน
โฆษณา