9 มิ.ย. 2021 เวลา 08:34 • ปรัชญา
จดหมายเหตุพุทธวงศ์ หลวงพ่อเกษม เขมโก
โพสต์ใน phuttawong.net
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ โดย : "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)
การปฏิบัติท่านมีปฏิปทาเช่นเดียวกันกับ “พระป่า” ที่เที่ยววิเวกไปในทุกแห่งหนนั้นเอง อาศัยป่าที่สงบจากผู้คน โดยอาศัยเฉพาะป่าช้าในเขตจังหวัดลำปาง หลวงพ่อเกษม ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ทุกคนไม่เข้าใจในปฏิปทาของท่าน จะพากันสงสัยว่า การปฏิบัติที่ตึงเปรี๊ยะ คือ การนั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุบ้าง นั่งทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ไหวกายเลยบ้าง อดอาหารเป็นเวลานานถึง ๔๙ วันบ้าง มิหนำซ้ำท่านยังไม่ติดรสในอาหารอีกด้วย
วัตรการประพฤติปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อเกษมองค์นี้นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ปฏิปทาของท่าน แม้เราจะมองดูตามลักษณะที่ท่านบำเพ็ญภาวนาตามสถานที่ต่างๆ ดูเหมือนว่าท่านจะทรมานตนเองเกินกว่าเราจะคิดว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม เพราะปกติท่านจะอาศัยป่าช้า นั่งสมาธิภาวนาอยู่หน้าเชิงตะกอนเผาผีบ้าง นั่งภาวนากลางแดดร้อนระอุ นั่งภาวนายามค่ำคืนที่หนาวอย่างทารุณของภาคเหนือ นั่งภาวนาท่ามกลางสายฝนที่ตกชุก อย่างนี้เป็นต้น
ทำไมท่านต้องกระทำถึงขั้นนั้น จะไม่เป็นการทรมานตนเองเกินไปหรือ ?...เปล่าเลย ท่านทนได้และทำได้ โดยไม่มีอันตรายอันใด ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่เกิดกับท่านเลยในเรื่องนี้ นอกจากว่า ความเจ็บที่มีขึ้นตามปกติมนุษย์พึงมีพึงเป็นเท่านั้นมันเป็นความเลี่ยงไม่ได้ แต่การกระทำเยี่ยงท่าน เป็นนิสัยที่ท่านเคยปฏิบัติมาก่อนในอดีต ซึ่งท่านเคยพูดอยู่เสมอๆ ว่า “การปฏิบัติอย่างนี้ ต้องแยกกายและจิตให้ออกจากกัน”
ดังนั้นคณะศรัทธาทั้งหลายจึงมีความเป็นห่วงกังวลในเรื่องนี้มาก เพราะเป็นการถือเคร่งทรมานกิเลสภายใน อันได้แก่ตัณหาอุปาทาน เป็นวิธีที่ล่อแหลมต่ออันตรายทางด้านสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเกษม ท่านไม่มีความกังวลในการทรมานตนของท่านเลย ท่านไม่เป็นอะไรยังแข็งแรงเช่นเดิม
หลวงพ่อเกษม ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีข้อวัตรปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่นนั้น อาจเป็นบารมีเก่าของท่านที่เคยดำเนินมาก่อนก็เป็นได้ เพราะการกระทำของนักปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการรู้เฉพาะจิตตัวเอง ไม่มีใครรู้หรือจะเดาไม่ได้เลย พระกรรมฐานทุกองค์ ท่านจะมีปฏิปทาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผิดแปลกไปจากชาวบ้านธรรมดาอยู่มากทีเดียว แต่ความมุ่งหมายที่สุดของการดำเนินจิตก็เป็นแหล่งเดียวกัน คือทางพ้นทุกข์พ้นภัยนั่นเอง
ท่านปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ ตลอดพรรษาได้อย่างสบายไม่มีอะไรติดขัด ก็เพราะท่านมีกำลังจิตแก่กล้ามั่นคงนี่เอง การกระทำเช่นหลวงพ่อเกษม จะต้องมีอารมณ์จิตถึงระดับญาณ ๔ หรือที่เรียกกันว่า จตุตถญาณ คือมีอารมณ์จิตสงัดเงียบจิตจะได้ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกายสังขารเลย ญาณ ๔ นี้แม้ความร้อนอ่อนหนาวจะไม่มีอาการรู้ตัวเลย หรือจะมีใครมาทำอะไรแก่บุคคลผู้ได้ระดับญาณ เช่น คนมาตีศีรษะอย่างแรง ทำร้ายร่างกาย จะไม่มีความรู้สึก เพราะจิตและกายได้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด
ผู้เขียนไม่เคยได้พูดคุยปัญหาเรื่องนี้กับหลวงพ่อเกษม แต่ได้เรียนถาม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า
“ถ้าบุคคลใด ปฏิบัติมาได้ขั้นนี้แล้ว จะเป็นผู้มีกำลังจิตที่แก่กล้ามาก อาการเช่นนี้ ถ้าจะมีใครยกเราหย่อนลงไปในน้ำก็สามารถอยู่ได้ ไม่มีอันตรายเลยและไม่มีอะไรอีกด้วย ว่าเย็นหนาว และถ้าเขาจะจับศีรษะบิดจนรอบก็ไม่มีความรู้สึกอะไร จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง บุคคลเช่นนี้มีอำนาจจิตที่แก่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ได้ทุกเมื่อเลยทีเดียว”
เป็นอันว่าสรุปผลแห่งการปฏิบัติของหลวงพ่อเกษม เป็นผู้ทรงอภิญญาจะต้องแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้เป็นที่แน่นอน
หลวงปู่ศรี มหาวีโร แห่งวัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ท่านเคยเมตตาอธิบายว่า
“การเจริญสมาธิภาวนาแบบอุกฤษฏ์ทรมานตนนี้ เป็นการสร้าง “มหาสติ” อีกแบบหนึ่ง ผู้ทำสำเร็จจะมีพลังแก่กล้ามาก เป็นความจริงในเรื่องนี้”
ปกติหลวงพ่อเกษม ท่านจะพูดน้อย คือพูดค่อยๆ เชิงกระซิบ โดยท่านให้เหตุผลว่า
“ถ้าต้องพูดกับคนทุกคนแล้ว ท่านคงไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมแน่ๆ”
ที่มา , เวปธรรมจักร
อนึ่ง เกี่ยวกับการ "ไม่ติดในรสอาหาร" ของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมนั้น "พุทธวงศ์" เคยได้เจอะเจอมาด้วยตนเอง เมื่อครั้งได้เดินทางไปสุสานไตรลักษณ์กับ "ศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทางศิษย์และคนรับใช้ของหลวงปู่ฯอย่างดียิ่ง จึงทำให้พอจะมี "เส้นสนกลใน" ที่แข็งแรงพอใช้ได้ทีเดียว....
"แข็ง" ขนาดที่ว่า เอา "พระพุทธบาทสี่รอย" ตั้งไว้ติดๆกับอาสนะของหลวงปู่ท่านในเขต "วงบุญพิเศษเขตชั้นในสุดที่ดุสิตบุรี" ในหลายๆวาระได้ ดังที่เห็น....
ตอนหนึ่ง เมื่อหลวงปู่เกษมท่านฉันอาหารเสร็จแล้ว คนรับใช้ก็ส่ง "ข้าวก้นบาตร" มาให้รับประทานเป็นมหาสิริมงคลอันหาได้ยากยิ่งเป็นการภายในที่สุดกัน
และจังหันของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโกที่ "พุทธวงศ์" มีวาสนาได้ลองลิ้มชิมรสก็คือ "ข้าวต้ม"
แต่ท่านผู้ชมทั้งหลายทราบหรือไม่ว่า ข้าวต้มของท่านนั้น หาใช่เป็นข้าวต้มน้ำข้นๆ สีขาวสดสวยอย่างที่พบเห็นกันทั่วไปก็หามิได้
แต่ "ข้าวต้มหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม" กลับมี "สีคล้ำๆ มอๆ" อย่างไรชอบกล
และครั้นเมื่อ "พุทธวงศ์" ลองตักใส่ปากดู ก็ปรากฏว่า.............
"เค็มสนิท" ราวกับทำน้ำปลาหกใส่สักครึ่งขวดก็ไม่ปาน..!!!!!
เลยเอา "พุทธวงศ์" แทบสำลักไปในบัดดล
นึกรู้ได้ทันทีว่า ที่ข้าวต้มครูบาเจ้าเกษมที่สีมอๆ ดำๆ นั้น เป็นเพราะเหตุใดกัน???
นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็น "ข้าวก้นบาตรหลวงพ่อเกษม" แล้ว ก็คงต้องรีบเททิ้งโดยด่วนที่สุด เป็นแม่นมั่นเลยนั่นเทียว....
จากประสบการณ์ตรงที่ได้ "ชิม" ภัตตาหารของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโกด้วยตนเอง ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า การฝึก "ไม่ติดในรสอาหาร" ของท่านนั้น "เข้มงวด" และ "อุกฤษฏ์" อย่างสุดๆถึงเพียงไหน..!!??!!
และเพราะเหตุที่หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม หรือหลวงพ่อเกษมท่านฝึกตนอย่างอุกฤษฏ์เข้มงวดอย่างยิ่งยวด ตามจริตนิสสัย "โยคีฤาษีเก่า" ที่เคยชินที่จะทรมานตนแบบ "อัตตกิลมถานุโยค" มาแต่ชาติปางก่อน จนติดเป็นวาสนามาถึงชาติปัจจุบันอันเลิกละมิได้ (ถ้าจำไม่ผิด หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันตเจ้าแห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุขได้กล่าวไว้ตรงนี้) ซึ่งเมื่อสามารถผ่านความบีบคั้นทางกายและใจอย่างยิ่งยวดมาได้ จิตย่อมจะมีอำนาจที่กล้าแข็งกว่าธรรมดา สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้เป็นเอนกอนันตังได้ ๑๐๘ ดังที่หลายๆ ท่านได้เคยประสพพบพานมานั่นแล..........
แม้ "พุทธวงศ์" เอง ก็เคยได้ประสพเหตุแห่งฤทธิจิตในหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด สมัยที่ยังทำ "พระพุทธบาทสี่รอย" อยู่มาเป็นหลายวาระด้วยเช่นกัน
ซึ่งจะได้ทยอยนำเล่าให้ได้ตื่นตาตื่นใจเป็นลำดับ สลับกับเกร็ดความรู้พิเศษในองค์ท่าน เมื่อถึงกาลโอกาสอันควรสืบต่อไปทีเดียว........
สังฆัง นะมามิ....................
เจ้าคุณนรรัตน์ฯรับรองอรหัตตผลหลวงพ่อเกษม
ในสมัยเมื่อ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ยังดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๓ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือทั้งหมด ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ให้ความเคารพนับถือท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ เป็นอย่างมาก เมื่อมีโอกาสเดินทางมาราชการที่กรุงเทพ ฯ ก็ได้เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ ในพระอุโบสถ หลังจากท่านทำวัตรเสร็จแล้วในเย็นวันหนึ่ง เมื่อสนทนาวิสาสะทั่วไปแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ ได้เปรยขึ้นว่า ที่ภาคเหนือ จังหวัดลำปาง มีพระรูปหนึ่ง มีสำนักอยู่ในป่าไผ่ ท่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนบัดนี้ได้บรรลุธรรมขั้นอรหันต์แล้ว
เมื่อพลเอกกฤษณ์ นมัสการลากลับไปยังที่ตั้งกองทัพภาคที่ ๓ แล้ว ก็เลยสอบถามลูกน้องว่า มีใครรู้จักพระองค์นี้บ้าง ซึ่งบรรดาลูกน้องทั้งหลาย ก็บอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง เท่านั้น เพราะสำนักของท่าน เป็นป่าช้า มีต้นไผ่ขึ้นอยู่รายรอบไปหมด จะเรียกว่า ป่าไผ่ก็คงไม่ผิด และท่านก็ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด คือ ปฏิบัติสมาธิภาวนากลางแจ้ง ตลอดทั้งสามฤดู จนสาธุชนหลายท่าน ก็เชื่อว่า ท่านต้องบรรลุธรรมชั้นสูง อย่างที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ กล่าวไว้ทุกประการ
"น้ำมนต์วันเกิดกลางหาว"
ปกติ ทุกวันคล้ายวันที่อุบัติบังเกิดมาในโลกมนุษย์ (วันเกิด) ของ "พุทธวงศ์" ในเดือนสิงหาคม นอกจากจะไปทำบุญทำกุศลตามปกติ สิ่งหนึ่งที่มักกระทำควบคู่กันไป นั่นก็คือการไปกราบและขอพรพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ทรงคุณธรรมและวิทยาคมเบื้องสูง ท่านเป่าหัวเป่าหูหรือรดน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคล ตามจริตเดิมของคนชอบขลังเป็นกิจวัตรที่ได้ถือปฏิบัติเป็นปกติวัตรเสมอมา
แต่มีอยู่ปีหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าพ.ศ.อะไร แต่ที่แน่ๆก็คือ ก่อนปีพ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนที่หลวงพ่อเกษมจะมรณภาพ วันเกิดปีนั้น ชะรอยว่า ดวงชะตาจะจรไปใน "ราศีมาคุ" อันมืดมนอนธกาลเต็มที ทำให้วันเกิดวันนั้นทั้งวัน ไม่ได้เจอะเจอกับครูบาอาจารย์ที่เชื่อมือและไว้วางใจในคุณพิเศษที่จะขอพรและขอขลังจากท่านเลยแม้แต่องค์เดียว สร้างความไม่สบายอกสบายใจให้มึนเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไรชอบกลหาน้อยไม่
เพราะออกจะ "ผิดประเพณี" ที่ยึดถือกันมานาน ก็ว่าได้เลยทีเดียว
จนตกค่ำ ก็ยังไม่ได้เจอ "พระดีพระขลัง" ที่จะขอพรวันเกิดได้อยู่นั่นแล้ว จึงให้เกิดสภาวะที่หงอยเหงาเศร้าซึมและเซ็งเป็ดบังเกิดขึ้นในอารมณ์อย่างสุดซึ้งสุดประมาณ
สุดท้าย ท้ายสุด เมื่อหาทางอื่นมิได้มีอีกแล้ว และไม่รู้นึกอย่างไรขึ้นมา เลยไปคว้าเอา "ธูปเสก หลวงพ่อเกษม"ที่เคยได้มาแต่เก่าก่อนมาจุดแล้วขึ้นไปยืนบนชานบ้านลาดพร้าวชั้นบน ใต้ฟ้าโล่งๆ แจ้งๆ พลางพนมมืออธิษฐานเอากับหลวงพ่อเกษมที่ลำปางดื้อๆ ทีเดียวว่า
"สาธุ สมณัง วันทามิ"
และ
"หลวงพ่อขอรับ วันนี้เป็นวันเกิดของลูก แต่ยังไม่ได้มีโอกาสขอพรวันเกิดจากพระที่ไหนเลย ลูกเลยอยากจะขอพรกับหลวงพ่อผ่านธูปนี้แทน ถ้าอย่างไร หลวงพ่อได้เมตตาให้พรวันเกิดลูกด้วยนะขอรับกระผม........"
และแล้ว ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่สุด ก็พลันบังเกิดขึ้นแบบ "เฉียบพลัน" และ "ทันที" ในชั่ววินาทีที่ตั้งจิตอธิษฐานกับธูปเสกหลวงพ่อเกษมนั่นเอง.......
นั่นก็คือ กลางท้องฟ้ายามหัวค่ำที่ปราศจากเมฆฝนปกคลุมใดๆ แต่อยู่ดีๆ เพียงชั่ววินาทีเดียว ที่อธิษฐานขอพรวันเกิดกับหลวงพ่อเกษมแบบ "ผ่านดาวเทียม" เสร็จ ก็มี "ฝนลึกลับ" เม็ดหนึ่ง ตกลงมาใส่ที่ "กลางกระหม่อม" แห่ง "พุทธวงศ์" ดังเป๊ะใหญ่ เสียงและแรงตกกระทบนี้ สนั่นลั่นเลื่อนทะลุเข้าไปในกะโหลกอย่างที่ไม่เคยพบเคยเจอจากที่ไหนมาก่อนเลย..!!??
"ฝนเม็ดเดียว" กลางชานโล่งๆใต้ฟ้าใสๆ แบบโดดๆ อย่างแท้จริง..!!!!!
แม้จะได้เอามือคลำศีรษะดู ก็ "เปียก" จริงๆเสียด้วย..!!?!
ไม่ใช่ "ความฝัน" กลางคืนแสกๆ ใดๆ เป็นอย่างแน่ๆ
โอ้...ญาณหยั่งรู้และอิทธิบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อเกษม เขมโกช่างกว้างไกล และวิเศษเลิศล้ำน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่..!!??!!??
อนึ่ง เรื่องราวประสบการณ์แห่งอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อเกษม เขมโกที่ "พุทธวงศ์" ได้เคยพานพบประสพมาด้วยตัวเองนั้น ยังมีอีกมากนัก
ล้วนแต่แปลกประหลาดและพิสดารกว่าปกติ (ชะรอยว่า หลวงพ่อเกษมท่านคงจะ "จัดการ" ให้เหมาะสมสัมพัทธ์กับ "หลากหลายแหวกแนวอย่างสุดขั้ว" ไม่ซ้ำแบบใคร (ถ้าไม่จำเป็น) ของตัว "พุทธวงศ์" เองเป็นแม่นมั่น) อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเป็นที่ยิ่ง
ที่ "โดน" อย่างเต็มๆ จะๆ ชนิดถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เล่าไว้ในกระทู้ "ด้วยแรงอธิษฐาน" www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-090310124236460 อย่างไม่ต้องสงสัย
ช่างเป็นประสบการณ์ "ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย" (สำนวนใครเอ่ย?) ที่พิเศษแบบสุดๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจและไม่อาจจะหาอะไรแบบนี้มาซ้ำสองได้อีกแล้วในวัฏฏสงสารแห่งนี้โดยแน่นอนแล้ว
เพราะ "หลวงพ่อเกษม" ท่านจะไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่อีกแล้วนั่นแล
เอาไว้มีเวลาได้โอกาสอันเหมาะสม จะเล่าให้ชมสืบไปเมื่อหน้าก็แล้วกันนะขอรับ
สาธุ สัทธา ทานัง อนุโมทามิ........
"เรา (ถอดจิต) ไปประชุมที่เมืองจีน ๓ ปี ๑ ครั้ง..!!?!"
"เย็นใจกว่า"
เพราะอาศัยที่ชมชอบในการก่อสร้างวัดสร้างวาและสร้างพระ (ประธาน) ตลอดจนพระ (เครื่อง) มาแต่อ้อนแต่ออก ก็ย่อมต้องหาทางทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หนึ่งในนั้นก็คือการ "ปลุกเสก" นั่นเอง
หากเป็นกรณีทั่วไป การนำไปให้พ่อแม่ครูอาจารย์อธิษฐานพรเป็นการส่วนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แค่ไปถึง ยื่นพระขึ้นชูถวาย ก็สำเร็จดังใจปรารถนาแล้ว
แต่สำหรับหลวงพ่อเกษมนั้น หาใช่เช่นนั้นไม่
เพราะการที่เข้าถึงใกล้ชิดในท่านกุฏินั้น เป็นที่รู้กันว่าแสนยากยิ่งนัก
เพราะต้องผ่านด่านอรหันต์มากมาย
ตอนนั้น "พุทธวงศ์" สร้าง "พระแก้ว พระพุทธบาทสี่รอย" อยู่ และอยากจะให้หลวงพ่อเกษมท่านอธิษฐานจิตเป็นการส่วนตัวแบบ "เปิดกล่องเสก" อย่างโบราณเป็นการเฉพาะเจาะจง
แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสเสียที
แต่กลับสามารถแต่นำเข้าพิธีอธิษฐานจิตของหลวงพ่อเกษมท่านอย่างเป็นทางการ ถึงกลางปริมณฑลพิธีเป็นหลายครั้ง จนแทบจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ
จนค่ำคืนวันหนึ่ง ขณะที่ยังติดใจในเรื่องนี้อยู่ เหมือนหลวงพ่อท่านจะล่วงรู้จิตใจที่ "พุทธวงศ์" อยากให้ท่านปลุกเสกพระบาทสี่รอยเป็นการเฉพาะ หลวงพ่อเกษมเลยมาเข้าฝันแล้วบอกสั้นๆ แต่เพียงว่า
"พิธีใหญ่ เย็นใจกว่า..!!!!!?????"
หนึ่งเดียวที่รังสีออร่าแผ่กว้างไกลที่สุด.!!!!!!!!
นิตยสารโลกทิพย์เล่มหนึ่งได้นำกล้องมาถ่ายภาพออร่าของวัตถุมงคล มีรายชื่อพระเครื่องหลายอย่าง อย่างสมเด็จวัดระฆัง (ไม่ทราบว่ารุ่นไหน) ถ่ายภาพเห็นออร่าไกลถึง ๒ เมตรเป็นรัศมีรอบวัตถุมงคล มีเพียงพระเครื่องเกจิรูปหนึ่งที่ลองนำมาถ่ายภาพออร่าที่ปรากฏรัศมีไปไกลถึง ๑๐ เมตร และเป็นเพียงวัตถุมงคลหนึ่งเดียวที่มีรัศมีไกลขนาดนั้น....
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เลือกพระเครื่องมาทดสอบ ไม่ได้ทดสอบมากมายอะไร พระเกจิรูปนี้คือ หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง และวัตถุมงคลรุ่นที่นำมาทดสอบ คือเหรียญรุ่น ๗๐๐ ปีลายสือไทย ปี ๒๕๒๖
เมื่อผู้จัดสร้างนำความขึ้นกราบเรียนขออนุญาตจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่น ๗๐๐ ปี ลายสือไทย หลวงพ่อเกษมจึงอนุมัติอนุญาตให้สร้างในทันที ด้วยความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นที่สุด ด้วยหลวงพ่อเกษมท่านมีความเคารพในตัวหนังสือไทยมาแต่แรกเริ่มในฐานะครูบาอาจารย์ ดังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว
และท่านยังได้พูดกับคนใกล้ชิดก่อนมนต์เหรียญรุ่นนี้ไว้กับปากอีกด้วยว่า
"พิธีนี้ เราจะเบ่ง (พลังปลุกเสก) เต็มที่..!!!!!"
เหตุที่เหรียญ ๗๐๐ ปีลายสือไทย หลวงพ่อเกษมตั้งใจปลุกเสกรุ่นนี้มาก เพราะท่านรักตัวหนังสือ และให้ความเคารพมากๆ
จากภาพที่นำมาให้ชม เป็นภาพหลวงพ่อก้มเก็บกระดาษเก่าๆที่มีตัวหนังสือ ท่านบอกว่าไม่อยากให้ใครมาเหยียบย่ำ สมัยที่ท่านอยู่จะเห็นกระดาษหนังสือต่างๆ ห้อยตามต้นไม้เต็มไปหมด เพราะท่านไม่อยากให้ใครทำลายและเหยียบตัวหนังสือ แสดงถึงว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีจิตใจสูงส่งและละเอียดรอบคอบดีจริงๆ
โฆษณา