ทำ Rate card ยังไง “ให้ได้งาน"
สำหรับครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ ที่เอเจนซี่ให้ความสนใจ ก็จะได้รับ Inbox หรือ อีเมลมาสอบถามอยู่เสมอว่า “ไม่ทราบว่าพอจะมี Rate Card ไหมคะ/ครับ” เพราะแบบนี้การทำสรุป Rate Card ไว้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการรับงาน
แล้ว Rate Card ที่ดีควรจะต้องทำอย่างไร ? ประกอบด้วยอะไรบ้าง? และควรจะคิดราคายังไง? มาดูกันค่ะ
Rate Card คืออะไร?
Rate Card เป็นเอกสารที่มีข้อมูลราคาและคำอธิบายของโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ บนช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเป็นราคาที่ครีเอเตอร์เป็นผู้ที่ตั้งขึ้นมาเองตามความเหมาะสม
Rate Card ที่ลูกค้าชอบ ต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
1. รายการรูปแบบการลงโฆษณาในสื่อโซเชียลทั้งหมด พร้อมบอกราคา เป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่ทางลูกค้าจะทราบถึงรายละเอียดโฆษาและราคา เพื่อประกอบการตัดสินใจ
2. Demographic ผู้ติดตาม ข้อมูลทางประชากรเบื้องต้นที่จะบอกทางแบรนด์ว่ากลุ่มผู้ติดตามของเรามีความเหมาะสมกับแบรนด์นั้นๆ หรือไม่
3. ยอด Engagement ของโพสต์ตัวอย่าง เพื่อเป็นสิ่งที่การันตียอดการรับชม เพิ่มการตัดสินใจของลูกค้า
4. ตัวอย่างงานคอนเทนต์ การเขียนบทความ เพื่อให้ลูกค้าทราบถึงสไตล์งานของเรา
5. เงื่อนไขในการรับงาน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยเราต้องชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง เช่น ไม่มีการโพสต์เกี่ยวกับการเมือง ไม่รับสินค้าแอลกอฮอล์
6. ลูกค้าที่เคยทำงานด้วย ลิสต์แบรนด์ต่างๆ ที่เคยร่วมงาน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
7. เงื่อนไขในการ Boost Post หลากหลายแบรนด์มีการตั้งงบประมาณในการ Boost เพื่อให้ได้ยอดตามเป้าหมาย หากคุณมีเงื่อนไขของราคาที่ให้แบรนด์เข้ามา Boots ต้องชี้แจงให้ชัดเจน
และสุดท้าย Rate Card ควรคิดราคายังไง ?
1. คิดราคาจากค่า Production และ บวกเพิ่มค่าโฆษณา โดยเริ่มต้นจากการคิดราคาของการทำคอนเทนต์ก่อน เช่น ค่าวาดรูปเท่าไหร่ ค่าตัดต่อเท่าไหร่ แล้วจึงเพิ่มค่าโฆษณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่แบรนด์จะได้รับ
2. ถามเรทราคาจากลูกค้าโดยตรง ในบางงานที่นอกเหนือจากราคาที่คุณตั้งไว้ คุณอาจจะปรึกษาลูกค้าได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องมีทักษะด้านการต่อรองด้วย
3. ราคาที่เสนอ ต้องเป็นราคาที่พึงพอใจ ข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะ คุณต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่คุณต้องเสียไป เช่น ค่าชั่วโมง ค่าเสียเวลา ค่าความคิด ราคาที่ออกมาต้องคุ้มค่าเหนื่อยของคุณด้วย
- 22
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
