7 มิ.ย. 2021 เวลา 05:03 • ประวัติศาสตร์
“ศาสนาคริสต์ (Christianity)”
สำหรับบทความนี้ ต้องออกตัวก่อนว่าที่เขียน เพราะผมรู้สึกว่าเรื่องราวของศาสนาคริสต์นั้นน่าสนใจ เหมาะที่จะนำมาเขียน แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่หรือทำให้ใครรู้สึกไม่ดีนะครับ ที่เขียนเพราะสนใจและคิดว่าเป็นหัวข้อที่ดี
“ศาสนาคริสต์ (Christianity)” เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก โดยมีผู้นับถือศาสนาคริสต์มากกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลก
ความเชื่อของศาสนาคริสต์ จะมุ่งไปยังเรื่องราวของ “พระเยซู (Jesus)” ทั้งการเกิด ชีวิตของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ ไปจนถึงการคืนชีพของพระองค์
พระเยซู (Jesus)
สำหรับหลักการของศาสนาคริสต์ หากให้ยกมาทั้งหมดคงจะไม่ไหว ผมจึงจะขออนุญาตยกมาเพียงบางส่วน เช่น
1
“ชาวคริสต์เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว โดยพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสวรรค์”
1
“ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตร นั่นก็คือ “พระเยซู (Jesus)” ลงมายังโลกมนุษย์ และพระเยซูก็ถูกตรึงกับไม้กางเขน และหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไปเป็นเวลาสามวัน พระองค์ก็ได้ฟื้นคืนชีพ ก่อนเสด็จสู่สรวงสวรรค์”
ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้ง ซึ่งเรียกว่า “การมาครั้งที่สอง (Second Coming)”
คำถามต่อไปคือ “พระเยซูคือใครกันแน่?”
ผมเคยเขียนซีรีส์เรื่องราวของพระเยซูเอาไว้แล้ว สามารถหาอ่านกันได้ ดังนั้นสำหรับคำถามนี้ ผมจะเล่าอย่างคร่าวๆ ถึงประวัติของพระเยซู
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าพระเยซูมีตัวตนจริง โดยพระองค์ประสูติระหว่าง 2-7 ปีก่อนคริสตกาล โดยนักค้นคว้าส่วนมากรับรู้ข้อมูลของพระเยซูจาก “พันธสัญญาใหม่ (New Testament)” ซึ่งเป็นภาคที่สองของคัมภีร์ไบเบิ้ล
ตามตำนานนั้น พระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจรรย์ชาวยิวที่ชื่อว่า “แมรี (Mary)”
พระเยซูประสูติในเมืองเบธเลเฮม (Bethlehem) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเยรูซาเลม ปัจจุบันคือปาเลสไตน์
ชาวคริสต์เชื่อว่าการที่แมรีตั้งครรภ์ เกิดจากพระประสงค์ของพระเจ้า
เรื่องราวในวัยเยาว์ของพระเยซูนั้นมีไม่มากนัก ตามพระคัมภีร์ กล่าวว่าพระองค์ทรงเติบโตในเมืองนาซาเรธ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล ก่อนที่พระองค์และครอบครัวต้องย้ายหนีการตามล่าของ “พระเจ้าเฮโรดมหาราช (Herod the Great)” โดยย้ายไปอียิปต์ (อ่านรายละเอียดได้ในซีรีส์พระเยซูที่ผมเคยเขียนไว้นะครับ)
สำหรับบิดาของพระองค์นั้น คือ “โจเซฟ (Joseph)”
โจเซฟพาครอบครัวย้ายไปอียิปต์
พระเยซูทรงเติบโตมาอย่างชาวยิว และนักประวัติศาสตร์หลายรายก็เชื่อว่าจุดมุ่งหมายแท้จริงของพระองค์ ก็คือการปฏิรูปศาสนายูดาห์ ไม่ใช่การก่อตั้งศาสนาใหม่
1
เมื่อมีพระชนม์ได้ราว 30 ปี พระเยซูก็ทรงออกเทศน์ในที่สาธารณะ ภายหลังจากเข้าพิธีบัพติศมา หรือศีลล้างบาป โดยทรงทำพิธีในแม่น้ำจอร์แดน และผู้ที่ทำพิธีให้ก็คือ “จอห์นผู้ให้บัพติศมา (John the Baptist)”
1
จอห์นทำพิธีให้พระเยซู
เป็นเวลากว่าสามปีที่พระเยซูและสานุศิษย์อีก 12 คน ออกเดินทางไปทั่วเพื่อทำการสอนผู้คน และทำในสิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ปาฏิหาริย์”
1
ปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงทำ ก็เช่น การทำให้ชายที่เสียชีวิตไปแล้วผู้หนึ่งฟื้นคืนชีพ หรือการที่พระองค์ทรงเดินบนน้ำ
1
พระเยซูทรงสอนผู้คนผ่านการเล่านิทานหรือเรื่องสั้น โดยเรื่องที่พระองค์เล่านั้นจะซ่อนหลักคำสอนอยู่ โดยคำสอนหลักๆ ที่ชาวคริสต์ได้เรียนรู้ และผมจะขอยกมาบางข้อ ก็เช่น
“ให้รักพระเจ้า”
2
“รักเพื่อนบ้านดังเช่นรักตนเอง”
1
“รักศัตรู”
5
“ให้อภัยผู้ที่ทำผิดต่อเรา”
2
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์ระหว่างค.ศ.30-ค.ศ.33 (พ.ศ.573-576) หากแต่วันที่ๆ แน่นอนนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัด
1
จากคำบอกในคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเยซูได้ถูกจับกุม นำไปสอบสวน และถูกตัดสินให้ประหาร
1
ข้าหลวงชาวโรมันที่ชื่อ “ป็อนติอุส ปีลาตุส (Pontius Pilate)” ได้สั่งประหารพระเยซู เนื่องจากปีลาตุสถูกผู้นำชาวยิวกดดันให้จัดการพระเยซู
ปีลาตุสขณะตัดสินโทษพระเยซู
ร่างของพระเยซูถูกทหารโรมันจับไปตรึงไว้กับไม้กางเขนในเยรูซาเลม และตามคัมภีร์นั้น สามวันหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกับกางเขน ร่างของพระองค์ก็ได้หายไป
ภายหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็มีผู้ที่ได้พบเห็นพระเยซู และในคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ได้กล่าวว่า พระเยซูที่ฟื้นคืนชีพ ได้ไปยังสรวงสวรรค์
ต่อมาคือเรื่องของ “คัมภีร์ไบเบิ้ล (Bible)”
คัมภีร์ไบเบิ้ล ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 เล่ม หลายผู้เขียน และแบ่งออกเป็นสองตอน นั่นคือ “พันธสัญญาเดิม (Old Testament)” และ “พันธสัญญาใหม่ (New Testament)”
2
พันธสัญญาเดิม จะบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ชาวยิว บอกถึงกฎต่างๆ รวมทั้งเล่าเรื่องราวของผู้วิเศษณ์หลายคน และยังทำนายถึงการมาของพระคริสต์
พันธสัญญาใหม่ ได้ถูกเขียนขึ้นภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู โดยเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซู
2
ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล คริสตจักรได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ไปได้ 50 วัน ในวันเพนเทคอสท์ โดยพระวิญญาณได้ลงมาประทับบนอัครทูต
1
ชาวคริสต์กลุ่มแรกๆ คือชาวยิวที่หันมานับถือคริสต์ และภายหลังการก่อตั้งคริสตจักร ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวจำนวนมากก็ได้ยอมรับศาสนาคริสต์
2
หนึ่งในมิชชันนารีคนสำคัญคือ “เปาโลอัครทูต (Paul the Apostle)”
เปาโลอัครทูต (Paul the Apostle)
เปาโลอัครทูตได้ทำการเผยแพร่คำสอนของพระเยซู และได้ก่อตั้งโบสถ์ทั่วอาณาจักรโรมัน ยุโรป และแอฟริกา
1
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าศาสนาคริสต์จะไม่แพร่หลายขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะการเผยแพร่คำสอนของท่านเปาโลอัครทูต
แต่ถึงศาสนาคริสต์จะดูแล้วรุ่งเรือง มีสาวกมากมาย แต่ในระยะแรก ชาวคริสต์ก็ค่อนข้างลำบาก ผู้นำชาวโรมันและผู้นำชาวยิว ต่างไล่ล่าชาวคริสต์
1
เมื่อปีค.ศ.64 (พ.ศ.607) “จักรพรรดิเนโร (Nero)” ได้โทษชาวคริสต์ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้กรุงโรมเกิดเพลิงไหม้ ทำให้ชาวคริสต์จำนวนมากถูกทรมานและฆ่า
1
จักรพรรดิเนโร (Nero)
ต่อมา ชาวคริสต์ก็ยังถูกกดขี่อีกเป็นเวลานาน จนมาถึงรัชสมัยของ “จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)”
ในปีค.ศ.313 (พ.ศ.856) จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชทรงยกเลิกการแบนศาสนาคริสต์ ก่อนที่พระองค์จะทรงพยายามรวบรวมชาวคริสต์ให้เป็นปึกแผ่น และสะสางปัญหาต่างๆ
1
เรียกได้ว่ายุคสมัยของพระองค์ เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ศาสนาคริสต์เลยก็ว่าได้
1
จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)
ต่อมาในปีค.ศ.380 (พ.ศ.623) ศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน โดยมีพระสันตะปาปาเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ต่อมา อาณาจักรโรมันล่มสลายในปีค.ศ.476 (พ.ศ.1019) และทำให้ชาวคริสต์ในตะวันออกและตะวันตกมีความแตกต่างกัน
1
ค.ศ.1054 (พ.ศ.1597) คริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ก็ได้แยกจากกัน
1
ระหว่างค.ศ.1095-1230 (พ.ศ.1638-1773) ได้เกิด “สงครามครูเสด (Crusades)”
สงครามครูเสด คือสงครามที่เป็นการสู้รบระหว่างชาวคริสต์และผู้ปกครองชาวอิสลาม โดยมีจุดประสงค์เพื่อชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ “เยรูซาเลม (Jerusalem)”
1
เยรูซาเลม
ภายหลังจากสงครามครูเสด คริสตจักรคาทอลิกก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในปีค.ศ.1517 (พ.ศ.2060) นักบวชชาวเยอรมันที่ชื่อ “มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther)” ได้ตีพิมพ์ “ข้อปัญหา 95 ข้อ (95 Theses)”
ข้อปัญหา 95 ข้อ คือรายการญัตติสำหรับการถกเถียงทางวิชาการ และวิจารณ์พระสันตะปาปา อีกทั้งยังประท้วงหลักปฏิบัติบางประการ รวมถึงอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ต่อมา ลูเทอร์ได้กล่าวว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้ให้อำนาจแก่พระสันตะปาปาในการอ่านและตีความพระคัมภีร์เพียงพระองค์เดียว
1
มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin Luther)
แนวคิดของลูเทอร์ ได้จุดประกายให้เกิดการปฏิรูปศาสนา ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่มีจุดประสงค์ในการปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิก
1
ในท้ายที่สุด ได้เกิดนิกาย “โปรเตสแตนต์ (Protestantism)”
ศาสนาคริสต์ ได้ถูกแบ่งออกเป็นสามสาย คือ “คาทอลิก (Catholic)” “โปรเตสแตนต์ (Protestant)” และ “ออร์ทอดอกซ์ (Orthodox)”
และถึงแม้แต่ละกลุ่ม แต่ละนิกายจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่แกนหลักหรือศรัทธาของแต่ละกลุ่ม ก็คือคำสอนของพระเยซู
โฆษณา