Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
9 มิ.ย. 2021 เวลา 09:30 • ปรัชญา
"ดาบหมาน" ศิษย์คนสนิทรำลึกถึงหลวงพ่อ
คัดลอกจากเวบ ปาฏิหาริย์2009
ร.ต.ต.สมาน บัวสมบัติ นายตำรวจฝีมือดีในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่เพื่อนเคยแนะนำให้ไปถวายตัวเป็นลูก “หลวงพ่อเกษม เขมโก” แห่งสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดและได้เห็นจริยวัตร ตลอดจนการปฏิบัติธรรมอันบริสุทธิ์ของหลวงพ่อนานเข้า ทุกเดือนนายตำรวจผู้นี้จะต้องขับรถไปรับใช้หลวงพ่อเกษม ๒-๓ ครั้งเสมอมิได้ขาด
เขาเล่าว่า เมื่อใกล้เทศกาลสงกรานต์ประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๕ หลวงพ่อเกษมเอ่ยปากกับ ร.ต.ต.สมาน ขณะนั้นยังเป็น “นายดาบ” เพื่อนๆ มักนิยมเรียกว่า “ดาบหมาน” ว่า
“ไม่เคยอาบน้ำมายี่สิบปีแล้ว”
ดาบหมานจึงอาสาหลวงพ่อว่า “ผมขออาบน้ำให้หลวงพ่อได้ไหม”
หลวงพ่อถามว่าจะอาบอย่างไร ดาบหมานก็อธิบายว่า จะใช้กะละมังมารองน้ำแล้วก็อาบให้หลวงพ่อ หลวงพ่อจึงตกลงให้ ดาบหมานอาบน้ำให้ท่านได้ นั่นเป็น ครั้งแรกและคนแรกในยี่สิบปี ที่มีโอกาสได้สัมผัสสังขารพระอริยสงฆ์แห่งเขลางค์นคร ดาบหมาน เล่าว่า ร่างกายของท่านไม่มีกลิ่นอะไรเลย สะอาดผุดผ่อง จากนั้นมาทุกครั้งที่ดาบหมานขับรถไปกราบนมัสการและรับใช้หลวงพ่อ ท่านก็มักจะให้ดาบหมานอาบน้ำให้เสมอ และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง “อภิญญา” แห่งพระอริยสงฆ์ของท่าน สามารถ ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า พอดาบหมานจอดรถปั้บ หลวงพ่อก็จะบอกกับผู้ดูแลท่านว่า “เตรียมอาบน้ำได้แล้ว” ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ในห้อง มองออกมาไม่เห็นข้างนอกด้วยซ้ำไป
แสดงอภินิหาร-ให้โชคลาภร่ำรวย
วันหนึ่งประมาณเก้าโมงเช้า เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง และเพื่อนเจ้าของโรงงานน้ำปลาโพธาราม ได้เอารถเบนซ์ รุ่น ๕๐๐ เอสอีแอล ไปรับหลวงพ่อเกษมออกเดินทางจากสุสานไตรลักษณ์เพื่อไปทำบุญที่บ้านเจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง เมื่อเสร็จธุระต่าง ๆ แล้ว หลวงพ่อจะกลับสุสานไตรลักษณ์ แต่ท่านไม่ยอมขึ้นรถเจ้าประเวทย์และเพื่อนท่านบอกว่า จะนั่งรถ “ดาบหมาน” กลับ ทุกคนก็แปลกใจเพราะ “ดาบหมาน” ไม่ได้มาด้วย จึงโทรศัพท์ตามหาตัวให้มารับ ดาบหมานจึงขับรถฮอนด้าซีวิค ทะเบียน ฉ.๙๗๒๓ กรุงเทพฯ มารับหลวงพ่อเกษมที่บ้านเจ้าประเวทย์กลับสุสานไตรลักษณ์ทันที
2
ดาบหมานเล่าว่า เมื่อหลวงพ่อเกษมนั่งบนรถ ท่านหลับตาภาวนาตลอดทางจนถึงสุสานไตรลักษณ์ ก่อนลงรถ ท่านเอามือล้วงถุงขนมปังที่พกติดตัวมา หยิบขนมปังเต็มกำมือ ยกขึ้นภาวนาสักครู่แล้วถามดาบหมานว่า “มีตำรวจ–ทหารมาคอยอยู่กี่คน” ไม่ทันที่ดาบหมานจะตอบ ท่านพูดต่อว่า “เอาขนมปังนี่แจกทหาร ๔ อัน แจกชาวบ้าน ๓ อัน แจกเด็ก ๒ อัน” ดาบหมานก็รับขนมปังจากหลวงพ่อเกษมไปแจกตามที่หลวงพ่อบอก
หลังจากแจกขนมปังเสร็จ พาหลวงพ่อเข้าที่พักแล้ว แม่ค้าขายของเข้ามาถามว่า “หลวงพ่อให้ขนมปังกี่อัน” ดาบหมานตอบว่า ท่านให้ ทหาร ๔ อัน ชาวบ้าน ๓ อัน เด็ก ๒ อัน แม่ค้าบอกดาบหมานว่า หลวงพ่อให้หวย ดาบหมานจึงแทงหวย ๓ ตัวบนงวดนั้นเลข “๔๓๒” ออกมาตรง ๆ ได้เงิน ๙๐๐,๐๐๐ บาท จึงนำเงินถวายหลวงพ่อ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือดาบหมานแจกลูกศิษย์ที่ดูแลท่าน จำนวน ๑๑ คน คนละ ๑๐,๐๐๐ บ้าง ๒๐,๐๐๐ บ้าง ทั่วทุกคนเป็นที่ฮือฮากันในสุสานไตรลักษณ์
ดาบหมานเล่าว่า เขาถูกหวยจากเลขหลวงพ่อเกษมหลายครั้ง รวมหลายล้านบาท ก่อนหลวงพ่อเกษมมรณภาพ ๑๕ วัน หลวงพ่อเกษมบอกปริศนาแก่ดาบหมาน” เขาแทงเลข “๕๑๙” ถูกอีกนับล้าน งวดนั้นได้เอาเงินที่ถูกหวยมาแจกลูกศิษย์หลวงพ่อ แถมด้วยแจกแม่ค้า-พ่อค้าบริเวณสุสานไตรลักษณ์แทบทุกคน จนเป็นที่เล่าลือกันมากในยุคนั้น
ประสบการณ์หลวงพ่อเกษม เขมโก
โพสต์ในเวบพลังจิต
เรื่องรู้ใจของหลวงพ่อเกษม
โพสต์โดย ศรศิลป์ เมื่อวันที่ ๓๐ ๘ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖ #๑๑๙
คุณบัญชา ทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ นับถือหลวงพ่อเกษมมากๆ เพื่อนเขาที่ทำงานที่เดียวกันเช่าเหรียญ ๕ รอบมาหนึ่งเหรียญ ปรากฏว่าเหรียญนั่นเก๊ ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะเดินทางไปทดสอบหลวงพ่อเกษม ว่าท่านจะรู้ไหมว่าเหรียญอันนี้เก๊ไม่มีการปลุกเสก
พอมีโอกาสได้เดินทางขึ้นไปจังหวัดลำปาง ไปที่สุสานไตรลักษณ์ ขณะนั้นมีคนนั่งคอยพบหลวงพ่อเกษม ที่ศาลาจำนวนมาก เขาทั้งสองคนจึงเดินเข้าไปรวมกลุ่มที่ศาลา ครู่ต่อมามีศิษย์ท่านคนหนึ่งเดินตรงมาที่ศาลา และถามขึ้นดังๆ ว่า ใครมาจากกรุงเทพฯ ๒ คน หลวงพ่อให้เข้าพบ เขาทั้งสองดีใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าจะได้เข้าพบท่านเร็วขนาดนี้
พอทั้งสองเข้าไปกราบท่านเสร็จ ท่านก็ยื่นมือตรงมาที่เพื่อนของคุณบัญชา พร้อมทั้งพูดว่า เอาเหรียญออกมาซิ
เพื่อนคุณบัญชา จึงล้วงเอาเหรียญในกระเป๋าเสื้อออกมาส่งให้ท่าน พอท่านรับมาและพูดว่า เหรียญนี้เราไม่ได้เสก ถ้าศรัทธาจะมนต์ให้เอาติดตัวไปใช้ได้ ขายไม่ได้นะมันเก๊ พอท่านมนต์เสร็จก็ส่งคืนเจ้าของ พร้อมกับบอกกลับไปได้
ทั้งสองก้มลงกราบปลาบปลื้มปิติยิ่งนัก ทั้งที่นั่งตกตะลึงอยู่ ไม่คิดว่าท่านจะรู้ว่า พวกเขาทั้งสองตั้งใจจะสอบภูมิว่าท่านรู้จริงหรือไม่
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๑๓ ๙ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๔ #๒๖๓
โอกาสะ โอกาสะ อาจาริโย เมนาโถ ภันเต โหตุ อายัสมา เขมโก ภิกขุ เมนาโถ ภันเต โหตุ อาจาริยัง วันทามิหัง
เมื่อก่อนสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่ ผมเคยธนาณัติส่งเงินไปถวายท่านบ่อยครั้ง เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๓๖ ผมได้ซื้อกลดเครื่องธุดงค์ส่งไปถวายท่านทางพัสดุไปรษณีย์ พร้อมเขียนจดหมายกราบนมัสการท่านว่า
"กระผมพร้อมบิดามารดา ขอน้อมถวายกลดแด่หลวงปู่ พร้อมทั้งบุญบารมีที่กระผมได้สะสมมาตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน และที่จะมีต่อไปในอนาคต น้อมถวายแด่หลวงปู่จนสิ้น และ ขอถวายอายุขัยของกระผมจำนวน ๑ ปี เพื่อต่อชีวิตให้หลวงปู่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเทอญ
ด้วยข้อความอันเป็นสัจจะที่กระผมเขียนมานี้ ขอให้หลวงปู่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ มีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ มีอายุยืนยิ่งขึ้นไปเทอญ
ขอเดชแห่งบุญนี้ และบุญบารมีของหลวงปู่ ช่วยดลบันดาลให้กระผม บิดามารดาญาติพี่น้อง พร้อมทั้งหมู่มิตรบริวารจงเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม มีความสุขความเจริญ หายจากโรคภัย อย่ามีอุปสรรคขอให้มั่งมี และขอให้กระผมได้ปฏิบัติธรรมได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงความหลุดพ้นในชาตินี้เทอญ
นมัสการมาด้วยความเคารพรักอย่างสูง"
หลังจากนั้นประมาณวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๓๖ ได้มีจดหมายจากสุสานไตรลักษณ์ลำปาง ส่งมาถึงผมตีตราประทับที่จังหวัดลำปาง ๒๖.๕.๓๖ (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๖) ผมได้เปิดอ่านดูในจดหมายเขียนว่า
เรียนคุณ........
เครื่องธุดงค์ที่ท่านได้ส่งมา ผมได้นำถวายหลวงพ่อและท่านได้มนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนี้ท่านได้ "สั่งให้ผมส่งใบบุญมายังท่าน" ให้ท่านเอาไว้สวดทุกวัน ๆ ดีมาก เป็นคำไหว้พระธาตุ แต่ท่านเรียกว่า "ใบบุญ" ขอให้ท่าน..........ฯลฯ
ถนอมศักดิ์
ข้อความในจดหมายยังมีอีกเล็กน้อยแต่ผมจำไม่ได้ เนื่องจากจดหมายได้สูญหายไปแล้ว จดหมายดังกล่าวส่งมาพร้อมกับ "คำไหว้พระธาตุรวม" มีอยู่ ๖ แผ่น เขียนไว้ว่า
" พ.ศ. ๒๕๓๖
คำไหว้พระธาตุรวม
วันทามิ เจติยัง สัพพัฏฐาเนสุ ปติฏฐิตา สรีระธาตุง
มหาโพธิง พุทธะรูปัง สกลัง สทา นาคะโลเก
เทวะโลเก ตาวะติงเส พรัมมะโลเก ชัมภูทีเป
ลังกาทีเป สรีระธาตุโย เกสาธาตุโย อรหันตาธาตุโย
เจติยัง คันธะกุฏิ จตุราสี ติสะหัสสะ ธัมมักขันธา
ปาทะเจติยัง นะระเทเวหิ ปูชิตา อหังวันทามิ ธาตุ
โย อหังวันทามิ ทูระโต อหังวันทามิสัพพะโส"
๑ คำไหว้พระธาตุรวมหมดเท่านี้
๑ เอาไหว้สวดทุกวันๆ ดีมาก
ผมก็ขอน้อมนำสิ่งที่ หลวงปู่เกษม เขมโก มอบให้ผมไว้ คือ "คำสอนให้สวดคำไหว้บทนี้ที่ท่านเรียกว่าใบบุญ" แด่เจ้าของกระทู้และเพื่อนสมาชิกทุกท่านให้เป็นมงคลติดตัวตลอดไป
จากใจจริงของผม
"อุตฺตโม"
โพสต์โดย แก้วทิพย์ เมื่อวันที่ ๓๑ ๑๐ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๒๙ #๕๖๓
เมื่อประมาณ ๔-๕ ปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับฟังการบอกเล่าจากท่านผู้ใหญ่ที่เชื่อถือได้ท่านหนึ่ง (ท่านผู้นี้เป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุที่เยอะและงดงามมากที่สุดในประเทศไทย ท่านเล่า่ว่า ท่านจะนำไปถวายสมเด็จพระสังฆราชบ่อยๆ และสมเด็จฯ ท่านก็แจกจ่ายต่อให้บรรดาวัดต่างๆ ที่ขอประทานจากสมเด็จฯ บ้านของท่านอยู่แถวพุทธมณฑลสาย ๒)
ท่านเล่าถึงประสบการณ์ของท่าน เกี่ยวกับหลวงพ่อเกษม เขมโก ว่า ก่อนนั้น ท่านไม่ค่อยเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ของหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆ จนครั้งหนึ่ง ท่านมีโอกาสไปจังหวัดลำปาง และได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อเกษม เมื่อไปถึง บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่แถวหน้ากุฏิให้รออยู่ข้างนอกก่อน กันไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวนหลวงพ่อ
ปรากฏว่าไม่นานนักก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งออกมาหาท่าน บอกว่าหลวงพ่อให้มาตามท่านเข้าไปพบ เมื่อท่านเข้าไปกราบหลวงพ่อข้างในกุฏิ (บางอย่างที่ท่านเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าจดจำไม่หมด) แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งจำได้ คือ หลวงพ่อให้ท่านหลับตา ท่านก็ทำตาม สักครู่ใหญ่หลังจากนั้นไม่กี่นาที เมื่อหลวงพ่ออนุญาตให้ท่านลืมตา สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าท่านคือ มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งวางอยู่ข้างหน้าท่านกับหลวงพ่อ พระพุทธรูปองค์นั้น เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกับที่อยู่ในห้องพระของท่านที่บ้านกรุงเทพ)
ส่วนตัวข้าพเจ้า เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ที่ทำงานของข้าพเจ้ามีเรื่องยุ่งยากระส่ำระสายเกิดขึ้นจากหัวหน้างานคนใหม่ที่ย้ายเข้ามา พนักงานหลายคนรวมทั้งข้าพเจ้าได้รับผลกระทบหนักเหมือนกัน จนเครียด แต่ละวันแทบไม่อยากไปทำงาน คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันว่า หลวงพ่อเกษมได้ เทน้ำเป็นกะละมังราดตัวข้าพเจ้าจนเปียกโชกไปหมด ตื่นขึ้นมาค่อนข้างประหลาดใจและดีใจมากกับความฝัน (ข้าพเจ้าทำงานอยู่ในกรุงเทพ) ท่านมาเข้าฝันเมตตาให้กำลังใจข้าพเจ้า ต่อมาไม่นานนัก วิกฤตต่างๆ ในที่ทำงานก็คลี่คลายลง ข้าพเจ้าก็รอดพ้นจากการกลั่นแกล้งไปได้อย่างหวุดหวิด
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๐๙ ๑๑ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๒ #๖๒๔
พระผงรัตนเกษม หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง ออกที่ วัดพลับพลา จ.นนทบุรี ปี ๒๕๑๗
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ วัดพลับพลา จังหวัดนนทบุรี กำลังดำเนินการสร้างพระอุโบสถแต่ขาดทุนทรัพย์ จึงคิดไปขอพึ่งบารมีหลวงพ่อเกษม ขอสร้างเหรียญและพระผงรุ่นสร้างโบสถ์วัดพลับพลา และหลวงพ่อเกษมได้อนุญาตให้สร้างตามประสงค์เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ทางวัดพลับพลาโดยหลวงพ่อพระครูสิรินนทคุณ เจ้าอาวาส จึงได้ดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น ๓ รายการ คือ
๑. เหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อเกษม เนื้อทองคำ เงิน นวโลหะ และทองแดง
๒. พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเกษม และ
๓. พระปิดตาเขมโก
เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้นำขึ้นไปให้หลวงพ่อเกษมปลุกเสก เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ เวลา ๑๙.๓๙ น. ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ในการพิธีมนต์นี้ได้มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นซึ่งท่านพระครูสิรินนทคุณได้บันทึกไว้ดังนี้
ในวันปลุกเสกนั้นเป็นเวลากลางคืนทางเหนือหมดฝนแล้วได้ เวลาหลวงพ่อเกษมเดินออกจากกุฏิที่พักของท่าน พอมาถึงศาลามุงแฝก (หญ้าคา) ปะรำพิธีปลุกเสก ข้าพเจ้ากับคณะกรรมการและทุกคนในที่นั้นได้ยินเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ชาวลำปางจึงตั้งชื่อพระรุ่นนี้ว่า รุ่นฟ้าลั่น ปัจจุบันนี้ชาวลำปางเก่าๆ ยังจำชื่อรุ่นฟ้าลั่นได้ พระชุดนี้เริ่มออกจำหน่ายจ่ายแจก ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๑๗ ที่วัดพลับพลา จังหวัดนนทบุรี ได้เงินสมทบจากพระชุดนี้จนสร้างพระอุโบสถวัดพลับพลาสำเร็จ
โพสต์โดย smilelife เมื่อวันที่ ๑๑ ๑๑ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๒ #๖๓๑
เข้ามาอ่านฟังบางท่านแล้ว ก็รู้สึกเสียความรู้สึกนิดๆ ว่าทำไมต้องการเหรียญที่ท่านปลุกเสกก่อนปี ๑๘
แต่ก็เข้าใจความรู้สึกว่า บางท่านเขาก็อยากได้แต่ของดีจริงๆ
ส่วนตัวเองนี้ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยสนใจพระเลย ดูก็ไม่เป็น พระที่มีอยู่ส่วนมากมีแต่คนให้
บังเอิญมีช่วงหนึ่งสมัยหนุ่มๆ มีคนชวนให้เช่าหลวงพ่อเกษมเขมโก
ซึ่งไม่รู้จักท่านเลย แต่ไม่รู้เป็นไง ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะเช่าพระ
ก็เลยเช่ามาซึ่งราคาออกจากวัดเลย พี่เขาเช่ามาแล้วบอกเดี๋ยวแบ่งให้บูชา
ก็เลยโอเค เป็นพระรอด ใหญ่ ๒ องค์ เล็ก ๒ องค์ (ปี ๒๗)
เหรียญเงินครบรอบอายุ ๘๐ ปี (ปี ๓๔)
รูปหล่อเล็กเนื้อเงิน ๑ องค์
พระบูชาเป็นรูปท่าน ซึ่งปัจจุบันเป็นพระบูชาพระสงฆ์ ๑ ใน ๓ (หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงปู่แหวน )
ที่ขึ้นหิ้งบูชามากว่า ๒๐ ปีแล้ว พร้อมรูปท่านตอนในหลวงไปเยี่ยมอัดกรอบแขวนไว้
ผมบูชามาโดยไม่รู้ว่ามีเรื่องอย่างที่พี่ๆ เล่า ว่ารุ่นหลังๆ เหมือนไม่ค่อยจะดี
แต่ตอนเองมีประสบการณ์กับพระรอดปี ๒๗ ของท่าน ๒ ครั้ง ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มีคนอยู่ด้วยเป็นสิบๆ คน
ครั้งแรกเมื่อประมาณ ๑๐ ปีก่อน พาลูกไปงานวัด โดยที่มีบ่อเลี้ยงปลาของทางวัดด้วย
พาลูกชายไป ๓ คน คนเล็กอายุประมาณ ๔-๕ ขวบ พี่ๆ ก็ชวนเลี้ยงปลา ผมเห็นมันมีรั้วกั้นก็เลยปล่อยไว้ตามลำพัง
โดยที่ตัวเองมัวแต่ไปดูต้นไม้ ที่เขามาขายอยู่รอบบ่อปลา เพราะชอบต้นไม้มาก
ดูเพลินๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าเด็กตกน้ำ ๆ
พอหันมาก็รีบวิ่งไปที่ๆ ลูกเลี้ยงปลา เห็นหน้าลูกคนที่ ๒ บอกหน้าตาตื่นว่าน้องตกน้ำ
เพราะพี่คนโตเขามุดรั้วนำน้องเข้าไปในบ่อเพื่อเลี้ยงปลาใกล้ๆ
พอรู้ว่าเป็นลูกชายก็ตกใจหันไปมองเห็นลูกชาย ดิ้นม้วนเป็นวงกลมอยู่ในน้ำ
โดยที่ลอยน้ำทั้งตัวไม่จมเป็นเวลาประมาณสัก ๔-๕ นาที กว่าที่ผมจะได้กระโดดลงไป
เพราะคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครลงไปช่วยเลย เพราะน้ำมันเขียวปี๋และดำมาก
ผมคิดว่าถ้าลูกผมจมลงไป ผมมองไม่เห็น ลูกผมคงตายไปแล้ว
หลังจากช่วยอุ้มขึ้นมาได้ มีแต่คนถามว่าเด็กแขวนพระอะไร แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะตกใจอยู่
พอกลับบ้านมา พาเด็กไปอาบน้ำ แล้วค่อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ ว่าถ้าลูกจมน้ำลงไปเราจะเสียใจแค่ไหน
เพราะว่าไม่มีปัญญางมแน่ๆ ใครเห็นน้ำก็ไม่อยากลงทั้งนั้น ผมเองก็ใส่แว่นสายตาสั้นด้วย
ก็เลยคิดว่าเป็นเพราะลูกชายห้อยพระรอดหลวงพ่อเกษม เขมโกแน่ๆ ก็เลยยกมือนึกในใจสาธุๆ
อีกเหตุการณ์นึง ก็พระองค์นี้อีกแหละครับ ประมาณ ๔-๕ ปีเห็นจะได้
พวกเราทั้งครอบครัวได้ไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ไปถึงลูกๆ ก็ขอตัวไปเล่นน้ำทะเล
ก็เกิดเหตุการณ์กับลูกคนเดิม แล้วก็พระองค์เดิมด้วยครับ
ตอนนั้นลูกคนนี้ก็โตแล้วประมาณสัก ๑๐ ปีได้ เหตุการณ์มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอกครับ
แต่เป็นเพราะเขาเล่นน้ำนานเกือบชั่วโมง พอขึ้นมาจะพาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
ปรากฏว่าสร้อยที่คอหายครับ ผมก็ถามว่าสร้อยไปไหน ลูกชายบอกไม่รู้อย่างเดียว
ด้วยความเสียดาย สักพักตั้งสติได้ ผมยกมือไหว้ไปที่ทะเล
ลูกเมียและพวกที่มาเที่ยวหลายกลุ่มเขาก็เห็น แต่เขาไม่รู้ว่าผมไหว้อะไร
ในใจตั้งจิตอธิฐานบอกหลวงพ่อเลยครับ ถ้าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง
ผมขอหลวงพ่อคืน ขอให้ผมหาหลวงพ่อเจอด้วยเถิด
เพราะผมเสียดายมากๆ บอกตรงๆ ถึงจะมีที่บ้านอีก
แต่กับองค์นี้เคยช่วยชีวิตลูกผมมาแล้ว ผมต้องหาให้เจอ
ผมเดินลงทะเล พาลูกไปบอกว่า ว่ายไปเล่นตรงไหนบ้าง
เขาก็พาไป เดินลงทะเลไปหากัน คนที่มาด้วยคงนึกว่าผมบ้า แล้วเขาก็คงคิดว่าหายังไงก็ไม่เจอ
ผมเดินหาห่างจากฝั่งไปประมาณร่วม ๓๐ เมตร แต่มันยังไม่ลึกมากแค่หน้าอก แล้วน้ำก็ใส
หาอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ผมก็เหลือบไปเห็นที่ซอกหิน ที่ปลาการ์ตูน กับปลาสีเหลืองสลับดำมันว่ายอยู่
สร้อยมันสะท้อนแสง ผมก็ล้วงหยิบขึ้นมา มีหลวงพ่อห้อยติดมาด้วย ผมดีใจเกือบตะโกนเหมือนคนบ้า
ผมยกมือไหว้ท่วมหัว กราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้ลูกได้กลับมาบูชาอีกครั้ง คนที่เห็นเหตุการณ์ที่ฝั่งก็ไม่อยากเชื่อ
ทั้งแฟนและลูก ก็ไม่อยากเชื่อว่าเราจะหาท่านเจอได้ ทะเลกว้างใหญ่ แถมคลื่นก็แรงพอจะพัดจมหายไป แต่ผมก็หาเจอ
นี่เป็นประสบการณ์ที่ตัวเองประสบมากับตัวเอง ส่วนตัวจริงๆ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เท่าไหร่
เชื่อแต่ความดี ความชั่ว บุญกับบาปเท่านั้น แต่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมถึงกับศรัทธาด้วยใจจริงเลยครับ
ผมแค่อยากบอกว่า ไม่ว่ารุ่นไหนๆ ถ้าเป็นของหลวงพ่อแท้ๆ ตั้งจิตและใจที่ดี ผมว่าหลวงพ่อท่านก็เมตตาทุกคนแหละครับ
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๑๔ ๑๑ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓ #๖๔๕
ช่วงนี้ได้ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับหลวงพ่อเกษม เขมโกมาเยอะเพราะสายข่าวที่เล่าให้ฟังนั้นแน่นปึ้ก ก็อาจารย์เอก ขอนแก่นได้พบพี่ท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเกษมในยุคแรกๆ ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะชื่อว่าพี่สมศักดิ์
พี่เล่าให้ฟังว่า เหรียญระฆังหลวงพ่อเกษม เขมโกปี ๒๕๑๖ นั้นหลวงพ่อไม่ได้เสกให้ เพียงคนสร้างมาบอกแล้วเปิดกล่องให้หลวงพ่อเกษมดู หลวงพ่อดูแล้วก็บอกว่า…อือ..แค่นั้น แล้วก็พรมน้ำมนต์ให้
อันนี้พี่เขาเล่ามาอย่างนี้ ขนาดแค่ดูแล้วอือแค่นั้น ประสบการณ์ตอน ๑๖ ตุลาก็มีพอให้เหรียญระฆังดังแล้ว เพราะลูกหลานคนลำปางในเหตุการณ์รอดชีวิตมาได้
พี่สมศักดิ์เล่าต่ออีกว่าในคราวนั้น พี่ขอหลวงพ่อเกษมสร้างเหรียญเพื่อนำไปเป็นที่ระลึกในงานทอดกฐินวัดเขาบ่อแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ในปี ๒๕๑๖ หลวงพ่อเห็นเหรียญแล้วเป่าให้ คือมนต์ให้ เหรียญรุ่นนี้สร้างไม่มากเพียงพันสองพันเหรียญ
ผมกับอาจารย์เอกมานั่งคิดขนาดแค่ดูยังศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น แล้วถ้าถึงกับเป่าให้คิดไม่ถูกว่าจะขนาดไหน ผมจึงสอบถามไปกับสายตรงที่รู้จักมักจี่กัน คือพี่เอก ลำปาง หรือที่ลำปางเขารู้จักกันในนาม “เอก นักกล้าม” ก็บอกว่ามี หาไม่ง่าย นานๆ จะเห็นเข้ามาในสนามที วันนี้ผมขอเขียนบันทึกไว้ก่อน กลัววันข้างหน้าจะลืม หรือกลับกลายเป็นอัลไซเมอร์จะจำไม่ได้หรือจำแบบผิดๆ ถูกๆ
แถมภาพหลวงพ่อมนต์เหรียญกองพันเชียงใหม่ปี ๒๕๑๘
หลวงพ่อเกษมมนต์เหรียญกองพันเชียงใหม่ปี ๒๕๑๘
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๑๘ ๑๑ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓ #๖๕๘
- พระบูชาหลวงปู่เกษม เขมโก บูชาเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๗ ซึ่งวันนั้นมีพิธีมนต์ของหลวงปู่
- บูชาแล้วได้นำกล่องใส่พระมาเปิดดู แล้วถอดสายสร้อยทองคำ ๒ บาทที่ห้อยล็อกเก็ตหลวงปู่เอาไว้ ใส่ลงไปในกล่อง แล้วนำไปวางไว้กับวัตถุมงคลที่มนต์ในวันนั้น
- หลังหลวงปู่มนต์เสร็จท่านเข้าไปในกุฏิของท่านแล้ว กล่องที่ใส่พระและสายสร้อยทองคำหายไปจากที่วางไว้
- ถามหาคนในพิธีก็ไม่มีใครเห็น
- ผมไปยื่นข้างกุฏิของหลวงปู่ที่อยู่ใกล้ทางเดินพนมมือบอกหลวงปู่ในใจว่า "หลวงปู่คนเขาเอาของผมไปแล้ว หลวงปู่ช่วยตามคืนมาให้ผมด้วย"
- ๑๕ นาทีผ่านไปก็ไม่มีวี่แววใครนำมาคืน จึงเดินไปหา คุณดาว ลำปาง ลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เป็นกรรมการในพิธีด้วย พร้อมบอกลักษณะของสิ่งของคือ "กล่องนั้นมีสายสร้อยทองคำห้อยล็อกเก็ตของหลวงปู่อยู่ด้วย
- ขณะที่คุณดาว ลำปาง กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งถือกล่องใส่ถุงมา ซึ่งผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นของผม
- เด็กวัยรุ่นคนนั้นนำกล่องส่งให้คุณดาว ลำปาง แล้วบอกว่าหยิบติดไป คุณดาวจึงส่งให้ผมตรวจดู ปรากฏว่าทั้งพระและสายสร้อยทองคำห้อยล็อกเก็ตอยู่ครบ
- ผมพนมมือไหว้ขอบพระคุณหลวงปู่ที่ท่านเมตตาตามมาคืนให้ผม
- จึงขอน้อมนำภาพถ่ายรูปบูชาของหลวงปู่มาแสดงให้เพื่อนสมาชิกได้ชมกันครับ
โพสต์โดย อุตตฺโม เมื่อวันที่ ๒๑ ๑๑ ๒๐๑๐ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๔ #๖๗๒
อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kiati_sak
[พี่ kiati_sak ครับรุ่นนี้ข้างหลังเขียนว่าไตรมาส ๓๗ หมายความว่าหลวงพ่อปลุกเสก ๑ ไตรมาสหรือเปล่าครับ รบกวนด้วยครับไม่รู้จริงๆ ขอบคุณมากครับ]
- หลวงปู่มนต์ให้ในไตรมาสจริง ๆ
- ตามภาพถ่ายของนิตยสาร "ศักดิ์สิทธิ์" ในช่วงนั้น มีภาพถ่ายวัตถุมงคลชุดนี้ หลายอย่างใส่กล่องวางไว้ข้างกุฏิของหลวงปู่ที่ด้านหลัง แล้วผูกสายสิญจน์โยงเข้าไปในกุฏิของหลวงปู่ผ่านช่องด้านหลังไปไว้ที่จำวัดของหลวงปู่ เพื่อให้หลวงปู่จับสายสิญจน์ มนต์ให้ทุกวันในระหว่างไตรมาส
- ผมยังบูชาเก็บไว้แต่เป็นเนื้อผงธูปครับ.
โพสต์โดย neeranut เมื่อวันที่ ๐๖ ๐๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๗ #๗๔๐
เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน อาจารย์เอก ขอนแก่นโทรมาคุยกับผม เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่น่าสนใจ พอดีอาจารย์ที่ภาคฯ เดียวกันไปค้นเจอหนังสือของโลกทิพย์ที่ได้นำกล้องมาถ่าย ภาพออร่าของวัตถุมงคล มีรายชื่อพระเครื่องหลายอย่าง อย่างสมเด็จวัดๆ หนึ่งถ่ายภาพเห็นออร่าไกลถึง ๒ เมตรเป็นรัศมีรอบวัตถุมงคล มีเพียงพระเครื่องเกจิรูปหนึ่งที่ลองนำมาถ่ายภาพที่ปรากฏรัศมีไปไกลถึง ๑๐ เมตร และเป็นเพียงวัตถุมงคลหนึ่งเดียวที่มีรัศมีไกลขนาดนั้น
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เลือกพระเครื่องมาทดสอบ ไม่ได้ทดสอบมากมายอะไร พระเกจิรูปนี้คือ หลวงพ่อเกษม เขมโก และวัตถุมงคลรุ่นที่นำมาทดสอบ คือรุ่น ๗๐๐ ปีลายสือไทย ปี ๒๕๒๖ โดยนำปัจจัยไปซ่อมแซมวิหารวัดไทยชุมพล บูรณะวัดบุญยืน และสมทบมูลนิธิจำนวนหนึ่ง สำหรับวัดบุญยืนนั้นหลวงพ่อเกษมเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อนจะเดินทางออกมาอยู่ที่สุสานไตรลักษณ์ ด้วยเหตุที่เป็นเจ้าอาวาสแล้วทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านจึงสละตำแหน่งท่ามกลางการคัดค้านของทั้งพระเณรในวัด, ชาวบ้านและแม้แต่พระผู้ใหญ่เจ้าคณะอำเภอก็ดึงเรื่องลาออกจากเจ้าอาวาส จนหลวงพ่อเกษมแอบหนีจากวัดบุญยืนพร้อมกับสามเณรประเวทย์ ณ ลำปาง.
ผมไปตามอ่านเจอข้อความนี้ในเวปพุทธวงศ์ของคุณเนาว์ นรญาณ
เมื่อผู้จัดสร้างนำความขึ้นกราบเรียนขออนุญาตจัดสร้างเหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่น ๗๐๐ ปี ลายสือไทย หลวงพ่อเกษมจึงอนุมัติอนุญาตให้สร้างในทันทีด้วยความปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นที่สุด
และท่านยังได้พูดกับคนใกล้ชิดก่อนมนต์เหรียญรุ่นนี้ไว้กับปากอีกด้วยว่า
“พิธีนี้ เราจะเบ่ง (พลังปลุกเสก) ให้เป็นพิเศษ..!!!!!”
พอได้ข้อมูลจากอาจารย์เอก ผมก็เริ่มทยอยเก็บพระในสนามก็หาไม่ง่าย ที่เจอบ่อยๆ ก็เหรียญกลมใหญ่รูปพระพุทธ สำหรับเหรียญพระพุทธปางสมาธิองค์ใหญ่นั้น ผมไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อเกษมท่านได้อธิษฐานจิตหรือเปล่า เพราะในหนังสือเล่มหนึ่งให้รายละเอียดไว้เฉพาะเหรียญ รูปเหมือนผง รูปบูชาเท่านั้น
อาจเป็นเหรียญที่นำมาเข้าพิธีด้วยกันก็ได้ครับ
มาจาก เวปพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๒๗ ๐๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๙ #๗๗๑
ตามปกติแล้วหลวงพ่อเกษมท่านจะนั่งบำเพ็ญธรรมในที่กลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าฝนหรือหน้าหนาว อากาศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดท่านจะไม่หวั่นไหวไปกับมัน
- ดังเรื่องสมัยที่ท่านบำเพ็ญธรรมอุกฤษฏ์ หลวงพ่อท่านจะออกจากอาศรม (กระท่อมที่ศาลาวังทาน) ออกไปนั่งอยู่กลางแจ้ง โดยไม่มีจีวรมีเพียงแต่สบงกับผ้าอังสะเท่านั้น ท่ามกลางแสงแดดเดือนเมษายนที่จัดว่าร้อนแรง สามารถเผาผลาญผิวหนังของคนเราให้ไหม้เกรียมได้
- แต่หลวงพ่อท่านก็สามารถนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน ๆ จนกระทั่งชาวบ้านที่ทราบข่าวคราวเกิดความเป็นห่วง หลายคนที่เห็นหลวงพ่อเป็นอย่างนั้น ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหวปล่อยโฮออกมา
- หลายคนที่ไปซื้อร่มขนาดใหญ่มากางกั้น แต่นั่นไม่ใช่ความประสงค์ของหลวงพ่อ ท่านมักจะกล่าวว่า "เมื่อมันร้อนเราก็อย่าไปร้อนตามมัน" เพียงเท่านั้น นั่นคือคำสอนของหลวงพ่อ เพราะโดยปกติแล้วท่านจะพูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นชาวบ้านก็ต้องเอาร่มออกจากสถานที่ที่นั่งวิปัสสนาของท่าน.
- แม้ถึงหน้าฝนย่างเข้ามา หลวงพ่อเกษมท่านก็ยังคงดำเนินการประพฤติปฏิบัติธรรมกลางแจ้งเสมือนหน้าร้อนที่ผ่านมา
- เรื่องนี้เป็นที่หนักใจแก่ผู้ที่ได้ไปประสบพบเห็น
- แม้แต่ขณะที่ท่านฉันภัตตาหารหลวงพ่อก็ไม่เข้ามากระทำภัตตกิจในอาศรมหรือกระท่อมของท่าน ท่านฉันขณะที่น้ำฝนยังหล่นลงในบาตรของท่าน แต่หลวงพ่อยังไม่หวั่นไหว
- มีหลายคนที่อดทนเห็นเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นไม่ได้ นำความเข้าไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อมักจะตอบสั้น ๆ เพียงว่า "เรากำลังสอบ"
- ซึ่งคำว่า "จะสอบ" ของหลวงพ่อนั้นเป็นปริศนาสำหรับผู้คนอยู่ ท่านจะสอบหรือทดสอบตัวของท่าน หรือว่าท่านกำลังทดสอบการขัดเกลาอาสวกิเลสของท่านอยู่ ไม่มีผู้ใดตอบได้ นอกจากจิตใจของหลวงพ่อเองเท่านั้น
- พออย่างเข้าเขตอากาศหนาว หลวงพ่อท่านยังคงบำเพ็ญตบะธรรมของท่านท่ามกลางแจ้ง แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บ
- ผู้คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ต้องหาผ้าห่มขนาดหนามาปกคลุมห่อร่างเพื่อกำจัดความหนาว แต่หลวงพ่อเกษมท่านกลับยังคงนั่งท่ามกลางสายหมอกที่เย็นยะเยือกอยู่อย่างนั้นในร่างของท่านมีเพียงผ้าสบงกับอังสะเท่านั้น
- หลวงพ่อยังคงนิ่งสงบราวกับว่าอากาศที่หนาวสั่นนั้นไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำลายจิตใจของท่านให้หวั่นไหวหรือเกิดวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น
- ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีผู้ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อไม่หนาวหรือ" ท่านก็มักจะตอบข้อถามทำนองเดียวกับผู้ที่ถามท่านครั้งก่อน ๆ ว่า "เมื่อมันหนาว เราก็อย่าไปหนาวตามมัน เรากำลังสอบ..."
- จะเห็นได้ว่าจิตใจของหลวงพ่อนั้นเด็ดเดี่ยว เข้มแข็งเหมือนกับหลักหินที่ไม่ได้ไหวติงเพราะอำนาจกิเลส หรือความต้องการใด ๆ จิตของหลวงพ่อเข้มแข็ง พอที่จะต่อสู้กับอำนาจแห่งความต้องการอันเป็นกิเลสอย่างหนักหนาให้เบาบางลงได้โดยลำดับ
- ถึงหลวงพ่อท่านจะเป็นผู้มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมท่ามกลางแดด ฝน ลม และอากาศหนาว จนกระทั่งหนึ่งปี
- แต่หลวงพ่อไม่ยอมที่จะทำการสรงน้ำ ซึ่งวันที่หลวงพ่อสรงน้ำนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อทุกคนได้เข้าไปใกล้หลวงพ่อต่างก็มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า "ร่างกายของหลวงพ่อท่านนั้น ไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนอย่างร่างของคนทั่วไปที่ไม่เคยชำระล้างเลยตลอดระยะนานถึงหนึ่งปี"
- แต่ผิวหนังของหลวงพ่อนั้นเมื่อถูกน้ำและได้รับการขัดถู ผิวหนังของท่านจะกะเทาะออกเป็นขุย แต่ไม่มีกลิ่นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
- อาหารเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งมีชีวิต ซึ่งขาดอาหารไม่นานวันก็ต้องเสียชีวิต
- ในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับการงดเว้นอาหารของหลวงพ่อเกษมนั้น เป็นที่กล่าวขานกันมาว่า "หลวงพ่อเกษมเคยไม่ฉันอาหารเป็นเวลานานถึง ๔๙ วัน" ท่านรับเฉพาะน้ำเท่านั้น
- หากเป็นปุถุชนคนธรรมดาแล้วย่อมกระทำได้ยากยิ่ง ข่าวคราวเรื่องนี้เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ที่ได้รับรู้ มีผู้คนเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อและได้รู้เห็นความเป็นไป
- นอกจากการอดอาหารเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว หลวงพ่อเกษมท่านยังสามารถฉันอาหารที่บูดโดยไม่เกิดเป็นพิษภัยใด ๆ ต่อร่างกายของท่านอีกด้วย ซึ่งในข้อนี้เป็นที่รู้กันในมวลหมู่ผู้ที่อยู่ละแวกนั้นมานาน.
โพสต์โดย อุตตโม เมื่อวันที่ ๒๙ ๐๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๙ #๗๗๙
- กิจประจำวันอย่างหนึ่งในการประพฤติปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อเกษม คือ การที่ท่านออกไปนั่งข้างหลุมฝังศพ หรือไม่ก็ไปนั่งที่ใกล้เชิงตะกอน เพื่อพิจารณาอสุภกรรมฐาน
- แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปขนาดใดก็ตาม หากผู้ที่เดินผ่านศาลาวังทานก็จะได้เห็นหลวงพ่อหากว่าเป็น "ผู้ที่ช่างสังเกต"
- การนั่งภาวนาพิจารณาธรรมข้างหลุมฝังศพหรือใกล้เชิงตะกอนนั้น ท่านจะไม่กระทำเหมือนอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกัน แต่ลักษณะของหลวงพ่อเกษมนั้น ท่านจะนั่งกบ หรือภาษาถิ่นเรียกว่า "มูบ" มีลักษณะนอนคู้คว่ำหน้าราบกับแผ่นดิน เท้า และมือคู้เข้าลักษณะเหมือนกบ แล้วท่านจะเอาจีวรคลุมร่างของท่านไว้ ทำการภาวนาไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ว่าจะมีฝนตก ลมหนาวอย่างใด หลวงพ่อเกษมท่านก็จะไม่ลุกออกจากอาการอย่างนั้น
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๐๗ ๐๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๔๑ #๘๐๓
หลวงพ่อเคยพูดว่า "เฮาขายดี แต่ขาดทุน"
หมายถึง เวลาทุกวันแขกมาเยี่ยมท่านมาก ท่านจึงขายดี แต่ท่านขาดทุน คือไม่มีเวลาได้ปฏิบัติธรรม
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๑๗ ๐๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๔๒ #๘๒๕
บันทึกเหตุการณ์บางส่วนของวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗
- วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ เป็นงานเกี่ยวกับงานบุญวันคล้ายวันเกิดครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ได้มาปรากฏในพิธีมนต์
- วันคล้ายวันเกิดที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ หลวงปู่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านเข้าโรงพยาบาลโดยออกจากสุสานไตรลักษณ์เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๘ จนถึงวันมรณภาพวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๙ หลวงปู่จึงได้กลับมาสุสานไตรลักษณ์หลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว
- ส่วนวัตถุมงคลที่ออกระหว่างวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๘ จนถึงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๙ ได้ให้พระเกจิในจังหวัดลำปางและใกล้เคียงปลุกเสกแทน จำได้ว่าเป็นหลวงปู่แว่นองค์หนึ่ง
- แต่มีพระที่หลวงปู่มนต์ตามภาพถ่ายที่ผมเห็นมีวัตถุมงคลรุ่นขันธ์ ๕ ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท สร้างจำนวน ๕,๐๐๐ องค์ที่เอาไปวางไว้ข้างเตียงหลวงปู่เกษมที่ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลและหลวงปู่นอนจับสายสิญจน์ แต่จะมีรุ่นใดอีกบ้างไม่แน่ใจ
- ภาพที่ลงไว้นี้เป็นภาพของหลวงปู่ในวันคล้ายวันเกิดที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ "หลวงปู่อมท๊อฟฟีไว้ในปาก"
- วันนั้นผมนั่งร่วมอยู่ในพิธีด้วย มีรายการสร้างพระผงของหลวงปู่ที่ผสมกับกระดูกของหลวงปู่ที่หมอได้ผ่าตัดเอาออกจากบริเวณหลังไว้นานแล้ว และผสมเกศา มวลสารต่าง ๆ สร้างจำนวน ๘๔ องค์ โดย ๘๓ องค์แรกให้บูชาองค์ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งผมจำได้มี "คุณสรพงษ์ ชาตรี" บูชารุ่นนี้ไปด้วย แต่จะบูชากี่องค์ไม่ทราบ
- ส่วนองค์ที่ ๘๔ เปิดให้ประมูลกันโดยผู้ได้ราคาสูงสุดได้ไป
- ประมาณบ่ายสี่โมงเย็นกว่าหลวงปู่เกษมได้ออกมานั่งที่นั่งของท่านที่จัดไว้ที่รูปเหมือนยืนองค์ใหญ่บริเวณลานของสุสานฯ โดยมีบรรดาลูกศิษย์นั่งล้อมรอบ ตัวผมนั่งอยู่ไกลจากที่หลวงปู่นั่งไกลมาก
- หลวงปู่ได้มนต์วัตถุมงคลได้พักหนึ่ง ก็มีการประมูลพระผงองค์ที่ ๘๔ กัน ซึ่งผู้ที่ได้ให้ราคาสูงสุดในวันนั้นประมูลไปในราคา "หกแสนกว่าบาท" แต่กว่าเท่าใดจำไม่ได้ โดยเป็นพระที่เหลี่ยมทองห้อยอยู่กับสร้อยคอทองคำหนัก ๕ บาท หลวงปู่ได้ประสิทธิประสาทและคล้องคอให้กับผู้นั้นกับมือหลวงปู่ครับ
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๒๐ ๐๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๔๒ #๘๓๐
อ้างอิง: ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ charoen.b
[ขอรบกวนท่านอุตตโมเพิ่มเติมรายละเอียดพระรุ่นขันธ์ ๕ ให้สักหน่อยครับ]
- ครับ...พระของหลวงปู่รุ่นนี้เป็นรุ่นที่หลวงปู่ได้อนุญาตให้จัดทำขึ้นในปี ๒๕๓๘ ก่อนที่หลวงปู่จะเข้าโรงพยาบาล วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๘ โดยนำเอา เส้นเกศา ฟันหลวงปู่ที่หักแล้วเก็บไว้มาบด เล็บหลวงปู่ที่ตัดเก็บเอาไว้ จีวรที่หลวงปู่ใช่จนเก่านำมาร่วมกับมวลสารต่าง ๆ แล้วกดพิมพ์เป็นองค์พระ
- ขณะกดองค์พระโยงสายสิญจน์ให้หลวงปู่จับ ซึ่งท่านก็ได้ภาวนาอธิษฐานจิตไปด้วย สร้างทั้งหมด ๕,๐๐๐ องค์ องค์ละ ๑๐,๐๐๐ บาท ลูกศิษย์ตั้งใจจะให้หลวงปู่มนต์ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่หลวงปู่เกิดหัวใจหยุดเต้น นิ่งไปนาน จำได้ว่าคุณดาว ลำปาง เป็นคนนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ปั๊มหัวใจท่านจนฟื้น ซึ่งก็ปรากฏว่า "หลวงปู่พอฟื้นก็สวดมนต์ภาวนาเสียงเบา ๆ" ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ซึ่งการนิ่งไปโดยหัวใจหยุดเต้นก็คงเป็นผู้นิทราหรือฟื้นขึ้นมาก็คงไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว
- เนื่องจากพระมีราคาแพง แม้จะได้รับการอธิษฐานขณะกดพิมพ์แล้ว ลูกศิษย์จึงต้องนำไปให้หลวงปู่มนต์ที่โรงพยาบาล แล้วถ่ายภาพยืนยันว่าหลวงปู่มนต์จริงครับ
- อย่าคิดอะไรมากครับ ผงฟันของหลวงปู่หาได้ที่ไหน ผงเล็บอีกด้วย เส้นเกศาของสูงของหลวงปู่ และหลวงปู่ก็อธิษฐานจิตแล้ว
- ภาพพระที่ท่านลงไว้ผมยังเห็นผงฟันสีขาว ๆ ปรากฏอยู่เลย เหมือนกระดูกแต่เป็นผงฟัน และบางจุดจะเห็นผงเล็บครับ.
- เพิ่มเติมครับ หนังสือพระเครื่องอภินิหาร เล่มที่ ๑๓๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ หน้าที่ ๒๖ ลงพระรุ่นนี้ไว้ ซึ่งเจ้าคุณธงชัยให้บูชาองค์ละ ๓๐,๐๐๐ บาทครับ (ซื้อมาอ่านนะครับ)
- แต่จะมีการแก้ไข ใบอนุญาตอะไรของหลวงปู่ในนั้น ไม่ต้องสนใจครับ "บางทีการที่พยายามทำให้เชื่อ จะทำให้คนอื่นไม่เชื่อเอา"
โพสต์โดย Bob deland เมื่อวันที่ ๒๖ ๐๔ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๔๗ #๙๒๖
สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัว ผมชื่อ Bob นะครับอยากหา web ที่พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ ของหลวงพ่อเกษม เขมโกมานานแล้วครับ โชคดีที่มาเจอ Web นี้
ผมจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเหรียญแตงโมของหลวงพ่อเกษม ให้ดังนี้นะครับเมื่อประมาณ ปี ๒๕๒๗-๒๕๒๙ เห็นจะได้ ตอนนั้นผมอยู่กับป้าแถวราชวัตร มาช่วยแก เพราะตอนนั้นยังหาที่เรียนไม่ได้ ตัวผมเองก็เป็นเด็กราชวัตร ตอนนั้นร้านผัดไทย-หอยทอด คุณประยูรอยู่แถว สี่แยกราชวัตร สมัยก่อนยังมีโรงหนังดุสิตอยู่ ผมกับเพื่อนชื่อ ไอ้ตี๋ ได้กินนอนอยู่ที่ร้านของป้า วันนั้นพ่อของญาติของผมได้นำพระมาให้กับลูกชายเค้า และลูกชายคนนี้ก็ได้ให้พระกับเพื่อนผมคือไอ้ตี๋นี่แหละ เพราะไอ้ตี๋มันมีนิสัยห้าวมาก ตัวใหญ่ ฉายา คือตี๋ซ่า นาซี ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไร อยู่มาวันหนึ่งผมกับเพื่อนรักกัน ทั้งหมด ๓ คน ได้ไปดูหนังที่โรงหนังดุสิตนี่แหละ วันนั้นรับกลับกันมา ประมาณสัก ๕ ทุ่มได้เดินมาจากโรงหนังถึงสี่แยกราชวัตรไม่ไกล ประมาณ สัก ๕๐๐ เมตร
ระหว่างที่กำลังเดินกลับ ไอ้ตี๋ได้เดินชนไหล่กันกับวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่ใน ซอยสันติสุข (ซึ่งสมัยก่อนเด็กราชวัตรจะไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว) "เฮ้ย..มึงเจ๋งเหรอ มึงรอกูเดี๋ยว"
ไอ้วัยรุ่นคนนั้นวิ่งไปที่หน้าโรงหนัง พวกเรารอมันอยู่ มันวิ่งกลับมาที่พวกเราอีกครั้ง "พวกมึงซ่านักเหรอ"
มันดึงมีดออกมาจากด้านหลัง พุ่งตรงเข้าใส่ไอ้ตี๋เพื่อนผมอย่างที่ไม่ทันตั้งตัวเต็มหน้าอก พวกเราตะลึงมาก (เสียงดัง เก๊งๆ ๆ ๆ ) ผมมองลงไปยังพื้นถนน มีดหักครับ ไอ้คนแทงก็งง พวกผมก็งง พอเราตั้งสติได้ก็เลยไล่ รุมกระทืบมัน ตอนหลังไอ้ตี๋มันหนีลงไปใต้ มันได้วางพระไว้บนหลังตู้เย็นผมไปเจอเข้า คือเหรียญแตงโม เนื้อนวะ ผมจึงจำเหตุการณ์คืนนั้นได้ ไอ้ตี๋ห้อยพระองค์นี้อยู่ ซึ่งจริงแล้วมันเป็นคนที่ไม่ชอบห้อยพระ ผมจึงอาราธนาติดตัวและค้นค้าหาประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโกเรื่อยมา
สมัยนั้นมีนิตยสาร ศักดิ์สิทธิ์ ได้ลงประวัติของหลวงพ่อเกษมเรื่อยมา จนท่านละสังขาร วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๙ และหลังจากที่ผมห้อยเหรียญ หลวงพ่อเกษม ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกกับผมมากๆ ทุกวันนี้ใครไม่เก็บหลวงพ่อเกษม ผมเก็บ และเก็บมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นเก่าใหม่ ผมเก็บ โดยเฉพาะ เหรียญแตงโม เหรียญแตงโมทองแดง บล็อกนิยมผมจะบอกให้ครับ ตรงด้านหน้าเหรียญหลวงพ่อปลายจีวรตรงกลางนะครับพิมพ์นิยม จะมี ก ตัวเล็กอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นบล็อกเดียวกับบล็อกทองคำครับ ทั้งบ้านผมมีแต่หลวงพ่อเกษม เขมโก แม้กระทั่งรูปภาพ มีเวลาผมจะนำรูปถ่ายวัตถุมงคลที่ผมมีมาให้ชมครับ และยังมีเรื่องให้ฟังอีกมาก ...
นี่และครับ ที่ผมตั้งหัวเรื่อง ว่า พ่อ พ่อเกษม เขมโก ผมขอให้ท่านเป็นพ่อของผมเลยครับ ขอบคุณ
Bob deland
โพสต์โดย Bob deland เมื่อวันที่ ๒๗ ๐๔ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๔๗ #๙๓๔
ผมจะขอเล่าประสบการณ์ต่อเลยนะครับ ไม่งั้นผมอึดอัดแย่ สังฆะ รูปัง วันทามิหัง กราบขอขมาหลวงพ่อด้วย
หลังจากที่ผมได้ห้อยเหรียญแตงโม และได้เริ่มศึกษาหาประวัติของหลวงพ่อ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะหาได้ที่ไหน อยู่มาวันหนึ่ง ผมได้นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่บ้านกับเพื่อน ชื่อแก้ว ซึ่งแต่ก่อนจะมีเพื่อนมาหาทุกวัน ตอนนั้นเรียน ปวช.แล้ว ก่อนมีเพื่อนอีกคนหนึ่งมาร่วมวงสบทบอีกคน ชื่อเตี้ย (ปัจจุบันเพื่อนคนนี้ยังบวชไม่สึกอยู่ที่ชัยภูมิ) ได้ชักชวนไปกับเพื่อนอีกคนที่สาทร (ชื่อแดง ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว) อยู่ที่ซอยโรงถ่านแถวสาทร วันนั้นไปถึงในซอยของเพื่อน คือพวกเพื่อนของแดงในซอยกำลังเตรียมรถบัสจะไปงานบวชของเพื่อนแดงที่อยุธยา ซึ่งพวกผมไม่รู้จักเพื่อนของแดง แต่ได้แนะนำให้รู้จักเป็นบางคนเท่านั้นไปกัน ๒ คันรถได้ ซึ่งมีคนเยอะมากเต็มรถ ทั้ง ๒ คัน (ผมขอแนะนำอีกครั้ง กลุ่มของผมเด็กราชวัตร จะมีเพื่อนที่รักกันมากอยู่ ๕ คนคือ ไอ้ตี๋ ไอ้แก้ว-เสียชีวิตแล้ว ไอ้เปา-เสียชีวิตแล้ว ไอ้พล และผม คือมึงยังไง กูยังงั้น )
ตอนนั้นรถไปถึงที่วัด ผมจำชื่อวัดไม่ได้ในตอนเย็น เพื่อนชื่อแดงได้ชวนไปพักที่บ้านของน้องสาวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก เราจึงไปกันและได้ดื่มกันต่อ รอที่จะไปทำขวัญนาคกันที่วัด วันนั้นน้องสาวของแดงได้ทำกับข้าวให้พวกเราแกล้มเหล้า คือหนูผัดกะเพราแบบเผ็ด ๑ จาน และแบบหวาน ๑ จาน ผมเด็กกรุงเทพ บอกตรง ผมไม่เคยกินเลย เพื่อนๆ ก็คะยั้นคะยอให้กิน ก็เลยต้องกิน เดี๋ยวจะหาว่ารังเกียจ
วันนั้นซัดกันจนเกลี้ยง ก็ได้เวลาที่จะไปวัดแล้ว เพื่อนๆ ก็ไปอาบน้ำกัน เป็นน้ำคลองครับ ผมอาบเป็นคนสุดท้าย เพราะผมว่ายนำไม่เป็น ระหว่างที่อาบน้ำ ผมจะอยู่แค่ริมๆ พอดำไปดำมาถูสบู่แล้วก็พบว่าเหรียญแตงโมหลวงพ่อเกษม เนื้อนวะ ได้หลุดหายไปเหลือแต่เชือกร่ม ผมตกใจ รีบดำหาพระหายังไงก็ไม่เจอ ผมร้องไห้โฮเลย
เพื่อนก็บอก "ไอ้บ๊อบทำไมมึงอาบนานจังวะ"
มันก็วิ่งมาดูเพราะพวกมันรู้ว่าผมว่ายนำไม่เป็น (๕ ๕ ๕) มันเห็นผมร้องไห้ ดำไปดำมา ตอนนั้นฟ้าเริ่มมืดแล้ว
"พระกูหาย ฮือๆ ช่วยกูหาหน่อย"
เพื่อนก็ลงมาช่วยงม "เฮ้ย! ไม่เจอหรอกว่ะ ไปกันเถอะ ได้ยินเสียงเพลงในงานแล้ว"
ผมยังไม่หยุดร้อง ไอ้แก้วมันเข้าใจผมมากที่สุด พอไปถึงที่วัดก็มีคนเต็มไปหมด แล้วก็มีรำวงด้วยพวกผมก็ตรงไปที่มีรำวงทันที กินกันไปมา ผมก็ไปซื้อลูกชิ้น ในงานมาแกล้มเหล้า ก็มีสาว ๆ มาแซว ว่า "ขอกินลูกชิ้นด้วยซิ "
ผมก็ยื่นให้
"ขอหมดเลยนะ" (ผมค่อนข้างหน้าตาพอใช้นะ ๕๕) ไปมาเริ่มปิ๊งผมหล่ะซิ
ผมมาทราบอีกทีจากเพื่อนชื่อแดงว่า เด็กในซอยกู ที่ผมติดรถมากับพวกเขา งานผ่านไปจนดึกเริ่มได้ที่ และแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ระหว่างที่ผมถือแทมมารินอยู่นั้น ก็มีพวกวัยรุ่นประมาณ ๕ คนมาที่ผม
"เฮ้ย! กูขอตีแทมมารินหน่อยเด่ะ"
ผมไม่ให้มัน ตอนนั้นไอ้แก้วมันรู้แล้วว่ามีเรื่องแน่ มันก็คอยระวังอยู่แล้ว ๑ ในนั้นเข้ามายื้อแย่ง แทมมารินที่มือ ก็ได้มีการกระชากกันเกิดขึ้น อีกคนมาข้างหลัง มันกะโดดถีบผมเต็มที่เลย ไอ้แก้วแม่งชารต์ไอ้คนนั้นทันที ตอนนี้อะไรก็ไม่รู้ นัวกันทั้งงาน ไม่รู้ใครเป็นใครกันมั่ง ใครเข้ามาผมลุยเต็มที่ เราหันหลังชนกันเหมือนในหนังเลย
ผม ๒ คน อยู่ในวงล้อมครับตอนนี้ ผมเลยบอก "แน่จริง วัดกันตัวๆ อย่าหมาหมู่"
มีผู้ชายคนนึงท่าทางมีอายุแล้วเดินเข้ามา ตบผมอย่างแรง ผมพยามสู้และ ฮึดฮัด ก็มีพวกเข้ามาประกบผม (ทราบตอนหลังว่าเป็นเจ้าถิ่น ) แล้วพาผมไปในวง สอบถามเรื่องราว ผมก็ได้เราให้เค้าฟังว่า ผมอยู่กรุงเทพ ติดรถเพื่อนของเพื่อนมางานบวชที่อยุธยา ตอนนั้นเหลือผมกับไอ้แก้ว
พวกเจ้าถิ่นบอกประทับใจ มึง ๒ คนมาก มึงจำหน้ามันได้ไหม ผมบอกจำได้ วันนั้น ผมเข้าไปเคลียร์กับไอ้แดง ถามหาคนที่มันเล่นงานผม จ้าวถิ่นอยู่ข้างหลังเพียบ หายังไงก็ไม่เจอทั้งวัด พวกเจ้าถิ่นอีกคน ขับมอเตอร์ไซด์มาพร้อมซ้อนประกบไอ้คนที่หาเรื่องผม ได้ที่ท่ารถ บขส. เห็นเสื้อผ้ามันขาดและมีรอยเลือดจึงพามันมา
ใช่มันจริงๆ ด้วย
ทันทีที่มันลงจากรถ มันยกมือไหว้ ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง ใส่มันจนเดี้ยง เล่นเอาจนผมขาแพลง เดินเขยกเลย
แล้วเราก็ไปกินต่อที่บ้านจ้าวถิ่นเดินสะพานข้ามคลองไป ผมก็ขึ้นไม่ไหว ไอ้แก้วมันให้ผมขี่หลัง กินกันยันเช้าก็ได้ยินเสียงแห่นาค เพราะข้ามคลองไป เดินไปอีกหน่อยก็เป็นวัด วันนั้นหลังจากกินกันจนบ่าย ๒ จึงขอตัวกลับกรุงเทพ ซึ่งพวกที่มารถบัสกลับไปกันหมดแล้ว พวกเจ้าถิ่นบอก ผมจำชื่อพี่แกไม่ได้ ระหว่างที่เดินข้ามสะพาน "เฮ้ย...! พวกมึง ๒ คน มีลูก กูขอตัวนึงนะโว้ย"
วันนั้นผมกลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โบกรถ บขส. ก็จอดไกลมาก ขาผมก็เจ็บ ไอ้แก้วมันวิ่งไปดักหน้ารถไม่ให้รถออก ผมก็กะเผลกมาขึ้นรถ คนก็แน่น ผมยืนไม่ไหวก็เลยขอเบียดเค้านั่ง ไอ้แก้ว มันดูแลผมตลอด พอกลับถึงบ้านเราแยกกัน
ไปถึง แม่ก็บอก "มีเรื่องกันมาอีกแล้วซิ" (ช่วงไฮไลท์ )
ผมร้องไห้บอกแม่ หลวงพ่อเกษมหายไปแล้ว และพูดขึ้นว่า "หากผมยังมีบุญขอให้ผมได้พระหลวงพ่อเกษมแบบนี้อีก พิมพ์นี้อีก" แล้วน้ำตาก็ไหล
ผมหลับไปประมาณสักชั่วโมง ๑ ได้ ก็ได้ยินเสียง เรียก "ไอ้บ๊อบ บ๊อบ ๆ"
ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นไอ้แก้วมันมา แล้วมันก็บอกว่า "เฮ้ยมึงแบมือสิ"
ผมก็แบมือ มันกำมือแล้วปล่อยลงมาที่มือผม "กูให้มึง"
พอผมเห็นเท่านั้นหละครับ ผมวางเหรียญลงที่พื้นแล้ว ก้มลงกราบที่เหรียญ ๓ ครั้ง เป็นเหรียญแตงโม หลวงพ่อเกษม ครับ สภาพสวยเป็นเหรียญทองแดงครับ
"เฮ้ยมึงได้มาได้ไงวะ"
"กูนั่งกินเหล้าอยู่ที่บ้าน มีลุงมาปล่อยกู กูให้แกไป ๕๐ แล้วก็รีบมาหามึงเนี่ย"
(ตอนนั้นผมอึ้งเลยครับแล้วนึกถึงหลวงพ่อ ไม่นึกไม่ฝันว่า ทำไมผมได้มาตามที่อธิษฐานเร็วยิ่งนัก) ผมขอบใจเพื่อนเป็นอย่างมาก นี่ไงครับหลวงพ่อทำสิ่งที่อัศจรรย์ใจผมจริงๆ
และอีกเรื่องหนึ่งนะครับที่เกิดขึ้น วันนั้นผมชอบเดินไปซื้อของแถวหลังกระทรวงในตอนมืดๆ (หน้าสนามหลวง) ก็จะมีของเก่าๆ ขายเต็มไปหมด
ตอนนั้นสายตาผมเหลือบไปเห็นหนังสือพระเล่มหนึ่ง เป็นหลวงพ่อเกษมครับวางอยูบนทางเท้า อยู่หัวมุมร้าน คนเดินข้ามกันไปข้ามกันมา ผมจึงรีบวิ่งไปที่หนังสือหลวงพ่อเป็นหนังสือที่ออกโดย นิตยสาร "ศักดิ์สิทธิ์"
เท่าไหร่ครับ ผมถามคนขาย
๕ บาทครับ
ผมจ่ายเงินพร้อมทำความสะอาดที่ใบหน้าของหลวงพ่อทันทีเพราะมีฝุ่นเต็มไปหมดและผมก็ได้อ่านหนังสือนั้น
๒-๓ วันต่อมาหวยจะออก ผมก็เลยซื้อเลข ที่อยู่ในรูปของหลวงพ่อ ดังนี้ครับ เลขที่อยู่ในรูปของหลวงพ่อคือ ๒๘-๑๑-๙๓ ผมเลยซื้อเลข (๒๘๑) ๕๐ x ๕๐ บาท ผมทราบว่าเป็นวันเกิดของหลวงพ่อครับ ตอนนั้นผมขาดแคลนเรื่องเงินด้วย (ผมเลยขอกับหลวงพ่อครับ ช่วยผมด้วยตอนนี้ผมไม่มีเงินเลย หลวงพ่อช่วยผมด้วยนะครับ) งวดประจำวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ หวยออก ๖๖๙๒๘๑ ผมถูกตรงๆ เลยครับ ได้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ผมดีใจสุดๆ นึกถึงหลวงพ่อ...ขอบคุณครับ "พ่อ" วันนั้นผมกลับไป นำรูปหลวงพ่อที่ผมซื้อไปวันนั้นไปใส่กรอบ
วันอาทิตย์พาแฟนไปนั่งกินข้าวต้ม มีคนขายลอตเตอรี่ เดินมา (ในหนังสือที่มีรูปหลวงพ่อเล่มนั้น มีราคา เป็นวงกลม สีเหลือง ตัวเลข สีแดง ๓๐ (ซึ่งเป็นราคาของหนังสือ ศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยนั้น) ผมจึงถามคนขายว่า มีเลข ๓๐ ไหม คนขายบอกมี ๔ ใบ ผมเลยซื้อหมด และแบ่งให้แฟน ๒ ใบ งวดวันที่ ๑๖ ธ.ค. ๒๕๔๒ ข้างล่างออก ๓๐ ไม่น่าเชื่อครับผมถูก ๒ ครั้งติด ผมและแฟนดีใจมาก บารมีหลวงพ่อมีจริง ทุกวันนี้ ทั้งครอบครัวรวมถึง ลูก ๆ ผมให้ห้อยหลวงพ่อกันทุกคน ยังมีเรื่องของหลวงพ่ออีกนะครับ ของจริงๆ ทั้งนั้น แค่นี้ก่อนเห็นว่ายาวมามากแล้ว และจะมาเล่าให้ฟังพร้อมถ่ายภาพมาให้ด้วย หลวงพ่อไม่ชอบให้ใครโม้เกี่ยวกับตัวท่าน แต่พ่อแน่นอนจริงๆ
ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
Bob deland
๒๗-๔-๕๔
โพสต์โดย daychar เมื่อวันที่ ๑๘ ๐๖ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๕๓ #๑๐๔๙
คัดลอกมาฝากครับ...
มาบอกเล่าเรื่องราวของกระผมที่โดยได้สัมผัสของพระโพธิสัตว์เมืองกรุงเก่า
และพระอริสงฆ์แห่งเมืองลำปางที่ท่านทั้งสองได้แสดงความคารวะในธรรมของแต่ละท่าน
ครั้งหนึ่งที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวเมืองลำปางเพื่อไปกราบพระธาตุลำปางหลวง
ในครั้งนั้น ผมมีโอกาสได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์
พอท่านหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษมเห็นหน้าท่านก็พูดว่า 'มาจากไหน'
ตอบท่านว่ามาจากสิงห์บุรีครับหลวงปู่
ท่านก็พูดว่า
'มาจากสิงห์บุรีไปกราบขอพรหลวงพ่อดู่ แห่งเมืองกรุงเก่าหรือยังล่ะ'
ผมก็เลยตอบท่านไปว่า
'ยังไม่เคยไปครับหลวงปู่'
ท่านเลยพูดว่า
'ไปกราบท่านนะ ท่านเกิดชาตินี้ชาติสุดท้ายแล้วนะ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะลูก ไปกราบท่านนะลูก
ลูกกราบท่านเหมือนลูกกราบอีก ๑ องค์ด้วยนะลูก กราบล่วงหน้า ๑ ชาติด้วยนะลูก'
คนดูแลหลวงปู่ จึงถามว่า 'หมายความว่ายังไงขอรับหลวงปู่'
ท่านก็ตอบว่า
'ท่านก็คือพระศรีอริยเมตไตรยในชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาตรัสรู้ไงล่ะลูก'
ผมถึงกับขนลุกซู่เลยครับเมื่อได้ยินหลวงปู่เกษมพูดแบบนี้
ก่อนจะลากลับ หลวงปู่ท่านเมตตามอบผ้าสังฆาฏิ
เพื่อฝากให้ผมนำไปคารวะ (มอบให้) หลวงปู่ดู่
แล้วท่านหลวงปู่เกษม ได้เมตตามอบพระเครื่องและพระบูชา ๙ นิ้ว มาให้ผมบูชาอีกเยอะเลย
(โดยไม่ได้เช่าบูชาเลย แต่ก็ถวายปัจจัยให้หลวงปู่นะครับ)
แล้วหลวงปู่เกษมท่านก็ให้ศีลให้พรแล้วก็ลากลับสิงห์บุรี
จากบันทึกของคุณ songpol
ชุมชนคนรักหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
***
หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวณฺโณ-หลวงพ่อเกษม เขมโก
ในงานพิธีพุทธาภิเษก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔
ณ วัดนางเหลียว ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง
หลวงพ่อเกษมได้บอกกับลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ติดตามหลวงปู่โต๊ะ
องค์ที่นั่งปรกอยู่ข้างบนว่า...
“เราไหว้องค์นี้เพียงองค์เดียวก็พอแล้ว”
(ทั้งๆ ที่งานพิธีในวันนั้น มีการนิมนต์พระเกจิชั้นยอดมาร่วมนั่งปรกหลายต่อหลายองค์)
(หาภาพประกอบไม่ได้ครับ แต่เคยเห็นลงในหนังสือพระเครื่องรุ่นเก่า ในบทความอธิบายว่า
เป็นวัดนางเหลียว แต่ผมจำได้ว่าน่าจะเป็น วัดเกาะวาลุการาม อ.เมือง จ.ลำปาง...)
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๒๗ ๐๖ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๕๔ #๑๐๗๕
เหรียญรุ่นศาลากลาง..ถ้าจำไม่ผิดหลวงปู่มนต์ให้ ๕ วันครับ
ด้านหลังเหรียญอักขระคือ "สัพเพชนา สุขิตาโหนตุ....เขมโกภิกขุ"
เหรียญนี้มีคนคล้องคอองค์เดียวหลังจากพิธีมนต์ผ่านพ้นไปไม่นานหลายวัน นั่งรถยนต์ไปบนถนนสายเอเซีย สายนครสวรรค์-สิงห์บุรี ผ่านไปที่ตำบลหาดอาษา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท รถยนต์ที่นั่งไปไปชนกับรถยนต์อีกคันหนึ่ง
รถยนต์ทั้ง ๒ คัน ที่ชนกันมีคนที่คล้องเหรียญนี้รอดตายเพียงคนเดียว แบบมีเพียงรอยช้ำที่แขนเล็กน้อย นอกนั้นตายหมด
ที่ทราบเพราะ ตอนนั้นคุณพ่อผมเป็นตำรวจไปร่วมพลิกศพกับผู้บังคับบัญชา อุบัติเหตุรายนี้ และได้รู้จักว่าคนที่คล้องเหรียญนี้ มาจากลำปาง และเชื่อว่ารอดตายเพราะเหรียญนี้ เขาเอามาให้คุณพ่อผมและตำรวจที่ไปด้วยดู
หลังจากนั้นตำรวจของสภ.อ.สรรพยา จำนวนหนึ่งรวมทั้งคุณพ่อผมก็ไปบูชาเหรียญนี้ที่ลำปาง
ผมจึงเห็นเหรียญนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายอุตฺตโมอยู่เลยครับ.
โพสต์โดย riderman1 เมื่อวันที่ ๑๐ ๐๗ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๕๖ #๑๑๑๖
เห็นมีแต่คนบอกว่า เหรียญของหลวงปู่เกษม ต้องตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ ขึ้นไป แต่ผมกลับมีประสบการณ์กับเหรียญรุ่นปี ๒๕๓๕ (เหรียญรุ่นบารมี ๘๑) ซึ่งได้ความทีหลังว่า พล.ต.ท.ชุมพล อัตถศาสตร์ ซึ่งเป็น รอง อตร. (ในสมัยนั้น) ทำแจกตำรวจที่ภาคเหนือ โดยนำไปให้ ลป.เกษม ปลุกเสกให้ และเพื่อนผมก็นำมาให้ผมอีกทีหนึ่ง และผมก็ห้อยเพียงองค์เดียว เพราะสร้อยมันแขวนได้องค์เดียว
วันนั้นผมไปดื่มสุรากับเพื่อนจนเมา แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์กลับ ผมกลับรถที่เกาะกลางถนน แล้วไปโดนรถตู้ชนท้ายแบบจัดให้เต็มๆ เสียงเบรกได้ยินสนั่นเลยครับ เอี๊ยด......ตูม
รถมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปทาง ผมกระเด็นไปทาง ตอนนั้นประมาณตีสี่ มีคนกวาดถนนวิ่งเข้ามาเอา ตี...น เขี่ยที่ตัวผม คงนึกว่าผมตายแล้วมั้ง เพราะมอเตอร์ไซค์มันพังยับยู่ยี่
ผมลุกขึ้นมาถามคนกวาดถนนว่า เฮ้ย! มึ..ง เอา ตี..น มาเขี่ยกรู ทำไม
คนกวาดถนนตกใจมากครับ เขาบอกผมว่า กระเด็นมาตั้งเกือบเสาไฟฟ้า นึกว่าตายซะแล้วอีก ถามผมว่า ผมห้อยพระอะไร
ผมก็เลยเอาให้ดู
คนกวาดถนนบอกว่า อ๋อ ห้อยหลวงปู่เกษมนี่เอง เดี๋ยวต้องไปหาเช่ามาบ้างแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาผมก็หามาเพิ่มเรื่อย ๆ ครับ แต่องค์ที่ห้อยตอนนั้นยังอยู่เลยครับ ไว้เดี๋ยวค้นเจอจะนำมาให้ดูครับ
โพสต์โดย aex เมื่อวันที่ ๒๗ ๐๘ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๒ #๑๒๒๑
ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวสักเรื่องนะครับ
เมื่อราวๆ ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ผมเริ่มสะสมพระเครื่องพอดี ผมตามอ่านบทความของพี่หนุ่มเมืองแกลงในหัวข้อ "แนะนำพระดี ที่แขวนแล้วรวย ชีวิตก้าวหน้า" (ได้กล่าวถึงพระของหลวงพ่อเกษม ไว้ดังนี้)
"พระของหลวงพ่อเกษม ลำปาง รุ่นห้ารอบ ชุดมงคลเกษมและเหรียญที่สร้างก่อนปี ๑๘ เป็นที่ยอมรับกันว่าพระของท่านมีบารมีเหลือล้น แม้แต่เซียนรุ่นเก่าๆ ที่แขวนแต่พระกรุ ยังต้องมีติดไว้สักองค์ โดยเฉพาะรุ่นห้ารอบที่ท่านการันตีว่า หากใช้ไม่ดี ให้เอามาคืน ผมแนะนำว่าดีจริงๆ "
ผมก็เสาะแสวงหาพระของ หลวงพ่อมาเรื่อยๆ แล้วก็เก็บพระอื่น ตามในรายการของพี่หนุ่มเมืองแกลง เพราะผมก็อยากมีความก้าวหน้าใน ชีวิต และการงาน จนมีอยู่วันนึง ผมจึงได้มา แต่ไม่ใช่รุ่นห้ารอบกลมนะครับ ตอนนั้นเก็บพระใหม่ๆ เงินทองไม่ค่อยมี ๒ องค์แรกที่ได้มาคือ ปรกรุ่นแรก กับ เหรียญอุ้มบาตร ๕ รอบ ในใจก็อยากลอง เลยนิมนต์ปรกของหลวงพ่อขึ้นแขวนเดี่ยวเลย
ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่ร้านอาหารไทยเล็กๆ ในญี่ปุ่น ลองแขวนมาสองสามวัน ก็ไม่เห็นมีอะไร พอเข้าวันที่ ๔ วันนั้นลูกค้ายุ่งมาก ผมก็จำเป็นต้องเข้าไปช่วยพี่กุ๊ก เค้าเตรียมอาหาร ในใจไม่ได้คิดอะไรตอนนั้น พี่กุ๊กเค้าบอกว่าช่วยหั่นผักบุ้งให้หน่อยจะทำผักบุ้งไฟแดง มองหามีดในครัวไม่เห็นเลยถามพี่เค้าไปว่า พี่มีดอยู่ไหนครับ พี่เค้าก็ตะโกนบอกว่า มีดอยู่ในตู้ระวังหน่อยนะมีดหั่นซูชิ (บาง และคมมาก) ผมก็ควานหามีดในตู้ เจอมีดเล่มนั้นจริงๆ อยู่ในซอง ซองทำมาจากกระดาษลูกฟูกลังที่เป็นสีน้ำตาลเปื่อยๆ
พอดีลูกค้าตะโกนเรียก ผมเลยวิ่งออกไปกดเบียร์ให้ลูกค้า มีดกับผักบุ้งก็ยังวางอยู่ พอกดเสร็จผมก็วิ่งกลับมาในครัว ด้วยความที่รีบและไม่รอบคอบของผม กระดาษลังที่ทำซองมีดนั้นเปื่อยมาก (เพราะพี่เค้าใช้แล่เนื้อ แล้วล้างเก็บเข้าซองเลย ไม่ได้เช็ดให้แห้งก่อน) ด้วยความไม่ระวังของผม ไม่ได้มองที่มีดเลย มือซ้ายจับที่ซองมีดมือขวาจับที่ด้ามมีดแล้วออกแรงกระชากออกจากซอง ครั้งแรกไม่ออก ผมก็ใช้แรงกระชากอีกรอบเป็นรอบที่สอง ไม่ออกอีก ด้วยความโมโหของผม (คิดในใจ คนยิ่งรีบๆ อยู่ทำไมไม่ออกว่ะ) เลยรวมแรงกระชากอีกรอบ ตาก็เหลือบมองไปที่มีดเห็นคมมีดโพล่ออกมาจากกระดาษนิ้วผมกำคมมีดอยู่ แต่มันสายไปซะแล้ว มีดอยู่ที่มือขวา ส่วนมือซ้ายก็กำซองมีดเจ้ากรรมนั้นแน่นเลย ผมก็ร้องโอ้ยด้วยความเจ็บดังมากจนลูกค้าหันมามองทั้งร้าน
พี่กุ๊กก็ทิ้งกระบวยผัดอาหารรีบวิ่งมาทางผม "โดนอะไรอะ พี่ว่าจะเตือนเราแล้วเรื่องซองมีด" ผมก็ใจหายวาบเลยหน้าซีด มองไปที่นิ้วตัวเองนึกในใจ ไม่ขาดก็คงแผลลึกแน่เลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจนั่นคือ ไม่มีเลือดไม่มีแผล เลยอุทานกับพี่กุ๊กไปว่า "เฮ้ย ทำไมเจ็บแต่ไม่มีแผลวะ" พี่กุ๊กแกรีบเอานิ้วผมขึ้นไปดู แล้วบอกว่า "แขวนพระอะไรนี่ ขอดูหน่อยหลวงพ่ออะไรท่านแน่จริงๆ" ผมก็บอกไปหลวงพ่อเกษมครับ หลังจากนั้นด้วยความไม่มั่นใจ เลยเอามือ ลงไปล้างในอ่างพร้อมทั้งใส่น้ำยาฆ่าเชื้อลงไปด้วย คิดว่าถ้ามีแผล คงต้องแสบกันบ้าง ไม่มีอาการแสบเลย
คงเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อช่วยผมไว้แน่เลย ไม่งั้นคงมีด้วนกันไปสักนิ้วสองนิ้วแล้ว หลังจากนั้น ผมก็แขวนท่านไว้ไม่เคยห่างตัวเลยครับ
ออกตัวซักนิดนึงผมไม่ใช่เซียนพระ หรือคนเชียร์พระ แค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ให้ศิษย์ ผู้นับถือหลวงพ่อเกษม เขมโก ได้รับฟังครับ
โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๑๕ ๐๙ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๔ #๑๒๗๔
ผมเป็นคนจังหวัดลำปางครับ แต่มาทำงานอยู่จังหวัดระยองเกือบ ๑๔ ปีแล้วครับ แต่ก็กลับบ้านที่ลำปางบ่อยเหมือนกันครับ
วันนี้ผมมีเรื่องราวประสบการณ์ที่เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อเกษม รุ่นพระผงไตรมาส ปี ๒๕๑๘ ครับ เหตุการณ์นี้เกิดกับลุงของผมเอง เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคือ
ผมได้เลี่ยมพระผงไตรมาสให้ลุงผม อาราธนาแขวนติดตัว วันดังกล่าวคุณลุงของผมท่านปีนต้นลำไยเพื่อเก็บขาย แต่แล้วเท้าที่ยืนบนกิ่งลำไยก็เหยียบพลาดตกลงจากต้นลำไยความสูงประมาณ ๔-๕ เมตร และตกลงใส่รั้วลวดหนามขาดลงด้วยแรงกระแทก ความสูงขนาดนี้ แล้วตกอย่างนี้จะต้องมีเลือดตกยางออกบ้าง แต่ไม่เลยครับ ไม่มีแม้เลือดสักหยดครับ แม้แต่เจ็บตรงไหนก็ไม่มีครับ บารมีของหลวงพ่อคุ้มครองลูกหลานจริงๆ ครับ พฤศจิกายนที่จะถึงนี้เชิญร่วมทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อครับ วันที่ ๒๘ ที่สุสานไตรลักษณ์ครับ
โพสต์โดย v_rod2101 เมื่อวันที่ ๐๒ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๗ #๑๓๒๕
ส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าใครต้องการจะเก็บพระหลวงพ่อเกษมแบบรุ่นเดียวจบ แต่ไม่ทราบว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ผมอยากแนะนำรุ่นนี้นะครับ รุ่นกองพันเชียงใหม่ ปีลึก สร้างน้อย หลวงพ่อให้เสกในกุฏิที่ทำพระกรรมฐาน เปิดกล่องเสก และสุดท้ายมีภาพถ่ายการปลุกเสกเป็นหลักฐานการสร้างอย่างชัดเจน
เหรียญกองพันเชียงใหม่ หลวงพ่อเกษม
ยุค ๑๕-๑๘ เกจิดังไม่มีรูปใดเกิน หลวงปู่แหวน กับ หลวงพ่อเกษม ปี ๑๗ หลวงพ่อเกษม ดังมาก หน่วยราชการ และวัดวาอารามต่างๆ มาพึ่งบารมีหลวงพ่อเกษม เพราะหลวงพ่อมีความเมตตาสูงมาก กองพันทหารราบที่ ๑ กรมผสมที่ ๗ ค่ายกาวิละ เชียงใหม่ ก็มาพึ่งบารมีหลวงพ่อ ได้ขออนุญาตหลวงพ่อสร้างเหรียญขึ้นมารุ่นหนึ่ง เพื่อเป็นกองทุนสวัสดิการในการช่วยเหลือครอบครัวหรือทายาททหารที่เสียชีวิต เนื่องจากการปราบผู้ก่อการร้าย และเพื่อให้บรรดาทหารได้มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อไว้บูชาติดตัว
จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง นำความมาปรึกษาหารือกับหลวงพ่อเกษม หลวงพ่ออนุญาตให้สร้างเหรียญรูปเหมือนของท่านได้ เมื่อหลวงพ่ออนุญาตแล้ว คณะกรรมการสร้างเหรียญ อันประกอบไปด้วยทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็ได้ให้ความไว้วางใจมอบหมายให้นายช่างมงคลเกษม มงคลเจริญ เป็นผู้ออกแบบ เหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่
ลักษณะเหรียญ เหมือนเหรียญในหลวงครบ ๓ รอบ สวยงามมากที่เดียว พิเศษกว่ารุ่นอื่นๆ คือ ได้อันเชิญพระบรมธาตุดอนสุเทพ ปูชนียสถานสำคัญที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ มาประดิษฐ์ไว้ด้านหลังเหรียญ จำนวนที่สร้างเพียง ๔,๘๙๗ เหรียญ แยกตามวัสดุต่างๆ ดังนี้ เหรียญเงินแท้ ๒๙๙ ราคาเช่า ๑๐๙ บาท เหรียญนวโลหะ ๕๙๙ ราคาเช่า ๕๙ บาท และทองแดง ๓,๙๙๙ ราคา ๒๙ บาท หลวงพ่อเมตตาปลุกเสกให้ที่สุสานฯ วันที่ ๒๕ มกราคม ๑๘ ตรงกับวันกองทัพไทย หมายถึง วันที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือสมเด็จพระมหาอุปราชามังสามเกียด แห่งกรุงหงสาวดี ณ ตำบลหนองสาหร่าย แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๑๓๕ นั่นเอง
จึงนับว่าเหรียญหลวงพ่อเกษม รุ่นกองพันเชียงใหม่ จึงเป็นสุดยอดเหรียญหนึ่งของหลวงพ่อ ที่มีความชัดเจนของผู้สร้าง ความชัดเจนในการปลุกเสก และความมุ่งมั่นของหลวงพ่อที่จะให้เหรียญรุ่นนี้เป็นของพิเศษสุดของหลวงพ่อ ชัยชนะคือความยิ่งใหญ่แต่เหนือชัยชนะคือการเล่นอย่างมีน้ำใจนักกีฬา
* เหรียญกองพันเชียงใหม่ มี ๕ สมรรถนะ สมรรถนะที่ ๑ ด้านการปลุกเสก แบบพิเศษ เปิดกล่อง ไม่ต้องใช้ด้ายสายสิญจน์ สมรรถนะที่ ๒ ด้านแคล้วคลาดเชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๓ ด้านมหาอุด เชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๔ ด้านคงกะพัน เชื่อถือได้ สมรรถนะที่ ๕ ด้านเมตตา แฝงไว้ครบ สมรรถนะที่ ๖ ด้านโชคลาภ แฝงไว้เด่นชัด สมรรถนะที่ ๗ ด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีพร้อมสรรพ
เหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่มีเก๊มานานแล้ว น่ากลัวถ้าไม่มีวิธีดู จุดตายของกองพันเชียงใหม่ ดูที่ ๑) โค๊ต ภายในหลุมวงกลมกลางจักร จะมีเส้นขนแมวอยู่ประมาณ ๕ เส้น จุดตายที่ ๒) ดูตรงคาง จมูก และโหนกแก้ม จะเห็นรอยครูดของบล็อก จนบางเหรียญมีเนื้อติดขึ้นมา เหมือนรอยครูดพระรอดที่เกิดจากการถอดของแม่พิมพ์อย่างไงอย่างงั้นเลยครับ ขอพี่ๆ น้องๆ ดูแค่นี้ก็ซื้อได้เลย ครับผม
เหรียญกองพันลำปาง เหรียญมทบ. เหรียญกองพันเชียงใหม่ เหรียญกองพันเชียงราย และเหรียญกองพันสุรนารี เป็นเหรียญที่จัดสร้างขึ้นในปี ๑๗-๑๘ เป็นเหรียญที่หลวงพ่อมนต์ให้เป็นกรณีพิเศษ
เหรียญที่ค่ายทหารต่างๆ ได้จัดสร้างขึ้นและนำไปให้หลวงพ่อมนต์ปลุกเสกที่สุสาน ปี ๑๗-๑๘ นั้น เหรียญที่มีราคาแพงที่สุดคือเหรียญกองพันลำปาง เพราะสร้างน้อย รองลงมาคือเหรียญกองพันเชียงใหม่ เพราะสร้างน้อยและมีรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ อันดับ ๓ มทบ.เพราะสร้างมากแต่มีรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ อันดับ ๔ ค่ายสุรนารี น่าเสียดายที่ไม่มีรูปภาพออกมาเผยแพร่ เป็นเหรียญที่สวยงามมาก และอันดับ ๕ กองพันเชียงราย เพราะเข้าพิธีเดียวกับรุ่นกิ่งไผ่
แต่เหรียญที่มีความชัดเจนด้านการนำเสนอรูปภาพขณะที่หลวงพ่อมนต์ให้ ต่อสาธารณชนที่อยู่นอกเขตจังหวัดลำปาง ก็คือเหรียญกองพันเชียงใหม่ กับเหรียญมทบ. นอกจากนั้นยังไม่เคยเห็นรูปภาพหลวงพ่อมนต์ให้ เพียงแต่ทราบวันเดือนปีและจำนวนการสร้างเท่านั้น
***ศักดิ์ศรีของเหรียญกองพันเชียงใหม่ อยู่ตรงนี้ ศักดิ์ศรีที่ ๑.หลวงพ่ออนุญาตให้นำเหรียญทั้งหมด ๔,๘๙๗ เหรียญ เข้าไปปลุกเสกแบบเปิดเผย (วางในถาด) ในกุฏิของหลวงพ่อ ภายในกุฏิหลวงพ่อเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ภายในกุฏิหลวงพ่อขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ ปราศจากสิ่งรบกวน จากหลักฐานตามรูปภาพขณะที่หลวงพ่อกำลังเป่าพรวดลงไปที่เหรียญกองพันเชียงใหม่ที่วางอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อนั้น ดูแล้วศรัทธาเข้มขลังยิ่งนัก หนักแน่นยิ่งนัก ***
*** เหรียญที่สามารถนำเข้าไปปลูกเสกถึงในที่เจริญกรรมฐานของหลวงพ่อก็มีรุ่นนางเหลียว รุ่น ๕ รอบ รุ่นระฆัง และรุ่น กองพันเชียงใหม่ และปลุกเสกแบบเปิดกล่องด้วย กล่าวคือเหรียญรุ่นดังกล่าวไม่มีเหรียญหรือวัตถุมงคลใดๆ ฝากเข้าพิธีเลย จะเป็นเหรียญรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น รุ่นกองพันเชียงใหม่ เหรียญที่วางต่อหน้าหลวงพ่อล้วนแต่เป็นเหรียญกองพันเชียงใหม่เท่านั้น ผู้ที่เข้าไปในศาลาที่ปลุกเสกล้วนแต่ทหารทั้งนั้น ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือปลอมปนเข้าไปเลย เพราะฉะนั้นความเข้มขลังเหรียญจึงมีประสบการณ์บ่อยครั้ง เพราะหลวงพ่อบอกเอาไว้ว่าทหารมีความลำบากมาก ต้องทนทุกทรมานเสี่ยงกับความตายมามาก จำเป็นต้องเสกแบบเปิดกล่องและแบบนิรันตรายตลอดกาล
ผมขอขยายความว่าเหรียญรุ่นกองพันเชียงใหม่ปลุกเสกแบบเปิดเผย ครับผม กล่าวคือจากภาพถ่ายการปลุกเสกเหรียญกองพันเชียงใหม่ ทางกองพันเชียงใหม่นำวัตถุมงคลคือเหรียญทั้งหมด สี่พันกว่าเหรียญบรรจุลงในถาดแล้ววางไว้ต่อหน้าหลวงพ่อ แบบนี้เรียกว่าแบบเปิดเผยครับผม
*** วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลหรือมนต์วัตถุมงคลของหลวงพ่อเกษม
เท่าที่เห็นมามีอยู่ ๓ วิธีการ กล่าวคือ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ แย้งได้ครับพี่น้อง)
๑) ปลุกเสกแบบเปิดกล่อง หมายความว่า คณะที่ขออนุญาตสร้างเหรียญ จะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสร้างวัตถุมงคลให้หลวงพ่อทราบอย่างชัดเจน แล้วเหรียญที่บรรจุก็บรรจุลงในกล่องกระดาษ เมื่อไปวางไว้ตรงหน้าหลวงพ่อก็ต้องเปิดกล่องให้หลวงพ่อดูว่า ของที่ขออนุญาตนั้นเป็นจริง หลวงพ่อก็จะอธิฐานจิตตามที่ขออนุญาตไว้ จึงทำให้เหรียญรุ่นนั้นมีความขลังยิ่งนัก เช่น เหรียญรุ่น นางเหลียว เหรียญรุ่น ๕ รอบ เหรียญรุ่น ระฆัง เหรียญรุ่น กองพันเชียงใหม่ เหรียญรุ่นกองพันลำปาง เหรียญรุ่น มทบ.ลำปาง เหรียญรุ่นค่ายสุรนารี เป็นต้น เหรียญรุ่นดังที่กล่าวมาหลวงพ่อสั่งให้เปิดกล่อง และปลุกเสกแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราฉะนั้นเหรียญรุ่นดังกล่าวจึงมีประสบการณ์สุดยอดแบบสุดๆ ครับผม
๒) ปลุกเสกแบบโยงสายสิญจน์ เช่นรุ่นแตงโม รุ่นกิ่งไผ่ รุ่นภปร รุ่นอย. เป็นต้น
๓) ปลุกเสกแบบปิดหูปิดตา ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นปี ๓๐ กว่านี้แหละ
หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดขอยกความดีให้กับ อ.บัณฑิต สาลี แห่งแม่พริก ด้วยนะครับ เป็นงานเขียนวิเคราะห์ที่เจาะลึกมากๆ
โพสต์โดย maxnum101 เมื่อวันที่ ๑๗ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๖๙ #๑๓๗๑
ถ้าพูดถึงประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อจะมีอยู่หลายเรื่องเหมือนกันครับ แต่ที่เห็นชัดๆเลยจะเป็นของคุณพ่อกับคุณแม่แล้วก็น้องสาวครับ(พอดีเค้าไปเที่ยวกัน 3 คนครับ)
เรื่องก็คือ ทั้ง 3 คนไปเที่ยวกับที่ทางภาคใต้ ผมไม่แน่ใจจังหวัดไหนครับ แต่ด้วยความที่เค้าไม่ค่อยรู้จักทางกัน ก็เลยจ้างรถให้พาไปเที่ยวแทน
โดยที่ช่วงที่พาไปเที่ยวสมัยก่อนทองยังไม่แพงมากครับ คุณแม่กับคุณพ่อก็ใส่สร้อยทองทั้งคู่ คุณแม่เล่าว่าตั้งแต่ตอนที่จ้างแล้ว ก็เห็นคนขับมองแถวๆ ที่คอของทั้งคู่บ่อยๆ แต่เค้าไม่ได้สนใจอะไร จนคุณพ่อบอกว่าอยากไปวัดนี้นะ (ต้องขอโทษนะครับผมจำชื่อวัดไม่ได้) เค้าก็พาไป แต่ทางที่เค้าไปออกห่างจากตัวเมืองมาเรื่อยๆ ครับ ซึ่งคุณแม่ก็งง ก็เลยถามว่าจะไปไหน
เค้าบอกจะพาไปทางลัด แล้วเค้าก็ขับเหมือนขึ้นเขา เป็นดินลูกรังครับ แล้วช่วงนั้นพอดีฝนตกด้วย แล้วเริ่มมืดแล้วครับ
คุณแม่เลยบอกกลับเถอะๆ ไม่อยากไปแล้ว แต่รถเค้าไม่ยอมครับ เค้าบอกว่าอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว
แต่ทางไปสิครับเปลี่ยวลงเรื่อยๆ คุณแม่กับคุณพ่อก็มองหน้ากันแล้วเริ่มไม่สบายใจ คุณพ่อเลยยืนกรานให้กลับ แต่เค้าบอกอีกนิดเดียวจริงๆ
ตอนนั้นคุณแม่บอกเริ่มทำไรไม่ถูกละ เพราะไม่รู้จักทาง แถมถ้าโดนลากไปจี้หรือฆ่าหมกป่านี่ไม่มีใครรู้เรื่องเลย แม่ก็เลยจับที่องค์หลวงพ่อที่ห้อยมาครับ (คุณแม่นั่งเบาะหลัง) แล้วภาวนาว่าถ้าเค้าจะพาไปทำอันตรายขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วยเถอะ
เชื่อไหมครับ คุณแม่บอกว่าเกือบจะในทันที รถติดหล่มครับ ไปต่อไม่ได้เฉยเลย
คนขับพยายามยังไงรถก็ไม่หลุดจากหล่ม คุณแม่เลยรีบเปิดประตูลงจากรถเลยแล้วบอกให้กลับรถ ไม่ยอมไปต่อละ คนขับเลยจนใจครับ
แต่แปลกตรงที่เดินหน้าไม่ได้ แต่ถอยหลังดันขึ้นจากหล่มได้ สุดท้ายก็เลยต้องกลับรถ แล้วลงจากเขามาครับ
คุณแม่บอกก็น่าแปลกดี ทำไมเดินหน้าไม่ได้ แต่ถอยหลังออกมาได้ก็ไม่รู้...
อันนี้ก็เป็นอีกประสบการณ์ที่คุณพ่อกับคุณแม่ผมเจอมาเองครับ การันตีเรื่องจริง 100% ครับ สาธุ...
โพสต์โดย ระหว่างทาง เมื่อวันที่ ๒๑ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๗๐ #๑๓๘๖
ประสบการณ์ที่ครูบาอาจารย์ เล่าให้ฟังถึงความเมตตา และปาฏิหาริย์หลวงพ่อเกษม
ช่วงน้ำท่วมผมไปบวชที่ภาคเหนือมาพร้อมคุณ Tawatchai๑๘๘๙ ที่จังหวัดพะเยา และไปจำวัดกันในป่าช้าเก่า ซึ่งจำวัดด้วยกัน ๓ รูป คือผม คุณ Tawatchai๑๘๘๙ และพระอาจารย์ครูบาที่คนในพื้นที่เคารพกัน ท่านไม่เน้นวัตถุมงคล แต่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ
ระหว่างที่บวช มีเวลาว่างบ้างก็นั่งคุยกันเรื่องราวต่างๆ ของครูบาเจ้า ในภาคเหนือ มีตอนหนึ่งที่ผมได้กราบเรียนถาม พระอาจารย์ถึงหลวงพ่อเกษม ว่าท่านรู้จักกันเป็นส่วนตัวไหม
ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านกับหลวงพ่อเกษมไม่เคยรู้จักกันส่วนตัว แต่เคยได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเกษม โดยครั้งหนึ่งพระอาจารย์ท่านประสบอุบัติเหตุิ ทำให้ขาหักต้องเข้าเฝือก ซึ่งท่านได้ไปเข้าเฝือก รพ.ท้องถิ่น ซึ่งเมื่อกลับออกมาแล้วทำให้ท่านยังปวด และรู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงปรึกษาญาติโยม และตกลงกันว่าควรพาไปรักษาตัวที่ รพ. จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็น รพ.ศูนย์ และออกเดินทางจากวัดไปตอนประมาณตีสาม และไปถึงลำปางช่วงเช้าๆ โดยท่านยังไม่ได้ฉันเช้า ก็ต้องเข้าห้องตรวจ
ประมาณเกือบเที่ยง ท่านออกมาจากห้องตรวจ และไปพักที่เตียง ที่ทาง รพ. จัดไว้ ไม่ได้ห้องพักเดี่ยว เพราะไม่มีห้อง เมื่อท่านนั่งได้สักครู่ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วตะโกนถามว่า ตุ๊เจ้า จากเชียงคำ มาถึงรึยัง
พระอาจารย์จึงตอบรับไปว่า มาแล้วอยู่นี่
ชายคนนั้นนำผลไม้มาถวายพระอาจารย์ และแจ้งว่า หลวงพ่อเกษม ให้นำมาให้ โดยบอกว่า เอาไปให้มันด้วย มันยังไม่ได้ฉันอาหารเลย สงสารมัน
ได้ความว่า หลวงพ่อเกษม ก็มาพัก รักษาอาการป่วยอยู่ที่ รพ.ศูนย์ลำปางด้วย แต่ไม่ทราบว่าหลวงพ่อเกษม รู้ได้อย่างไรว่า พระอาจารย์มาพักรักษาตัวที่นี่ด้วย และยังไม่ได้ฉันอาหาร รวมถึงความเมตตาที่ท่านให้นำมาให้
วันรุ่งขึ้น พระอาจารย์เริ่มเดินไหว แต่ยังคงต้องใช้ไม้เท้า ท่านจึงลุกออกจากเตียง พร้อมไม้เท้าค่อยๆ เดิน โดยคิดว่าจะไปกราบหลวงพ่อเกษม และเดินเล่น เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องหลวงพ่อเกษม พระอาจารย์เห็นว่าหน้าห้องเงียบมาก เหมือนไม่มีคนอยู่ แต่ยังคงมีป้ายชื่อหลวงพ่อติดอยู่ ท่านจึงเดินเลยผ่านหน้าห้องไปเพราะคิดว่าหลวงพ่อคงพักผ่อนอยู่
เมื่อเลยผ่านหน้าห้องไปนิดเดียว ก็มีศิษย์หลวงพ่อเกษมเดินออกมา ตรงมาที่พระอาจารย์ และแจ้งว่า หลวงปู่ให้มาบอกตุ๊เจ้า ว่าหากเดินลำบากก็ไม่ต้องมา กลับไปพักเถิด ท่านรู้แล้ว
นี่เป็นบางตอนที่ท่านเล่าให้ฟังถึงความเมตตา ศักดิ์สิทธิ์ ของครูบาเจ้า ที่ผมเคารพ และศรัทธามาตั้งแต่เด็กรูปหนึ่ง
หลวงพ่อเกษม เขมโก
โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๒๑ ๑๑ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๗๐ #๑๓๘๗
เป็นเรื่องที่คุณพ่อของผมท่านเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ ครับ ว่าพ่อของผมท่านมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งในสมัยที่ตัวกระผมเองยังไม่เกิด ประมาณปี ๒๕๑๘ ขออนุญาตเอ่ยนามคุณลุงครับ ท่านชื่อลุงศักดิ์ครับ เป็นคน บ้านต้นธง อ.แม่พริก จ.ลำปาง บ้านเดียวกับกระผมครับ ปัจจุบันคุณลุงศักดิ์ยังมีชีวิตอยู่ครับ
ในสมัยนั้นพ่อผมเล่าให้ฟังว่า ค่อนข้างนักเลงเยอะครับ ไม่ทราบว่าคุณลุงท่านมีเรื่องทะเลาะกับใครมาหรือเปล่า แต่พ่อผมเล่าให้ผมฟังว่า น่าจะเป็นการเข้าใจกันผิดมากกว่า มีการพูดคุยกันไม่เหมือนกับว่าจะมีปากเสียงอะไรกันเลย คือเมื่อตัวคุณลุงศักดิ์เดินหันหลังเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่คุยกับลุงศักดิ์ ผมขออนุญาตไม่เอยนามครับ ปัจจุบันผมไม่ทราบว่าท่านยังอยู่หรือไม่ครับ ก็ชักปืนลูกซองออกมาแล้วยิงมาที่ตัวลุงศักดิ์
พ่อผมเล่าว่าตัวลุงศักดิ์แกก็ล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไปเลยครับ ส่วนตัวคนยิงก็ขับมอเตอร์ไซด์ออกไป
ชาวบ้านแถวนั้นต่างวิ่งมาดูครับ ปรากฏว่าอีกสักพัก ลุงศักดิ์แกลุกขึ้นด้วยอาการจุกครับ เสื้อตัวที่แกใส่ พ่อบอกว่าพรุนไปหมดครับ ที่ตัวลุงศักดิ์มีเพียงรอยไหม้ในตำแหน่งที่โดนจังๆ ครับ
ปัจจุบันถ้าผมจำไม่ผิด พ่อผมบอกว่าเป็นรอยแผลเป็นครับ
ในตัวของลุงศักดิ์มีเพียงเหรียญแตงโมของหลวงพ่อเกษม ปี ๒๕๑๗ ติดตัวอยู่ครับ
คงยากที่จะอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ครับ พี่ๆ ทุกท่านคงจะเข้าใจเหมือนตัวผม ด้วยบารมีของหลวงพ่อเกษมคุ้มครองลูกศิษย์ให้แคล้วคลาดปลอดภัยครับ
ผมสอบถามกับคุณลุงศักดิ์หลายครั้ง เพราะผมเองอยากอาราธนาเหรียญนี้มาอยู่กับตัวเอง แต่คุณลุงท่านยังไม่ใจอ่อนครับ ต้องใช้ความพยายามต่อไปครับ
โพสต์โดย Pornkasem เมื่อวันที่ ๐๗ ๑๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๗๗ #๑๕๒๒
ในคราวพระเจ้าอยู่หัวเสด็จวัดคะตึกเชียงมั่น จ.ลำปาง เมื่อวันที่ ๖ ก.พ.ปี ๒๕๒๑ เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง (หลานหลวงพ่อ) ได้นำพระเครื่องเหรียญเงินรูปเหมือนหลวงพ่อฯ จำนวน ๙ องค์ มอบให้หลวงพ่อฯ เพื่อนำทูลเกล้าฯ ถวาย
หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้หันมอง พร้อมกับบอกเจ้าประเวทย์ว่า "เวทย์ เราไม่ได้สร้างพระนะ เวทย์สร้าง ก็ถวายเองซิ"
ส่วนหลวงพ่อฯ ได้ถวายพระพร พร้อมกับถวายก้านธูปภาวนา ๑ ก้านและริบบิ้นสีธงชาติ ๓ ชิ้น แด่พระเจ้าอยู่หัว
"ริบบิ้น" และ "ก้านธูปภาวนา" เป็นวัตถุมงคลที่หายากครับผม..
โพสต์โดย supermanbatman เมื่อวันที่ ๒๓ ๑๒ ๒๐๑๑ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๘๑ #๑๖๐๓
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับผมแล้วในชีวิตได้มีโอกาสได้พบได้กราบท่าน (สมัยที่ท่านยังดำรงสังขารอยู่ ประมาณสัก ๔-๕ ครั้งได้ ) อาจจะดูน้อยใช่มั้ยครับ? แต่ถ้าเป็นในช่วงนั้น หมายถึงในช่วงที่หลวงพ่อยังแข็งแรงอยู่ หรือแม้แต่ในช่วงหลัง (ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ทุกๆ คนที่ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ทุกคนจะทราบว่า ไปหาท่านง่าย แต่เข้าพบท่านยาก เพราะเวลาโดยส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ท่านจะนั่งสมาธิภาวนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งไปรอตั้งแต่เช้าจนเกือบบ่ายแก่ๆ ก้อเคยมี แต่ทุกท่านที่ไปรอกราบท่านนั้น ล้วนแต่ไม่มีใครจะร้อนใจว่าท่านจะให้เข้าพบเมื่อไหร่ ทุกคนมีแต่ความปิติที่ได้อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ แม้ท่านจะอยู่ในกุฏิ ก็ตาม แต่ก้อเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่คนที่ได้ไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ว่าท่านรู้ ท่านทราบ ว่าใครๆ มากราบท่านบ้าง ผมจะเล่าให้ฟังสักเรื่องนะครับ
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ศิษย์ใกล้ชิดกำลังปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ในกุฏิ อยู่ๆ หลวงพ่อท่านก้อพูดกับศิษย์คนนั้นว่า เอ่ยชื่อ.......จะซื้อสลาก (หวย) แฮ่มเราะ
ลูกศิษย์คนดังกล่าวจึงได้เปิดประตูออกมาด้านนอกกุุฏิ และเดินมาถามคนดังกล่าวว่า คิงอู้อะหยังกับหลวงพ่อ
คนดังกล่าวจึงยกมือไหว้มาทางกุฏิหลวงพ่อและจึงได้กล่าวยอมรับว่า ตอนที่เดินผ่านกุฏิหลวงพ่อเกษม เขมโก เขาได้พูดลอยๆ ขึ้นมาในใจว่า หลวงพ่อขอสลากสัก ๒-๓ ตัวเน้อ แล้วก้อเดินผ่านไป โดยไม่ได้คิดอะไร จนศิษย์รับใช้ในห้องออกมาถาม
เรื่องราวก้อเป็นเช่นนี้แหละครับ
ที่เล่ามานี้ไม่ได้มีเจตนาจะให้เค้าใจว่าหลวงพ่อให้เลข หรือว่าอะไรนะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้คนที่ได้กราบท่านในสมัยนั้นล้วนแต่เห็นเป็นเรื่องปกติครับว่าหลวงพ่อเกษม เขมโก นั้นท่านรู้ ท่านทราบทุกอย่างครับ ถึงแม้ท่านจะภาวนาอยู่แต่ภายในกุฏิก้อตาม
ถึงตอนนี้แล้วทุกท่านคิดว่าอย่างไรครับ?
สำหรับผมเพียงแค่อยากจะเผยแพร่ให้ทุกๆ ท่านได้ทราบถึงอัตประวัติเรื่องราวของท่านในแง่มุมด้านอื่นๆ บ้างก้อเท่านั้นเอง...
ถ้าโอกาสอำนวยผมจะมาเล่าสู่กันฟังใหม่นะครับ
อ้อ..ในสมัยก่อนนั้นถ้าเป็นพระภิกษุไปกราบท่านแล้วโดยมากท่านมักจะให้เข้าพบได้เร็วกว่าฆราวาสนะครับ...แต่พอยุคหลังๆ ก้อไม่ทราบเหมือนกันแล้วเพราะว่าคนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลไปกราบท่านมากเหลือเกิน...จนผมได้แต่กราบท่านในความฝัน จนท่านมรณภาพจากไป ถ้ามีเวลาผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ สำหรับเรื่องราวความประทับใจที่ผมและผู้ที่เคารพท่านทุกคนที่มีต่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระอริยสงฆ์แห่งเขลางค์นคร ครับ
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๐๓ ๐๒ ๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๙๕ #๑๘๙๒
วันนี้มีโอกาสได้คุยกับพี่สาวท่านหนึ่งผู้มีอันจะกินจนเหลือกินเหลือใช้ เห็นรูปบนหน้าปัดไอโฟนเห็นแกนั่งถ่ายรูปข้างๆ พระองค์หนึ่ง เห็นแว๊บๆ คุ้นๆ ก็เลยถามว่าถ่ายกับหลวงพ่อเกษมใช่มะ
แกก็รีบหันมาว่ารู้จักเหรอ และบอกว่ารูปนี้ถ่ายกับรูปเหมือนไฟเบอร์ของหลวงปู่ที่คุณ ปอ ประตูน้ำสร้างถวายบูชาคุณหลวงปู่
ผมก็เลยเล่าประสบการณ์ที่หลวงปู่มาหาในฝันให้ฟัง
แกเลยควักพระเลี่ยมทองคำขาวล้อมเพชรอย่างดีออกมาจากคอให้ดู เหรียญระฆัง ปี ๑๖ เนื้อเงิน กริ๊บๆ เลยทีเดียว พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่ทำให้แกนับถือหลวงพ่อเกษมมากๆ เพราะว่า
เมื่อครั้งที่แกอยู่อเมริกาหลังจากแต่งงานกับสามีแล้วไปทำธุรกิจที่โน่น ครั้งหนึ่งแกมีเนื้องอกที่ข้อมือปวดบวม งอกกออกมาข้างนอก ทั้งปวดและน่าเกลียดมากๆ ตัวแกไม่ใช่คนชอบทำบุญอะไรก็เลยไม่ได้นึกถึงพระถึงเจ้าให้ช่วย ทีนี้แกปวดจนทนไม่ไหว ทานยากดประสาทก็ยังปวดและปวดแบบสุดๆ
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคำของแม่ที่เคยบอกว่าอยู่ต่างบ้านต่างเมืองให้นึกถึงพระถึงเจ้าบ้าง ก็เลยยกมือใส่หัวแล้วอธิษฐานว่าหลวงพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองไทยองค์ไหนก็ได้ช่วยหนูด้วย ปวดจนทนไม่ไหวแล้ว
แกก็นอนปวดจนเริ่มเคลิ้มๆ ก็ปรากฏร่างของพระรูปร่างผอมๆ องค์หนึ่งกวักมือเรียกแก พี่แกก็ลุกไปตามพระองค์นั้น
หลวงพ่อก็บอกว่าเอามือมานี่ แกก็ยื่นมือไปให้
หลวงพ่อองค์นั้นก็เป่าที่ข้อมือที่เป็นเนื้องอก ๓ ครั้งแล้วบอกว่า หายแล้วไม่ต้องผ่า พี่เค้าก็ก้มลงกราบและถามชื่อของท่าน ท่านตอบกลับมาว่า "เราชื่อเกษม" พร้อมทั้งส่งยิ้มมาให้
พี่เค้าก็ตกใจออกจากภวังค์นั้น และที่สำคัญอาการปวดหายเป็นปลิดทิ้ง
เชื่อไหมครับแกบอกว่าเนื้องอกที่ข้อมือยุบลงและหายเป็นปกติภายใน ๔ วัน
แกไปให้หมอฝรั่งดูเค้าก็ยังแปลกใจว่าเนื้องอกมันหายไปได้อย่างไร
นี่คืออีกหนึ่งในประสบการณ์ของผู้ศรัทธา หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งนครลำปางครับผม
โพสต์โดย tee_tores เมื่อวันที่ ๐๖ ๐๒ ๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๙๗ #๑๙๒๓
หลวงพ่อเกษม เขมโก กับปาฏิหาริย์เหรียญบำบัดทุกข์ บำรุงสุข
ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านปลุกเสกพระเครื่องกับพระบูชาเท่าไรก็ไม่มีเหลือ เมื่อชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ในจังหวัดลำปาง มานมัสการขอให้หลวงพ่อฯ ปลุกเสกพระเครื่องรูประฆังรุ่นบำบัดทุกข์บำรุงสุข เพื่อนำไปให้ชาวบ้านเช่าบูชา หาเงินให้กับชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน โดยจัดสร้างเหรียญรูประฆัง ๑ คันรถ ๖ ล้อ ตัวถังยาว หลวงพ่อฯ มีเมตตาอนุญาตให้สร้างพระเครื่องรุ่นนี้ได้ เป็นที่ดีอกดีใจของกำนันผู้ใหญ่บ้านและผู้เกี่ยวข้องและซาบซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อฯ เป็นอย่างยิ่ง
สำหรับวันเวลาหลวงพ่อฯ ได้กำหนดให้ทำพิธีปลุกเสกโดยทำความสะอาดบริเวณสุสานไตรลักษณ์เป็นอย่างดี เตรียมสถานที่ปลุกเสกด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ต้นกล้วย ต้นอ้อย รวมทั้งเส้นด้ายสายสิญจน์ตามพิธีการปลุกเสกพระเครื่องที่มีมาตั้งแต่อดีตกาล
ส่วนพระเครื่องรูประฆังรุ่นนี้ได้บรรจุไว้ในกล่องกระดาษตั้งเรียงกันไว้เต็มคัน รถบรรทุก ๖ ล้อ จอดไว้ด้านนอกของสถานที่ที่หลวงพ่อฯ ทำการปลุกเสก ใช้วิธีโยงด้ายสายสิญจน์ที่ปลุกเสกไปหาพระเครื่องที่รถยนต์บรรทุก ๖ ล้อคันดังกล่าว
ณ สุสานไตรลักษณ์ ตอนเช้าของวันปลุกเสกก่อนที่หลวงพ่อฯ จะมาทำพิธี อากาศแจ่มใสดีมาก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
แต่ในทันทีที่ลูกศิษย์เข็นเก้าอี้ที่หลวงพ่อฯ นั่งเข้ามาในบริเวณที่จะทำการปลุกเสก ปรากฏว่าเกิดมีเมฆมาบดบังแสงแดด เกิดเป็นร่มเงาและมีลมโหมพัดแรงมาก ท้องฟ้ามืดและมีลมพัดแรงมาก หลวงพ่อฯ มาถึงสถานที่ปลุกเสกท่านก็ทำพิธีปลุกเสกโดยลำพัง ไม่มีพระสงฆ์รูปอื่นมาร่วมปลุกเสก หลวงพ่อฯ ทำพิธีเสร็จ ลมก็หยุดพัด แสงแดดก็มีเป็นปกติ
นับเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ก่อนที่หลวงพ่อฯ จะออกจากห้องท่านลงมา ท้องฟ้าแจ่มใส มีแสงแดดในตอนเช้าเป็นปกติ แล้วพอท่านทำพิธีเกิดลมโหมพัดอย่างแรงทั่วบริเวณนั้น แสงแดดที่เคยมีก็หายสิ้นไป เรื่องนี้มีผู้คนได้รู้ได้เห็นประกอบด้วยชาวบ้านผู้เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ตลอดจนกำนัน สารวัตรกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทั่วทุกหมู่บ้านตำบลชองลำปาง
นี่คือเรื่องที่เล่าโดยคุณเลื่อน แมะบ้าน อดีตผู้ใหญ่บ้านดอนแก้ว อ.เมืองปาน จ.ลำปาง และเหรียญรุ่นนี้ต่างเป็นเหรียญที่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และผู้ที่ได้รู้ เห็นต่างเรียกหากันจ้าละหวั่น...
ที่มา : หนังสือประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก รวบรวมและเรียบเรียงโดยคุณบุญหลง ถาคำฟู ปีที่พิมพ์ พ.ศ.๒๕๔๙
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๐๓-๐๓-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๑๒ #๒๒๒๒
ประวัติ พระผง ๕ รอบและเหรียญ ๕ รอบทำไมถึงมีคนอยากได้ไว้บูชากันเสียเหลือเกิน ลองอ่านกันดูนะครับ (แบบคร่าวๆ ท่านใดมีประวัติการสร้างโดยละเอียดลงให้ได้ศึกษากันด้วยนะครับ)
พระผงทรงระฆัง เสาร์ห้า ปี ๒๕๑๕ หรือพระผง ๕ รอบ หลวงพ่อเกษม เขมโก ถือว่าเป็นวัตถุมงคลชุดแรกที่จัดสร้าง ณ สุสานไตรลักษณ์ จัดสร้างในงานบุญครบ ๕ รอบของหลวงพ่อเกษม เขมโก เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕ จำนวนจัดสร้าง โดยสร้างขึ้นจำนวน ๕,๐๐๐ องค์เท่านั้น และใช้เวลาเตรียมการกันยาวนานมาก โดยคณะกรรมการรวบรวมมวลสารสุดยอดต่างๆ ๙ สิ่งด้วยกัน ซึ่ง ๙ สิ่งนี้เองเป็นพลังบันดาลให้พระผงทรงระฆังนี้ มีพุทธานุภาพสูงส่ง ประกอบด้วย
๑. เส้นเกศาของหลวงพ่อเกษม เกศานั้นถือว่าเป็นของที่สูงที่สุดในร่างกายมนุษย์เรา โดยเฉพาะเกศาของหลวงพ่อเกษมด้วยแล้ว น้อยคนนักที่จะได้มาบูชา
๒. จีวร หลวงพ่อเกษมท่านจะอาบน้ำน้อยครั้งมาก ดังนั้นน้ำเหงื่อไคลซึ่งจะเกิดเฉพาะตอนท่านเข้ากรรมฐานจึงหมักแน่นอยู่ในจีวรมาก
๓. ก้านธูปที่หลวงพ่อเกษม ใช้บูชาอธิษฐานจิตก่อนนอนและปักที่กระถางธูป ซึ่งเป็นก้านธูปที่ท่านเพ่งกระแสจิตและสวดภาวนาทุกวี่วัน ได้ผนึกประสานรวมกันบังเกิดเป็นพลังสามารถคุ้มกันภยันตรายต่างๆ ได้
๔. ดอกไม้บูชาพระ เป็นสิ่งที่แสดงถึงคุณงามความดี กลิ่นดอกไม้นำความชื่นใจ และการบูชาดอกไม้ทำให้จิตใจโปร่งใส เกิดความสบายใจ และอารมณ์อันเป็นต้นกำเนิดแห่งจินตนาการของงานสร้างสรรค์ทุกแขนง
๕. น้ำผึ้ง ความหวานบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มีความสำคัญทั้งในทางด้านเป็นยาและบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง บำบัดโรคภัยไข้เจ็บสารพัด
๖. น้ำมันตั้งอิ๊ว ช่วยให้เนื้อพระประสานกันไม่แตกง่าย มีความหมายเหมือนความสามัคคีธรรมที่ช่วยให้เรายึดมั่นสามัคคี มีไมตรีต่อกัน
๗. ปูนซีเมนต์ขาว ทำให้เนื้อพระแข็งแกร่งและคงทน มีความหมายโดยนัยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
๘. แก้วโป่งข่าม เป็นแก้วที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ในตัวเอง เป็นแก้วที่ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข อยู่ยงคงกะพัน
๙. กล้วยน้ำว้า เป็นตัวประสานให้เนื้อพระเหนียวแน่นคงทน เหมือน "พระสมเด็จ" ก็มีส่วนผสมของกล้วยเหมือนกัน
เมื่อดูส่วนผสมทั้ง ๙ อย่างนี้คงพอทราบกันแล้วว่าพระผงนี้มีบารมีคุณวิเศษมากแค่ไหน เมื่อถูกบรรจุไว้ด้วยพลังจิตอันบริสุทธิ์สูงส่งของพระอริยสงฆ์อย่างหลวงพ่อเกษม
พลานุภาพ บารมีคุณวิเศษก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ
พระผงห้ารอบนี้มี ๒ พิมพ์ครับ คือ พิมพ์มี "ษ" กับ "ไม่มี ษ" หลายคนคงไม่ทราบว่า แล้วดูตรงไหนล่ะ ว่ามี "ษ" หรือ "ไม่มี ษ" ให้ดูด้านหลังครับ ตรงคำว่า "สุสานไตรลักษณ์" ถ้าพิมพ์มี "ษ" ตรงคำว่า "ลักษณ์" จะมี "ษ" ส่วนพิมพ์ "ไม่มี ษ" ตรงนี้จะเป็น "ลักณ์" ซึ่ง บล็อก ไม่มี "ษ" นี้ถือว่าเป็นบล็อกแรก ช่างแกะบล็อกแกะตกหล่นไป จึงแกะบล็อกใหม่ เพิ่ม "ษ" เข้าไปให้ถูกต้อง ถือว่าเป็นบล็อกหลัง และก็เป็นบล็อกนิยมด้วย เพราะหายาก มีน้อย แต่ไม่ว่าบล็อกไหนก็เหมือนกันแหละครับ
หลวงพ่อท่านมนต์ให้เหมือนกัน การแยก นิยมหรือ ไม่นิยมนั้นเพื่อพุทธพาณิชย์ มากกว่า ถ้าต้องการพุทธคุณก็อย่าไปสนใจบล็อกเลยครับ
พระผงรุ่นนี้ ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้รูปแบบจะไม่ค่อยงดงามนัก แต่เรื่องพุทธคุณนั้นตรงกันข้าม มีประสบการณ์เกิดกับผู้ที่แขวนใช้บูชาอย่างมากมาย ตอนหลวงพ่อท่านมนต์ให้เสร็จแล้ว หลวงพ่อบอกกับลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ว่า "ถ้าใช้ไม่ดีให้เอามาคืน" โดยตั้งราคาไว้ พระผง ๒๐ บาท และ เหรียญ ๑๐ บาท ช่วงแรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเช่าบูชาเท่าไหร่ จนกระทั้งมีทหารนำไปทดลองยิงในป่าข้างป่าช้า ปรากฏว่ายิงไม่ออก พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจึงพากันแห่มาเช่าบูชาจนหมดลงอย่างรวดเร็ว
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๐๖-๐๓-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๑๓ #๒๒๕๑
วันนี้ได้คุยกับท่านพี่ท่านหนึ่ง ที่คุยกันเพราะไปตัดผมพอดี นั่งรอคิวอยู่ พี่ท่านก็นั่งข้างๆ ไอ้เราสวมสร้อยแขวนหลวงพ่อเกษมอยู่ แล้วลืมเอาใส่เข้าในคอเสื้อ พี่ท่านเห็นก็ถามผมว่านับถือหลวงพ่อเกษมเหรอ ผมก็ตอบว่าใช่ พี่ท่านเลยบอกผมว่า นั่นน่ะพระอรหันต์ของจริงนะ
ผมเลยถามกลับไปว่า ทำไมพี่ถึงว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระอรหันต์ แกก็เลยเล่าให้ฟังว่า
เมื่อปี ๓๖ แกรับราชการอยู่ที่ลำปาง ครั้งแรกที่ย้ายไปที่นั่นก็ได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อท่านเหลือเกิน ก็เลยอยากไปกราบ ท่านไปครั้งแรกคนเยอะจริงๆ พี่แกเลยยกมือใส่หัวอธิษฐานว่าถ้าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์จริงๆ อย่างเค้าว่ากัน ขอให้แสดงให้เค้าได้รู้ได้เชื่อมั่นด้วยเถิด
พอถึงคิวพี่เค้าเข้าไปกราบกับเพื่อนอีก ๒ คน แกบอกว่าพอประตูเปิดออกมา แกตกใจเลยทีเดียว เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นคือ รูปกายของหลวงพ่อมีสีทองสุกปลั่งเลยทีเดียว แกว่าแกขยี้ตาอยู่ ๒ รอบเพราะคิดว่าตาฝาด แล้วสะกิดเพื่อนว่าเห็นเหมือนกันหรือไม่ แต่เพื่อนทั้ง ๒ คนก็ไม่มีใครเห็น แกรีบก้มกราบแล้วอธิษฐานขอขมาท่าน พอยกหัวขึ้นมาดูหลวงพ่ออีกครั้ง กายทองคำนั้นก็หายไปเป็นหลวงพ่อเกษมองค์กายเนื้อ
แกบอกว่าตั้งแต่ครั้งนั้นทำให้แกเชื่อว่าพระอรหันต์มีจริง แกว่างั้นครับ
เขมะโก ภิกขุ เมนาโถ ภันเตโหตุ
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๒๖-๐๓-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๒๗ #๒๕๓๓
เทศนาหลวงพ่อ
ครั้งที่ ๒๓ วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๘
“ความหลุดพ้น”
(คำสอนจาก หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง)
ความหลุดพ้น ที่มนุษย์ทุกคนพึงหานั้น อยู่ที่ตนเอง หากตนเองมุ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้พบไม่ยาก ขอให้มุ่งปฏิบัติเถิด
อาตมามุ่งปฏิบัติ จึงได้ค้นพบทางที่จะเดินไปสู่ทางดับ อาตมามาสู่ชั้นพรหมโลกนี้ ได้พบกับโยมชายผู้นี้ ได้ขอให้อาตมาแสดงธรรมโปรดให้กับมนุษย์ได้รู้ ธรรมะที่อาตมาจะสอนนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ อาตมาเป็นศิษย์ มีความรู้เพียงน้อย ได้แต่ฟังและนำมาบอกเล่าต่อให้ได้รู้
การหลุดพ้นนั้น จะต้องทำจิตของตนให้หมดกิเลส หมดสิ้นจากทุกข์ทุกอย่าง หมดสิ้นจากราคะ หมดสิ้นจากสิ่งที่อยากจะได้ สิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง (โลภะ โทสะ โมหะ) ตัดสิ่งนี้ให้หมดสิ้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้พบทางหลุดพ้น
อาตมาทำตามวิธีนี้ จึงได้พบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ว่า เป็นทางดับที่แท้จริง
อาตมาขอแสดงธรรมเพียงเท่านี้
เจริญพร...
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๒๙-๐๓-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๓๒ #๒๖๒๕
พระทันตธาตุหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์
เมื่อคราไปอัญเชิญพระทันตธาตุของหลวงพ่อเกษมจากเมืองลำปาง ก็นั่งคุยกับท่านผู้เป็นเจ้าของเดิมผู้เก็บรักษาไว้ (ให้ผม๕๕๕) ก็ได้ข้อมูลหลายๆ อย่างเกี่ยวกับหลวงพ่อ โดยเฉพาะเรื่องฟันของท่านซี่นี้แหละครับ คือ
ผู้ที่ได้มาจากมือหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อท่านห่อกระดาษเงินให้แบบนั้นเลย เป็นคุณยายผู้หญิงซึ่งปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อมาตั้งแต่ปี ๐๘ แกได้เล่าให้หลานฟังว่า หลวงพ่อท่านยื่นให้พร้อมกับบอกว่า "ฟันทองเก็บให้ดี" และเมื่อแกได้มา (ช่วงปี ๒๕๒๐) แกก็รีบเอาไปเลี่ยมกรอบพลาสติก (ห่วงเป็นลวดทองแดงนำมาม้วนเข้าหากัน โบราณมากทีเดียวครับ) และเอาใส่พานเล็กๆ ตั้งบูชาบนหัวนอนจนกระทั่งเสียชีวิตไปเมื่อ ๒ ปีก่อนนี้เองครับ ณ บ้านหลังนั้นหลวงพ่อเคยไปเยี่ยมเยือนหลายครั้ง และได้ลงลายลิขิตอักษรไว้ที่บานประตูให้ด้วย แต่เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะว่ามีเซียนใหญ่แห่งเมืองลำปางบุกไปขอบูชาราคาถึงครึ่งแสนเลยทีเดียว
ส่วนฟันซี่นี้ลูกหลานก็ได้ขายออกไปอยู่กับพี่ท่านหนึ่งในเมืองลำปาง และก่อนที่ผมจะได้มาบูชานั้น มีเสี่ยใหญ่เจ้าของโรงงานแห่งหนึ่งจากเมืองปากน้ำ สมุทรปราการได้มาขอดู แต่ยังลังเลสงสัย แต่ก็ให้ราคาไว้แล้วครับ เมื่อกลับไปเสี่ยแกก็ไม่สบายหนักเลยทีเดียว และได้ฝันเห็นหลวงพ่อเกษมท่านมาหา พร้อมกับบอกว่า ไม่ต้องเสียใจนะที่ไม่ได้ฟันของท่านไว้บูชา และรุ่งเช้าก็โทรกลับมาว่า คงไม่ใช่ของเค้า เพราะว่าหลวงพ่อมาบอกแล้ว และผมเป็นคนที่ ๒ ที่เข้าไปดูและตกลงเอาไว้บูชาทันที
เมื่อได้ไว้บูชาแล้วภรรยาของเจ้าของก็บอกผมว่า เมื่อรุ่งสางวันนั้นฝันไปว่าได้เงินและบอกหลวงพ่อเกษมว่า จะขอเอาเงินส่วนหนึ่งไปทำบุญถวายท่าน แล้วตกใจตื่นพร้อมกับเรียกสามี และบอกว่าวันนี้เจ้าของเค้าจะมาเอาฟันหลวงพ่อไปแล้ว ตัวสามีถึงกับใจหายแว๊บน้ำตาไหล เพราะแกก็ค่อนข้างหวงครับ แต่แกรักษาสัจจะกับผมแล้วว่าจะให้ดู แต่ตัวแกก็คิดว่าผมคงไม่เอาคงมาดูเฉยๆ แต่ไม่ใช่ครับ ผมขอบูชามาจนได้ แต่ก็แปลกใจว่าทำไมแกให้มาอย่างง่ายดาย สุดท้ายแกยื่นให้ผมและน้ำตาคลอนิดหน่อย ยกฟันซี่นี้ใส่หัวแล้วบอกผมว่า "รักษาให้ดี ผมคงหมดบุญกับฟันของท่านแล้ว หากเบื่อวันใดก็เอามาคืนผมได้นะ" เพราะเค้าคงเสียดายอยู่ เนื่องจากว่าที่มาที่ไปแน่นอนที่สุด และแกตามฟันซี่นี้มากว่า ๕ ปีแล้วครับ
แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าหลวงพ่อท่านเมตตาผมครับ เพราะได้ลองอธิษฐานบารมีขอฟันของท่านไว้ก่อนจะได้มาสัก ๒ อาทิตย์ได้ โดยไม่คิดว่าจะได้มาบูชาหรอกครับ เพราะหาง่ายซะเมื่อไหร่ละครับ พระเครื่องของท่านยังพอหาได้นะครับ แต่ฟันของท่านจะไปหาที่ไหน แต่เมื่อบารมีถึง (เพราะช่วงที่ผ่านมาผมนั่งสมาธิถวายท่านหนักเลยทีเดียวเพื่อทดสอบบารมีตัวเอง) ก็ได้มาอย่างอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว นี่แหละครับ อานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมมีจริงนะครับ ท่านใดถึงคราวตกอับเดือดร้อน อย่าลืมนึกถึงพระอริยสงฆ์องค์สำคัญของเมืองไทย พระนามว่า "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ท่านเมตตาช่วยท่านได้จริงๆ ครับ รับรองแต่ก็ต้องด้วยความศรัทธาที่มั่นคง และสิ่งสำคัญต้องมีสัจจะกับท่านด้วยนะครับ แล้วท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
อีกเรื่องที่คนแถวสุสานเค้าได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเกษมให้คนเอาห่อตองไปให้เจ้าประเวทย์ และเมื่อเจ้าประเวทย์ได้่แกะห่อตองออก ถึงกับโกรธหลวงพ่อมาก เพราะในห่อนั้นคือ "ปลาทู" แต่ว่าเหลือแต่ก้างไม่มีเนื้อแล้ว ซึ่งเป็นการบอกเจ้าประเวทย์เป็นนัยๆ บางอย่าง และปริศนานี้มีคำตอบเมื่อบั้นปลายชีวิตของเจ้าประเวทย์ครับ นั่นก็คือ "สิ้นเนื้อหมดตัว" จริงๆ (คงเป็นกรรมที่ได้สร้างไว้มาสนองนั่นเองครับ)
พรุ่งนี้วันพระอย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระถวายหลวงพ่อนะครับพี่น้องทุกท่าน......
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๒๙-๐๓-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๓๒ #๒๖๒๗
วันนี้วันดีครับ ผมขอมอบพระคาถาที่ได้มีโอกาสคัดไว้จากหนังสือวันเกิดครบรอบอายุ ๗๗ ปี (เมื่อปี ๒๕๓๑) ของหลวงพ่อเกษมท่านครับ ซึ่งเป็นคาถาที่หาได้ยาก เพื่อให้นำไปถือปฏิบัติตามกำลังศรัทธาและความเลื่อมใสต่อไป
คาถามีทั้งหมด ๔ บท ซึ่งทั้ง ๔ บทนี้ผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่อเกษม เขมโก เคยนำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีจนเป็นที่เลื่องลือมาแล้ว ซึ่งขอมอบให้ชาวเวบทุกท่าน ดังนี้ครับ
พระคาถาบทที่ ๑ (ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วให้ว่าดังนี้)
"สิวะลีมหาเถรัง วันทามิหัง,
สิวะลีมหาเถรัง วันทามิหัง,
สิวลีมหาเถรัง วันทามิหัง
มหาสิวลี เถโร มหาลาโภ โหติ
มหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เทถะ"
บทนี้ใช้สวดภาวนาประจำทั้งเช้าและเย็น เป็นคาถาโชคลาภ และเมตตามหานิยม จำทำให้ผู้ที่สวดภาวนาทำมาค้าขายดี ก่อนสวดให้ระลึกถึงพระสิวลีมหาเถระเจ้าผู้อุดมด้วยโชคลาภและหลวงพ่อเกษม เขมโก พระสุปฏิปันโนผู้ทรงความเมตตาและคุณธรรมสูง แล้วอธิษฐานขอโชคลาภตามใจปรารถนา
พระคาถาบทที่ ๒ (ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วให้ว่าดังนี้)
"พุทโธ วะโร สะติ มะโต สัพพะ อันตะรายา วินาสันตุ"
ใช้สวดภาวนา เป็นคาถาแคล้วคลาด ป้องกันสรรพอันตรายทั้งปวง ก่อนออกจากบ้าน หรือขณะเดินทาง ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ ให้สวด ๓ จบ ๗ จบแล้วค่อยไป อย่าลืมระลึกถึงองค์หลวงพ่อก่อนสวดทุกครั้ง
พระคาถาบทที่ ๓ (ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วให้ว่าดังนี้)
"ธัมโม มะมัง สุรักขะตุ"
ใช้สวดให้พระคุ้มครอง ป้องกันภูตผีปิศาจ ก่อนออกจากบ้านเดินทางให้สวด ๓ จบ ๗ จบ แล้วระลึกถึงหลวงพ่อเกษม เขมโกจึงค่อยไป
เด็กนอนไม่หลับ ร้องไห้งอแงในเวลากลางคืน ให้ใช้คาถาบทนี้เป่าศีรษะเด็ก ๓ ที เด็กจะนอนหลับสบาย
เวลาพาเด็กเดินทางไปต่างถิ่นก็ให้ใช้คาถานี้เป่าป้องกันภูตผีปิศาจหลอกหลอน ท่านว่าชะงัดดีนักแล
พระคาถาบทที่ ๔ (ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วให้ว่าดังนี้)
"นะ โน นะ อันตะรายา วินาสันตุ"
ใช้เป็นคาถาแคล้วคลาด ป้องกันศาสตราวุธและโจรภัย อันตรายทั้งปวง ก่อนออกจากบ้านเดินทางให้สวด ๓ จบ ๗ จบ ก่อนแล้วจึงเดินทาง ในระหว่างทางก็ให้ภาวนาไปด้วยแม้นว่าจักพบอันตรายใดๆ ก็จะแคล้วคลาด เพราะคาถานี้ยังเป็น "นะจังงัง" อีกด้วย ท่านว่าดีนัก แต่อย่าลืมระลึกถึงหลวงพ่อเกษม เขมโก ก่อนใช้ทุกครั้ง
ทั้ง ๔ บทนี่หลวงพ่อเกษม ท่านเมตตารจนาด้วยองค์ท่านเองทั้งสิ้น เพื่อมอบเป็นสมบัติให้กับลูกหลานในภายภาคหน้าได้ใช้กัน ขอบารมีหลวงพ่อเกษมตามรักษาทุกท่านเทอญ
ไม่ห้ามที่จะนำไปเผยแพร่เป็นสาธารณะครับ ท่านใดปรารถนาจะพิมพ์แจกก็เรียนเชิญนะครับและขอโมทนาบุญด้วยทุกประการล่วงหน้า
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๐๓-๐๔-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๓๘ #๒๗๔๙
๑. เกศาของหลวงพ่อเกษม
๒. ผ้าจีวร
๓. ริบบิ้น
๔. ก้านธูป
....นี่คือของสุดยอด ยอดสุดของหลวงพ่อแล้วหละครับ....
และของที่หลวงพ่อท่านเจตนาสร้างจริงๆ ก็คือก้านธูปห่อกระดาษเงิน-กระดาษทองเท่านั้นนะครับ
เมื่อวานได้นั่งคุยกะศิษย์หลวงพ่ออิฏ วัดจุฬามณีมา ท่านก็ถามว่าห้อยพระไร ผมก็บอกหลวงพ่อเกษม ท่านบอกว่า อ.อิฏ ท่านก็นับถือหลวงพ่อเกษมมาก เพราะว่าครั้งหนึ่ง ท่านเคยถูกนิมนต์ไปปลุกเสกพระที่ลำปาง ครั้งนั้นหลวงพ่อเกษมก็ร่วมด้วย ท่านบอกว่า สายสิญจน์ร้อนฉ่าเลยทีเดียว ท่านถึงยอมรับพลังจิตของหลวงพ่อเกษม และนับถือหลวงพ่อ (ของพวกเรา) ไปเลยครับ เพราะท่านไม่เคยรับรู้ถึงพลังงานแบบนี้ที่ไหนเลย นอกจากพระภิกษุจากเมืองลำปางองค์นี้เท่านั้น นาม "หลวงพ่อเกษม เขมโก"
โพสต์โดย อุตฺตโม เมื่อวันที่ ๑๖-๐๔-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๖๔ #๓๒๗๘
พอพี่เพชรนำเสนอข้อความนี้ขึ้นมา ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของ "อายุขัย" ที่จดหมายผมเขียนถึงหลวงปู่เกษมทันที และมีเรื่องเล่าให้คิดอยู่ ๒ เรื่อง ดังนี้ครับ
ผมรู้สึกรักและเคารพหลวงปู่เกษมมาก และเห็นว่าหลวงปู่ควรมีอายุอยู่ต่อให้ยาวนาน จากที่เคยได้อ่านข่าวหลายครั้งว่า "หลวงปู่จะละสังขาร" ผมเป็นห่วงหลวงปู่มาก และคิดว่าหลวงปู่น่าดำรงสังขารอยู่ต่อไป ผมคิดว่า ผมน่าจะมีอายุขัยอีกยาวนาน ในปี ๒๕๓๖ ผมอายุยังไม่มาก และคิดอย่างจริงจังว่าอายุขัยของผมน่าจะต่ออายุให้หลวงปู่ดำรงสังขารอยู่ได้อีก ผมจึงมีจดหมายถึงท่านเพื่อถวายอายุขัยดังกล่าว และไม่ใช่ครั้งนั้นครั้งเดียว ผมยังอธิษฐานถวายอายุขัยของผมให้แก่หลวงปู่ครั้งละ ๑ ปี ทุกปีติดต่อกันนับแต่ปี ๒๕๓๖
จนมาเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๘ มีข่าวว่าหลวงปู่สิ้นลมหายใจ ที่กุฏิของท่าน และคุณดาว ลำปางเป็นคนนำส่งที่โรงพยาบาลลำปาง หลวงปู่สิ้นลมหายใจไปประมาณ ๒ ชั่วโมง และแพทย์ได้ปั๊มหัวใจช่วยชีวิต ขึ้นมาได้ ได้ความว่า "หลวงปู่ฟื้นขึ้นมาจากสิ้นลมหายใจไป ๒ ชั่วโมง ท่านก็ได้สวดมนต์พึมพำทันที เป็นอันว่าท่านปลอดภัย"
ผมรู้สึกดีใจมาก ที่หลวงปู่ยังไม่ละสังขาร ใจนึกทันทีตอนนั้นว่า "อายุขัยของเราที่ถวายหลวงปู่หรือเปล่า ที่ท่านฟื้นขึ้นมา แต่ก็ไม่แน่ใจ" จนปลาย ๆ เดือนกันยายน ๒๕๓๘ หลวงปู่ยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คืนหนึ่งผมฝันไปว่า หลวงปู่เดินตัวงอโดยมีเจ้าประเวทย์ประคองท่านมา เดินอยู่บนศาลาจากทิศใต้ และกำลังตรงมาหาผมที่ยืนมองท่านอยู่ พอหลวงปู่ถูกเจ้าประเวทย์ประคองเดินมาจนจะถึงตัวผม ผมนั่งคุกเข่าประนมมือขึ้นไหว้ทันที หลวงปู่พูดกับผมว่า "เฮา จะอยู่อีก ๘๖ วันจำไว้ ฯลฯ" หลวงปู่พูดจบก็เดินผ่านหน้าผมไปทางทิศตะวันตกทันที ผมตกใจตื่น แล้วพิจารณาความฝันทันที ใจผมเสียคิดว่า "หรือหลวงปู่มาคืนอายุขัยที่เราถวายให้ท่าน"
ผมนำเรื่องไปเล่าให้บิดามารดาผมฟังว่า "หลวงปู่บอกว่าจะอยู่อีก ๘๖ วัน" มารดาผมบอกว่าผมคิดมาก ผมก็เลยเบาใจลงบ้าง แต่บางครั้งก็นำหลายเรื่องมาประมวลเหตุการณ์จนใจไม่สงบ อยู่ต่อมาก็ฟังข่าวว่าหลวงปู่อาการดีขึ้น จึงผมไม่นำความฝันมาคิดให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาอีก
มาวันศุกร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ อีก ๔ วันก็ครบรอบวันเกิดของหลวงปู่ ในเช้าวันนั้นผมเดินไปดูพระตามแผงพระเครื่องที่จังหวัดชัยนาท ก็ได้ยินเสียง "เฮียตง" ซึ่งเดินดูพระเหมือนกัน เอ่ยขึ้นมากับคนขายพระว่า "โอ้ย หลวงพ่อเกษมนะหรือ ที่อยู่ได้เพราะให้อ๊อกซิเยน ถอดออกเมื่อไรก็ตาย ลูกศิษย์เขาประคองให้ครบรอบวันเกิดก่อน ครบรอบวันเกิดเมื่อไรตายแน่"
ผมนึกโมโหเฮียตงที่ปากไม่ดี แต่มาคิดอีกที "หรือว่าจะจริงแบบเฮียตงว่าไว้" เพราะมานึกถึงความฝันวันนั้นอีกว่า "เฮาจะอยู่อีก ๘๖ วันจำไว้"
ผมก็เริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เพราะอีก ๔ วัน ก็ครบรอบวันเกิดหลวงปู่ ผมอยากไปหาหลวงปู่ แต่นับเงินในกระเป๋ามีอยู่เพียง ๔๐๐ บาท เติมน้ำมันรถในปีนั้น คือไปได้อย่างเดียวกลับไม่ได้ มานึกถึงบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพที่ให้ไว้ เหลือเงินอยู่ ๒,๘๐๐ บาท ผมเลยโทรศัพท์ชวนบิดาให้ไปกับผมที่ลำปาง แต่บิดาติดธุระ ถ้าผมจะไปคงต้องไปคนเดียว และเมื่อไปต้องมืดแน่ ๆ
ใจเริ่มแบ่งเป็นสองทาง คือ "ไป" หรือ "ไม่ไป" แต่อย่างไรเสียไปกดเงินบัตรเครดิตที่เหลือ ๒,๘๐๐ บาทก่อนดีกว่า ผมจึงไปที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาชัยนาท (ในปีนั้นมีตู้เอทีเอ็มเพียงตู้เดียว ใช้กดเงินได้ทุกธนาคาร) ผมเลยคิดขึ้นมาว่า "เสี่ยงทายกับตู้เอทีเอ็มนี้ดีกว่า ว่าผมจะไปหรือไม่ไปดี" ผมจึงพูดกับตู้เอทีเอ็มว่า "หากผมกดเงินแล้วเงินออกมา ๓,๐๐๐ บาท ผมจะไปลำปางไปหาหลวงปู่เกษมทันที" แล้วผมก็กดยอดเงินดังกล่าวทันที ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันมีเพียง ๒,๘๐๐ บาท พอผมกดไป ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตู้เอทีเอ็ม มันนิ่งเงียบจนน่ากลัวเลยครับ มันนิ่งอยู่เกือบ ๒ นาที สักพักหนึ่งก็มีเสียงของการทำงาน ใจผมเต้นลุ้นว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปรากฏว่า มีเงินไหลออกมาจากตู้เอทีเอ็มจำนวน ๓,๐๐๐ บาท จริง ๆ และมีสลิปออกมาว่าผมติดลบ ๒๐๐ บาท คือกดเงินเกินบัญชีแล้วตู้เอทีเอ็มให้ยืมเงินครับ (ถามว่ามันเป็นไปได้อย่างไร บัตรเครดิต หากมีเงินไม่พอ มันก็เด้งออกมาจากเครื่องแล้ว แต่มันกลับทำงาน และให้เงินผมยืม ๒๐๐ บาท อะไรทำให้มันขัดคำสั่งโปรแกรมการทำงานของมันได้ ผมไม่รู้ครับ ให้ท่านพิจารณาดู)
ผมตัดสินใจครับรถไปลำปางทันที ตามที่เครื่องเอทีเอ็มตัดสินให้ผม โดยมีเงินไปเพียง ๓,๔๐๐ บาท ผมเติมน้ำมันรถเก๋งเต็มถึง ๔๐๐ กว่าบาทเหลือเงินไม่ถึง ๓,๐๐๐ บาท ออกจากชัยนาทเกือบเที่ยง ขับไปถึงลำปาง ราวบ่าย ๔ โมงครึ่ง ก็ตรงไปที่สุสานไตรลักษณ์ แล้วถามผู้หญิงที่เฝ้าอยู่ว่า "หลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง แล้วอยู่โรงพยาบาลไหน" ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า "อยู่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง หลวงปู่ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่" คำตอบของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา จึงได้เดินบูชาวัตถุมงคล ก็มาได้ "ล๊อกเก็ต ๘๑" ที่มีเส้นเกศาราคา ๑,๐๐๐ บาทที่ผมคล้องอยู่ประจำครับ"
เสร็จแล้วผมก็ขับรถตระเวนหาโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง จนเวลา ทุ่มครึ่งจึงพบ และก็เดินหาห้องผู้ป่วยที่หลวงปู่นอนอยู่ จนพบ ก็เห็นสมุดเยี่ยม ที่เปิดให้สานุศิษย์และผู้มาเยี่ยมลงข้อความ "ผมเขียนข้อความจำได้คร่าว ๆ ว่า ผมขอถวายอายุขัยของผมทั้งหมดให้หลวงปู่ ขอให้หลวงปู่ดำรงสังขารอยู่ต่อไปด้วยเทอญ" ใจผมคิดว่า ชีวิตผมไม่เอาอะไรแล้ว ขอให้หลวงปู่ทั้งหมด และคิดว่านี่คือบุญใหญ่ของผม ผมหวังได้ดีชาติหน้าครับ "
ผมไม่มีโอกาสเข้าไปหาหลวงปู่ เพราะพยาบาลเขียนไว้หน้าห้องไม่อนุญาตให้เข้ากลัวหลวงปู่ติดเชื้อ ผมจึงมานั่งภาวนาถึงหลวงปู่ แล้วบอกกล่าวหลวงปู่ที่หน้าห้องคนไข้ อยู่นานเป็นชั่วโมง จนเลิกภาวนา ก็พบว่า "เจ้าประเวศน์พร้อมภริยา และผู้ติดตามนำขนมหวานใส่ถ้วยมาให้ผมทาน " พอสักพักหนึ่งผมก็กราบลาหลวงปู่และขับรถกลับชัยนาท ขับบ้างนอนบ้างถึงชัยนาท ตีสามเกือบตีสี่ครับ และในที่สุดวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๙ หลวงปู่ก็ละสังขาร ผมเศร้าสลดเป็นที่สุดในชีวิตครับ
ผมคาใจเรื่องอายุขัยมานาน ว่าแท้จริงถวายให้กันได้ไหม ผมเพิ่งได้รับคำตอบจากหลวงพ่อสมคิด วัดเขาวงศ์ (ลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร) ว่า "หากเป็นพระที่สำเร็จแล้ว สามารถทำได้ เรื่องการให้หรือรับอายุขัยครับ"
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๒๓-๐๔-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๗๙ #๓๕๗๖
หากท่านต้องการจะขอบารมีจากองค์หลวงพ่อเกษม เขมโก เพื่อความเป็นมงคลแก่ท่านและครอบครัว ให้ท่านนั่งคุกเข่าพนมมือกล่าวคำขอขมาหลวงพ่อว่า.....
"วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม" กราบลง ๓ ครั้ง
แล้วให้ตั้งจิตอธิษฐานขอในสิ่งที่ท่านปรารถนาเถิด เสร็จแล้วให้กล่าวคำวันทาหลวงพ่อเกษม ดังนี้
"วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราทัง ขะมะถะ เม ภันเต มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง มะยา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สาธุ สาธุ อะนุโมทามิ"
จบแล้วกราบลง ๑ ครั้ง (ห้ามเกิน ๑ ครั้ง) พร้อมกล่าวคำว่า "สังฆัง นะมามิ" (อ้างอิงมาจากหนังสือครบรอบ ๘๐ ปีหลวงพ่อเกษมครับผม)
....แล้วท่านผู้บูชาองค์หลวงพ่อจะทราบด้วยตัวเองว่า หลวงพ่อเกษมเมตตาทุกท่าน ที่บูชาท่านด้วยความจริงใจครับ....ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๒๓-๐๔-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๗๙ #๓๕๗๗
เหรียญแตงโม เหรียญสุดยอดประสบการณ์เหรียญหนึ่งของหลวงพ่อเกษมครับ
เพราะญาติห่างๆ กันนี่แหละครับ ขับมอเตอร์ไซด์ออกมาจากซอย รถกระบะขับมาชนอย่างแรงปลิวไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง สลบไปหลายชั่วโมง ฟื้นขึ้นมามีแค่รอยช้ำที่หัวไหล่นิดเดียว หนังยังไม่ถลอกด้วยซ้ำ กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่เป็นไรสักอย่าง ที่คอพ่อเค้าให้แขวนเหรียญแตงโมเหรียญเดียวเท่านั้นครับ
ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ถามเค้าว่ารู้ตัวไหมตอนโดนชน เค้าบอกว่ามีสติตลอด แต่ตอนปลิวลอยไปชนกับเสาไฟฟ้าแว๊บหนึ่งเห็นผ้าเหลืองๆ มารับแล้วก็วูบไป
น่าเสียดายไม่มีโอกาสถ่ายรูปเหรียญนั้นไว้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวไปอยู่ ตปท.นานแล้วหละครับ (ดูเหรียญนี้แทนก็แล้วกันนะครับ)
โพสต์โดย Huyakorn เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๖ #๖๗๐๙
พ่อผมเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่หนุ่มๆ ตอนนั้นทำงานเป็นช่างใหญ่ (ซ่อมเครื่องบิน) อยู่ที่บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ตรงถนนหลานหลวง (ตึกการบินไทยในปัจจุบัน) พ่อเล่าว่าเข้าป่าช้าไปนั่งสมาธิกับท่านหลายครั้ง อยู่กรุงเทพฯไปลำปางเกือบทุกสัปดาห์ บินไปเช้า เย็นก็กลับ มีบางครั้งที่นอนค้างคืน เรียกว่าพอว่างจากงานก็ไปนมัสการท่านที่วัดเลย
สมัยก่อนตอนผมเด็กๆ (ตอนนี้ ๕๐ กว่าแล้ว) ผมจะรู้จักพระอยู่ไม่กี่องค์ อันดับหนึ่งก็คือ "หลวงพ่อเกษม" นี่ล่ะครับ ลองลงมาก็เป็นหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เพราะเมื่อก่อนบ้านผมอยู่แถวนั้น ที่บ้านรู้จักตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาส และท่านเจ้าคุณหลายองค์ ตอนที่พ่อ-แม่ผมแต่งงาน ท่านเจ้าอาวาสยังให้ "หลวงพ่อทองคำ" เนื้อทองคำเป็นของรับไหว้พ่อกับแม่มา (รูปประจำตัวผมตอนนี้) พ่อบอกว่ามีอยู่แค่ ๓ องค์ เพราะนำผงทองคำบนพระเกศของหลวงพ่อทองคำมาทำ ซึ่งมีอยู่น้อยหล่อพระได้แค่ ๓ องค์ เท่านั้น ถวายพระเจ้าอยู่หัว ๑ องค์ ให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ องค์ องค์ที่ ๓ อยู่ที่ผม เนื่องจากผมเป็นลูกคนโตก็เลยได้รับมาครับ ส่วนองค์ที่ ๓ ก็หลวงพ่อโสธร
ตอนเด็กๆ เคยได้ยินลุงเล่าให้ฟังว่า พี่ผม (ลูกของลุง) ปีนตู้กระจกจะเอาของบนตู้ ตู้รับน้ำหนักไม่ไหวล้มทับพี่ชาย กระจกแตกหมด แต่ลูกลุงไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว ลุงบอกว่าสงสัยแขวนพระหลวงพ่อเกษม เลยแคล้วคลาดไม่ได้รับบาดเจ็บ (ไม่รู้ว่าแขวนพระรุ่นไหน)
วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ..
หน้า ๓๓๗
เล่าต่อครับ...
ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตอนเย็นๆ ก็ไปเรียน A.U.A ช่วงหน้าหนาวปีนั้นเพื่อนที่ A.U.A ชวนไปเที่ยวภูกระดึง ผมไม่รู้ว่ามันจะต้องเดินขึ้นเขาที่ชัน และไกลขนาดนั้น แค่ซำแฮ่กก็เกือบตาย แข้งขาหมดแรงล้าไปหมด ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ถ้ารู้ก็คงจะฝากเป้ และกีตาร์ไปกับลูกหาบแล้ว
ผมคิดในใจว่าขอให้ขึ้นไปถึงยอด (หลังแป) ให้สำเร็จ หมดโค๊กไปขวดกัดฟันเดินต่อ ตอนแรกก็เดินรวมกลุ่มไปกับเพื่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นพี่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เดินไปได้สักพักรู้สึกว่าความล้า ความอ่อนแรง อาการเหนื่อยต่างๆ หายไปไม่รู้ตัว ผมเริ่มเดินเร็วขึ้น เดินไป รอไป จนเพื่อนบอกว่าไม่ต้องรอก็ได้ ไปเจอกันข้างบนเลย ปกติเดินขึ้นภูกระดึงสมัยก่อนใช้เวลาประมาณ ๖-๗ ชม. (๑๐.๐๐-๑๗.๐๐ น.) ผมเดินไปเรื่อยๆ แซงหน้าไปหลายกลุ่ม ทั้งๆ ที่แบกเป้ และถือกีตาร์ เดินสนุกไม่ได้หยุดกินน้ำอีกเลย ถึงหลังแปแล้วจึงพักกินน้ำ นั่งรอเพื่อน กะว่าไม่น่าเกิน ๑๕ นาที
ผมนั่งรอจนถึงห้าโมงเย็นเพื่อนก็ขึ้นมาถึงหลังแป ถามว่ามาถึงนานแล้วยัง ผมบอกว่านั่งรอมาชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่มีใครเชื่อหัวเราะกันใหญ่ บอกว่าขี้โม้ เป็นไปไม่ได้หรอก เดินตามมาติดๆ พักตามทางแต่ละที่ก็ไม่เกิน ๑๐ นาที ผมก็ไม่ได้เถียงหรือคิดอะไรมาก นึกว่าเดินจนชินแล้วก็เลยไม่เหนื่อย พอไปถึงที่พักของกรมป่าไม้ ข้างบนอากาศเย็นจัด อุณหภูมิประมาณ ๘-๑๐ องศา เข้าที่พักผู้ชายนอนรวมกัน ผู้หญิงก็แยกไปนอนอีกหลัง ไม่มีใครอาบน้ำเพราะหนาวกันทุกคน บอกว่าจะอาบวันพรุ่งนี้ แต่ผมทนไม่ได้เคยอาบน้ำก่อนนอน จะไปอาบน้ำเพื่อนรุ่นพี่ที่แก่กว่าผมสัก ๕-๖ ปี ก็ขออาบด้วย อาบพร้อมกันเลย..
เอาล่ะซิ เจอเกย์เข้าแล้ว (สมัยนั้นยังไม่รู้จักคำว่าตุ๊ด) เกิดมายังไม่เคยอาบน้ำกับใครเลย เอายังไงก็เอากันวะ แก้ผ้าอาบน้ำ เหมือนเอาเข็มมาแทงทั้งตัว น้ำเย็นเจี๊ยบ ผมรีบอาบให้เสร็จเร็วๆ เพราะเขินรุ่นพี่ หันหน้าเข้าฝาตลอด พอกำลังจะเช็ดตัว ได้ยินเสียงดังตุ๊บ หันไปดู อ้าว!! รุ่นพี่ล้มลงไปแล้ว เป็นชีเปลือยยังไม่ได้ราดน้ำสักขันเลย ผมรีบเข้าไปพยุง เอาผ้ามาพันตัวเอาไว้ พี่เขาบอกว่าขยับตัวไม่ได้มันแข็งไปหมด ช่วยพาไปที่พักหน่อย
พอถึงที่พัก ความอุ่นในบ้านทำให้พี่เขาพอจะขยับตัวใส่เสื้อผ้าเองได้ ตอนนั้นพวกผู้หญิงมาตามไปกินข้าวเย็น (ไปเที่ยวคราวนี้มีผู้ชายอยู่ ๒ คนคือผมกับพี่คนนี้เท่านั้น) พี่เขาบอกให้ผมไปกินก่อนเดี๋ยวจะตามไป กินข้าวเสร็จกลับมาพี่เขานอนห่มผ้าอยู่ ผมถามว่าดีขึ้นหรือยัง พี่เขา (ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) บอกว่าแข้งขา มือไม้ชาไปหมด ขยับไม่ได้ ผมก็บอกว่าจะเอายาหม่องพระมาทาให้พรุ่งนี้เดินตัวปลิวเลย ปกติพี่คนนี้เขาบอกว่าเค้าไม่มีศาสนา ดูจากภายนอกก็พอจะรู้ เพราะไว้ผมยาว แต่งตัวคล้ายฮิ้บปี้ เป็นนักร้องด้วย
ผมบอกว่ายานี้จะได้ผลก็ต้องเชื่อในพุทธคุณของท่านเสียก่อน พี่เขาลังเลอยู่พักนึงก็ตอบ O.K. ผมเลยหยิบยาหม่องประจำตัว เป็นยาหม่องของหลวงพ่อเกษม พ่อเอามาจากวัดทีนึงเยอะๆ ผมจะแบ่งเอามาใช้ตลอด ทาแก้ปวดท้อง ปวดหัว ปวดเมื่อย ฟกช้ำ ครั้งเดียวอยู่ แต่ต้องท่องคาถาที่พ่อบอกทุกครั้ง คือ "พุทธัง สูญหาย - ธรรมัง สูญหาย - สังฆัง สูญหาย" ผมทายาหม่องให้พี่เขาทั้งตัวเกือบหมดขวด เหลืออยู่นิดหน่อยเก็บเอาไว้ทาให้ตัวเองคืนนี้
ตื่นตอนเช้าพี่หายไปไหนก็ไม่รู้ ผมไปอาบน้ำกลับมาเจอพี่เขายืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าบ้านพัก บอกว่าอาบน้ำแต่เช้าแล้ว ไปเดินเล่นแถวนี้ ผมถามว่าเป็นยังไงบ้าง พี่เขาบอกว่าหายดีแล้ว หลับเป็นตาย วันนี้ไปเที่ยวได้แน่ เราอยู่บนภูกระดึง ๒ วันก็เดินทางกลับ ตอนจะกลับพี่เขาถามว่ายาหม่องหมดหรือยังขอยืมทาก่อนลงเขาได้หรือเปล่า ผมบอกว่าหมดแล้วครับ พี่เขาหน้าเสียไปเลย ตอนลงเขาก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงไปตลอดทางเลย และถึงข้างล่างเป็นคนสุดท้าย จบแล้วครับ ยาวไปหน่อยต้องขอโทษด้วย..
"ยาหม่องหลวงพ่อเกษม" หมดไปหลายปีแล้ว แต่คาถาของท่านยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผมใช้ยาหม่องยี่ห้อไหนก็ได้ เวลาทาท่องคาถาของท่าน หายทุกครั้งเลยครับ อ้อ!! เวลาทาให้ "ทาลง" อย่างเดียวนะครับ อย่าทาขึ้นลง หรือซ้ายขวา เจอกันคราวหน้า..นะครับ!
ผมลืมบอกไปว่า เที่ยวภูกระดึงครั้งนั้นนอกจากยาหม่องแล้ว ผมยังมีเหรียญหลวงพ่อเกษม ติดตัวไปด้วย..ครับ
หน้า ๓๓๘
..เล่าต่อครับ
ผมมีพี่น้อง ๔ คน เป็นผู้ชาย ๓ ผู้หญิง ๑ ผมเป็นคนโต ผู้ชายเรียนที่โรงเรียนวัดสระเกศทั้งหมด เพราะใกล้ที่ทำงานพ่อ (ตึกการบินไทย หลานหลวง) ตีห้าครึ่งก็ออกมาพร้อมพ่อเลย เวลากลับต้องกลับเองเพราะพ่อจะกลับดึกเกือบทุกวัน สมัยก่อนนักเรียนยกพวกตีกันก็จะเป็นโรงเรียนมัธยม ไม่ใช่สถาบันอาชีวะอย่างในปัจจุบัน รร.วัดสระเกศมีโจทย์หลายโรงเรียน เช่น อำนวยศิลป์ เทพศิรินทร์ สุรศักดิ์มนตรี ผดุงศิษย์พิทยา เป็นต้น
บ้านผมอยู่ลาดพร้าว เวลากลับต้องนั่งรถเมล์สาย ๘ มาลงซอยภาวนา แล้วต่อรถเมล์อีกที รถเมล์มีน้อย นานๆ จะมาสักคัน เมื่อก่อนไม่มีประตูอัตโนมัติปิดเปิดเหมือนสมัยนี้ นักเรียน (โต) ส่วนใหญ่ยืนที่บันได ที่ชอบยืนตรงบันไดเพราะลมมันเย็น วันหนึ่งน้องชายคนรองผมขึ้นรถเมล์กลับบ้านกับเพื่อน คนแน่นมากต้องโหนอยู่ที่บันไดหลัง ตอนที่ผ่านจะเลี้ยวซ้ายบริเวณบ้านพักรถไฟ ถ.ยมราช อยู่ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นซึ่งยืนหลบหลังเสาไฟฟ้า โผล่ออกมาพร้อมกับดาบยาว ฟันไปที่หน้าอกน้องผมขณะที่รถเมล์กำลังวิ่งอยู่ ความเร็วของรถเมล์สวนกับความแรงของดาบ ทำให้คนในรถร้องกันลั่นรถ กระเป๋ารถเมล์ และเพื่อนๆ ของน้องตะโกนบอกคนขับให้หยุดรถ บอกว่ามีคนโดนฟัน คนขับไม่ยอมจอดวิ่งยาวไปจนถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าตายแน่เพราะตอนโดนฟันเสียงดังมาก คนขับลงมาถามน้องชายว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า มาถึงโรงพยาบาลแล้วจะได้ให้หมอดู
น้องผมบอกว่าไม่เป็นอะไร มองดูที่เสื้อก็ไม่เห็นมีเลือด อาจจะฟันไม่โดนตัวไปโดนตัวถังรถแทน คนขับก็เลยออกรถขับต่อไป เพื่อนๆ น้องชายเล่าว่าคนในรถคิดว่าโดนตัวคนแน่ๆ ไม่ใช่โดนตัวรถ กลับมาถึงบ้านน้องก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แต่เรื่องมาแดงตอนที่ถอดเสื้ออาบน้ำแล้วแม่เห็นว่าตรงหน้าอกมีรอยช้ำ เป็นจ้ำๆ สีม่วง สีเขียว ยาวตั้งแต่หัวไหล่พาดลงมาถึงเอว แม่ถามว่าไปโดนอะไรมา น้องก็เลยเล่าให้ที่บ้านฟัง พ่อรู้เรื่องโกรธมากจะไปตามล่าไอ้เด็กคนที่ฟัน แต่ที่บ้านห้ามเอาไว้บอกว่าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว น้องผมหยิบเสื้อมาให้ดูเสื้อมีรอยขาดนิดหน่อย แต่ก็ใช้ใส่ไปโรงเรียนไม่ได้อีกแล้ว เรื่องนี้เล่ากันมันทุกทีเวลาเพื่อนๆ น้องชายมาหาที่บ้าน บางตอนก็เล่าว่ามีคนตะโกนถามว่าใส่พระอะไรหนู น้องผมก็ตอบว่า "หลวงพ่อเกษม..ครับ"
จบแล้ว..จะมาเล่าต่อวันหลังนะครับ
โพสต์โดย nitikoon29 เมื่อวันที่ ๑๒-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๘ #๖๗๔๔
ปาฏิหาริย์พระเครื่องหลวงพ่อเกษม เขมโก
เรื่องมีอยู่ว่าญาติของผมเห็นว่าช่วงหลังๆ นี้ผมมาสนใจพระเครื่องก็เลยเอาพระมาให้องค์หนึ่งและบอกว่าเป็นพระของหลวงพ่อเกษมที่ลำปางเมื่อผมดูที่หน้ากล่องพระเขียนว่าผมก็เลยปฏิเสธไม่เอาเพราะตามที่อ่านมาในเว๊ปบอกว่าให้เล่นหาปี ๑๘ ลงไป..
แกก็คะยั้นคะยอบอกว่าเอาไปเถิดอุตส่าห์เอามาให้แล้ว ผมก็รับมาด้วยความไม่เต็มใจ พอให้พระเสร็จแกก็เดินไปทำงานต่อซึ่งก็อยู่ใกล้แถวนั้น ผมก็แสร้งหยิบพระในกล่องขึ้นมาดูเพื่อให้แกสบายใจ
พอหยิบพระใส่ในฝ่ามือเพื่อจะดูว่าเป็นพระอะไร..แต่ไม่ถึง ๓ วินาทีพระที่อยู่ในฝ่ามือก็หายวับไปทันที พระหายไปจริงๆ ไม่ได้หล่นลงพื้นแน่นอน และกล้าสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะผมก็ไม่ได้เป็นเซียนพระที่จะมาสร้างนิยายเพื่อปั่นราคาพระให้สูงขึ้น..
ตอนนี้หนึ่งในพระที่ติดตัวเป็นประจำก็ต้องมีพระหลวงพ่อเกษมอยู่ด้วยแน่นอนครับ
ผมอยากบอกทุกๆ ท่านว่าพระของหลวงพ่อเกษมรุ่นไหนก็ได้ ที่ประวัติการสร้างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรุ่นลึกๆ หรอกครับ เอาศรัทธาและหัวใจเราเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญนะครับ ยิ่งเซียนพระไม่เล่นรุ่นหลังๆ พวกเราก็จะได้พระที่ไม่แพงใช่ไหมครับ....
โพสต์โดย motana2008 เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๗ #๖๗๒๓
ผมขออนุญาตบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว เพื่อระลึกถึงหลวงปู่เกษมที่มีต่อผมก่อนแล้วกันนะครับ
ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ได้สนใจใยดีกับ พระเครื่อง อะไรมากมาย แต่น้าเป็นคนที่สนใจธรรมมะ สวดมนต์ และรู้จักหลวงปู่เกษม ต่อมาในปี ๓๕ หรือ ๓๖ จำได้ไม่ค่อยดีนัก น้าได้บูชาและให้เหรียญนั่งพานหลวงปู่เพื่อให้ผมแขวนคอไว้ ๑ องค์ ผมก็นำมาแขวนเสียมิได้ ซึ่งแขวนแบบลืมตามคือเลี่ยมกันน้ำไม่เคยถอดออกจากคอ อยู่ไปอยู่มาวันหนึ่ง ได้เดินไปซื้อของให้ทางบ้าน ผ่านหน้าบ้านร้านขายข้าวต้ม ซึ่งมีหมานอนอยู่ เน้นว่านอนอยู่ครับ (ขีดเส้นใต้สองเส้นเลย) พอเดินไปยังไม่ทันจะถึงตัวหมา อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นมาแล้วงับเข้าที่ขาอย่างจัง งับเสร็จก็เดินไปเฉยๆ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น(เดินแบบช้าๆ ค่อยๆ เดิน ออกไปแบบไม่ใยดี ) ทีนี้ขอกลับมาที่ขาผมต่อครับ ด้วยความตกใจก้มลงไปดูที่ขา เออ ไม่มีไรนี่หว่า ด้วยความที่เป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็เดินต่อไปเพื่อไปซื้อของให้ที่บ้าน แล้วกลับบ้านปกติ
*** นี่คือประสบการณ์ที่ ๑ ครับที่ผมเจอครับ (แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าคือประสบการณ์ ดั๊นน คิดไปด้วยความไร้เดียงสาว่าหมามันคงอยากเล่นด้วย เลยแกล้งวิ่งมางับขาผมเล่น เหมือนหมาเด็กๆ ที่เล่นงับสิ่งของเล่น แต่เปล่าเลย หมาตัวนั้นเป็นหมาที่ดุมาก กัดคนเดินผ่านไปมาหลายคนและเจ้าของไม่ได้รับผิดชอบ จนตอนหลังโดนยาเบื่อตายไปครับ อันนี้แม่กับน้ามาเล่าให้ฟังทีหลัง)
ประสบการณ์ที่สองในองค์เดียวกันนี้ ตอนสมัยเรียนจบใหม่ๆ ได้รับชีวิตอิสระมากขึ้นก็เที่ยวไปตามที่ต่างๆ จนมาวันหนึ่งที่จำได้ไม่เคยลืมจนทุกวันนี้ เป็นหลังวันสงกรานต์ในปี๔๓ คือวันครอบครัวนั่นเอง ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนย่านศิริราชจนเลยไปท่าพระอาทิตย์ ที่มีร้านขายโรตี คนเยอะๆ (ใช่พระอาทิตย์ไหมครับ)
หลังจากดูเด็กเล่นสเก็ตบอร์ด เต้นเบรคแดนซ์ เสร็จเวลาซักบ่ายสองโมง ก็เริ่มหิว ซึ่งในขณะนั้นก็ยังมีฝรั่งดื่มเหล้าและเมาอยู่ ๒-๓ คน ซึ่งผมคาดว่าคงจะเมาตั้งแต่สงการณ์แล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เดินไปหาร้านข้าวกิน เมื่อเดินไปเจอที่นั่งว่างก็ได้รีบปรี่เดินดุ่มๆ เข้าไปนั่ง โดยผมได้นั่งหันหลังออกนอกร้าน และเพื่อนอีกสองคนนั่งฝั่งตรงข้าม (หน้าร้านมีฝรั่งเมาและคงจะทะเลาะหรือเถียงกันกับเจ้าของร้านอยู่ เพราะได้ยินเสียโวยวาย แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะหิว หรือเห็นแก่กิน ทุกวันนี้ยังแยกไม่ออก)
พอพวกผมสั่งอาหารเสร็จพร้อมน้ำก็ตั้งหน้าตั้งตาโซ้ยเต็มที่ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝรั่งขี้เมาคนหนึ่งได้ปาขวดเบียร์ขนาดเล็กเข้ามาในร้าน โดยผ่านกลางโต๊ะก่อนโต๊ะที่ผมนั่งหันหลังมาอย่างฉลุย จะติดก็ตรงที่กะบานหรือหัวผมอยู่ตรงกลางของปลายโต๊ะแนวเส้นละติจูดเดียวกะที่ขวดเจ้ากรรมนี้กำลังวิ่งตรงมานี่แหละ
ปรากฏว่าขวดได้วิ่งผ่านหัวผมไปเหมือนไม่มีผมอยู่ตรงนั้น มาตกที่โต๊ะถัดไปเสียงดังสนั่น เพล้ง.. (ผมตกใจอะไรวิ่งผ่านหัวไปวะ) เพื่อนผมสองคนที่นั่งตรงข้ามวงแตกกระจาย (ตั้งแต่เห็นขวดพุ่งมาทางผม ไม่งั้นอาจจะโดนหัวเพื่อนผมแทน) เราเลยรีบจ่ายเงินและจากไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อนผมกับผมก็สงสัยว่าขวดนั้นได้ผ่านหัวผมไปได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่แนวขวดต้องโดนหัวผมแน่ แน่ และแน่นอนหากโดนเลือดอาบต้องมีอย่างน้อย ๔ เข็มเป็นแน่แท้ (ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอีกนะว่านี่คือประสบการณ์ และความเมตตาของหลวงปู่เกษมที่ช่วย หัวกบาลเอ็งไว้ นายโมทนา)
เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ขัดเกลาวัยคึกคะนอง ให้มีสติมากขึ้นพอมานั่งย้อนกลับไปคิดๆ ดู นี่หละคือสุดยอดประสบการณ์ของผมที่หลวงปู่ได้เมตตาช่วยผมไว้ และเป็นแรงความศรัทธาที่ผมก่อเกิดต่อหลวงปู่เกษมไม่มีวันลืมเลือน
อันนี้แถมอีกประสบการณ์ตรงจากจากบุคคลในครอบครัว เอาสั้นๆ แค่มีสายสิญจน์ที่หลวงปู่ปลุกเสกพกติดตัวคือท่านนำไปเลี่ยมแขวนคอ บูชาไว้ วันหนึ่งเอามือไปล้วงรูหรือหยิบอะไรจำไม่ได้แล้ว (เขาเล่าให้ฟัง) หนูตัวใหญ่จะกัดนิ้ว แต่กัดไม่เข้าขากรรไกรค้างงับไม่ได้ ทั้งหนูทั้งคนตะลึงตรึงๆ กันอยู่แป๊บหนึ่ง พอคนได้สติกรี๊ดเพราะนึกว่าโดนกัดแล้ว หนูก็ได้สติตามว่าต้องหนีแล้ววู้ย ก็เลยวิ่งหนีจากไป... สรุป ไม่ได้แผล และ ไม่ติดเชื้อโรค ครับ
ทั้งหมดทั้งสิ้นคือเรื่องจริงที่ผมนำมาบอกเล่าผ่านตัวอักษร เพื่อระลึกถึงหลวงปู่เกษมและร่วมบันทึกเรื่องราวประสบการณ์ครับ หากทุกท่านได้อ่านจะรู้ว่าทำไมผมถึงเคารพและศรัทธาท่านมาก แม้บางครั้งผมแวะเวียนมา (ซึ่งบอกได้เต็มปากว่าเกือบทุกวัน) แต่ก็ไม่ได้โพสต์อะไร แต่ก็ต้องแวะเวียนเข้ามาไม่รู้ว่าเพราะอะไร นอกจากศรัทธาท่านจากใจ
โพสต์โดย tee_tores เมื่อวันที่ ๐๔-๐๘-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๒๖๕ #๕๒๘๔
กราบ หลวงพ่อเกษม
สังฆัง นะมามิ
เมื่อวานไปร้านทองในแปดริ้ว เจอลุงเจ้าของร้าน แกเห็นผมแขวนพระผง อย. แกถามว่า "ลื้อเป็นคนลำปางหรือป่าว นับถือหลวงพ่อเกษมเหรอ"
ผมบอกว่า "ไม่ครับ ผมคนเชียงราย แต่นับถือท่านมาก ทำไมเหรอครับ"
แกเล่าว่า "อั๊วนับถือมาก ถึงมากสุดๆ สมัยก่อนเคยอยู่ลำปางใกล้สุสาน ปี ๑๕-๑๖ เคยไปช่วยงานสุสานประจำเกือบ ๓-๔ ปี เรียกว่าใกล้ชิดหลวงพ่อเกษมเลย มีพระหลวงปู่เยอะ" รุ่นปี ๑๔-๑๘ แกเก็บไว้แต่ไม่ให้เช่า บูชาแค่พระรูปเหมือนหลวงพ่อเกษม และ ริบบิ้นและทรายเสก ที่บ้าน และที่ร้านนี้
ผมเลยถามแกว่า มีทรายเสกด้วยเหรอครับ ผมติดตามประวัติท่านมาตลอดไม่เคยได้ยิน
แกบอกว่า คนใกล้ชิดมากๆ ถึงจะได้ เพราะก่อนที่จะมีคนมาขอสร้าง นี่ นั้น หลวงพ่อท่านชอบเอาริบบิ้น และแบ๊งค์สิบ ยี่ ทรายในกระถางธูป มาเสก มาเป่า ให้กับลูกศิษย์ และบางที ท่านจะหยิบทรายมาเป่า มาเสกให้ แกบอกว่า แกได้มาเยอะ เป็นกระปุกๆ ทรายเสกหลวงพ่อเกษมท่าน แกเคยใส่หลอดแล้วแขวนมีประสบการณ์กับตัว แต่ไม่อยากเล่า เอาเป็นว่า "อั๊วไม่โกหกลื้อละกัน เพราะทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะบารมีท่านนี่แหละ อั๊วถึงโตมาจนป่านนี้ ถ้าลื้ออยากได้ วันไหนมาอั๊วจะให้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียสักบาท แค่ทำบุญให้ท่านพอ แต่ต้องวันหลังนะ เพราะเก็บไว้ที่บ้าน"
ผมนี่ขนลุกเลยครับ เลยบอกแกไปก่อนว่าสนใจครับ
ท่านใดพอจะมีข้อมูลบ้างครับ แต่แกไม่ให้ผมบอกนะครับว่า แกชื่อไรอยู่ร้านไหนอย่างไร อายุแกน่าจะเจ็ดสิบกว่าแล้ว เพราะปกติ แกจะไม่ค่อยคุยกับใคร เรื่องแบบนี้ แต่กับผม แกว่า แกนึกอยากพูดด้วย งง เลยครับ กราบๆ หลวงพ่อ
โพสต์โดย น้ำหนาว เมื่อวันที่ ๑๙-๐๘-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๒๘๑ #๕๖๑๗
คำอธิษฐานของหลวงพ่อเกษม เขมโก
“อิทัง กุศลกัมมัง มยา กะตัง”
กรรมอันเป็นกุศลนี้ อันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ขอจงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้ามีความสุขกายสบายใจ แม้นจะคิดสิ่งใด ก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ
ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาว และขอให้พ้นจากโรคภัยให้เจ็บ ทุกประการด้วยเถิด
ประการหนึ่ง ด้วยเดชะบุญอันข้าพเจ้าได้กระทำนี้ ข้าพเจ้าเกิดมาภพใด ชาติใด ก็ขอให้เกิดพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าทุกชาติ และขอให้พบนักปราชญ์เจ้า ผู้ใจบุญ ขอให้รู้คุณวิเศษ แท้ดีหลีเถิด
ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดมาภพใดก็ดี ข้าพเจ้าขออย่าได้พบกรรมอันไม่ดีทุกชาติและขอให้ข้าพเจ้าได้เว้นจากบาป ความชั่วร้ายทุกชนิดเถิด
ประการหนึ่ง ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมานี้ ข้าพเจ้ายังท่องเที่ยวไปมาในวัฏฏสงสารหลายกำเนิด ยังไม่ได้ถึงพระนิพพานเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอตั้งความปราถนา ได้มีใจมั่นคงทุกชนิดและข้าพเจ้าเกิดมาชาติใด มีอะไรขอให้เสมอใจทุกประการ
และขอให้ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมทุกชนิดขอให้ได้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทุกชนิดและขอให้พ้นจากกิเลส บาป ความชั่วร้ายทั้งมวล เที่ยงแท้ด้วยเถิดและขอให้ข้าพเจ้า ได้ถึงนิพพาน อันเป็นสุดยอดของความสุขทั้งปวงด้วยเถิด
คำปราถนา (ผาถนา) ของข้าพเจ้ามีดังนี้แล้ว
ขอให้สมปณิธาน ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้อย่าได้คลาดแคล้วสูญหาย เที่ยงแท้แด่เทอญนิพพาน
ปัจจะโย โหตุ เม นิจจัง (ว่า ๓ หน)
สวัสดี
พระภิกษุเกษม เขมโก
พุทธศักราช ๒๕๐๖
โพสต์โดย น้ำหนาว เมื่อวันที่ ๑๕-๐๙-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๐๖ #๖๑๑๖
กราบหลวงพ่อเกษม เขมโก....
สัพเพชนา สุขิตาโหนตุ
สวัสดียามเช้า ผู้นับถือหลวงพ่อเกษม เขมโกทุกท่านครับ
วันนี้ไม่มีพระใดมานำเสนอครับ แต่เอาเรื่องเล่าของผู้ที่มีประสบการณ์จากหลวงพ่อเกษม นำมาให้อ่านกันครับ
ใครจะแขวนจะพกพระได้มากแค่ไหน ก็ยังดูเป็นปกติธรรมดา ไม่เห็นแปลก แต่ถ้าพูดถึง คุณทวีพร ทองคำใบ ทุกคนจะยอมรับนับถือว่าท่านผู้นี้เป็นยอดในการแขวนและพกพระ
เฉพาะสร้อยคอก็อย่างน้อย ๆ ๕ เส้น แหนบอีกนับสิบ กระเป๋าถืออีกร่วมร้อยองค์ ตะกรุดคาดเอวอีก ๓ เส้น พระทุกองค์เลี่ยมตลับเงินอย่างดี คิดดูจะหนักแค่ไหน บางวันแบกไม้เท้าเสกของหลวงปู่พรหมาไว้ไล่หมา ขณะปั่นจักรยานก็ยังเคยเห็น
คุณทวีพร ทองคำใบ เป็นนักวาดภาพแสตมป์มือฉมังของเมืองไทยและเป็นคนที่เรียกว่า “ตกน้ำไม่ไหล” คือตกน้ำตรงไหน ก็งมเอาตรงนั้นเลย เมื่อเปรียบกับคุณทวีพรแล้ว คนอื่น ๆ จะต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ถึงจะถือว่าคุณทวีพรเป็นแชมป์ในการแขวนและพกพระในหมู่พวกเราแล้วก็ตาม แต่คุณทวีพร จะเทียบกับ คุณวสุธร โง้วศิลปศาสตร์ (ตี๋) ไม่ได้เลย
ต่อไปนี้ผมจะเรียกคุณวสุธรว่า คุณตี๋ ตามถนัดปาก คุณตี๋เอาพระทั้งแบบผงและโลหะสารพัดหลวงพ่อหลวงปู่ ทั้งประเทศมาเลี่ยมพลาสติก และร้อยพระสานประกอบกันจนกลายเป็นเสื้อสวมใส่ได้คะเนว่าจะมีพระทั้งหมดรวมแล้วประมาณ ๓๐๐ องค์
มีอยู่คนหนึ่งเคยทำในลักษณะคล้าย ๆ กับคุณตี๋มาก่อน คือ เอาพระมาร้อยรวมกันหลายสิบองค์ จนกลายเป็นหมวก เสียแต่จำชื่อไม่ได้ จำได้แค่ว่าเป็นชาวจังหวัดลำปาง แต่คุณตี๋บอกว่าไม่ได้ลอกไอเดียนี้จากใคร คุณตี๋คิดขึ้นเอง ถ้าบังเอิญไปตรงกันก็ช่วยไม่ได้ เสื้อพระนี้คิดทำขึ้นเมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว เหตุที่คิดทำก็เพราะว่าอยากแขวน อยากพกพระทั้งหมดที่มีอยู่พอคิดได้ก็ลงมือทำทันที พอทำเสร็จก็เลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นแชมป์พกพระอย่างสง่าผ่าเผยทันทีเหมือนกัน
เหตุที่คุณตี๋หันมาสนใจพระ ชอบพระ และพกพระอย่างเป็นชีวิตจิตใจก็เพราะได้ประสบอภินิหารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก เรียกว่าเป็นประสบการณ์สำคัญ และยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตจิตใจคุณตี๋มีแต่พระเต็มหมดทั้ง ๔ ห้องหัวใจ ไม่มีสักห้องเดียวจะว่างไว้ให้ผู้หญิงอีกด้วย สาวไหนไม่เชื่อลอง ๆ ไปติดต่อขอเช่าสักห้องดูสิครับว่าจะเต็มจริงหรือไม่
ตอนที่คุณตี๋มีอายุได้ ๒๐ ปี (ปัจจุบัน ๔๑) คุณตี๋มีแค่ เหรียญหลวงพ่อเกษม รุ่น ๖ รอบ (สมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสงฆ์) อยู่เพียงเหรียญเดียว ลักษณะเป็นเหรียญกลมมีรูปหลวงพ่อนั่งเต็มองค์อยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็อีกแล้วครับ...ลืม
คืนหนึ่งราว ๆ ตี ๒ ไม่รู้นึกยังไง ไปนั่งเล่นอยู่บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอุบลราชธานี อยู่เพียงคนเดียว กำลังเพลิน ๆ ก็สะดุ้งโหยง เพราะเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว เห็นคนกำลังไล่ยิงกันอยู่ใกล้ ๆ คนถูกไล่ยิงไม่มีปืนก็วิ่งหนีอย่างเดียว คนไล่ยิงมีปืนก็ไล่ยิงอย่างเดียว ทั้งคนหนีและคนไล่วิ่งมาทางเดียวกัน คือตรงมาหาคุณตี๋ พอถึงตัวคุณตี๋คนหนีก็คว้าตัวคุณตี๋ไว้เป็นกำบัง โดยเอาตัวของตนเองไปซ่อนอยู่ข้างหลังคุณตี๋ซะเฉยๆ คุณตี๋นี่ก็ช่างกระไรเลย ดันตัวแข็งตกใจ ทำอะไรไม่ถูกไปเสียอีก
คนไล่ยิงพอตามมาถึงก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม จ่อปืนยิงต่อ โดยเล็งปืนผ่านตัวคุณตี๋เหมือนว่าไม่มีคุณตี๋อยู่ตรงนั้น คือมีเจตนาจะยิงอีกคนให้ตายดับคาปืนอย่างเดียว ใครจะขวางก็ไม่สน ปรากฏว่าพอเหนี่ยวไก กระสุนก็ด้านถึง ๓ นัด คนวิ่งหนีเห็นท่าไม่ดีหรือจะเห็นท่าดีก็ไม่ทราบ ผลักคุณตี๋กระเด็นไปแล้วตัวเองก็หันหลังวิ่งหนีต่อไปทางโรงหนังสินราชบุตร คนไล่ยิงก็วิ่งไล่ยิงเปรี้ยง ๆ ต่อไป จนหายลับไปทั้งคู่ หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไป คุณตี๋จึงคิดออกว่ารอดมาเพราะอะไรทั้งเนื้อทั้งตัวมีเหรียญหลวงพ่อเกษมรุ่นที่ว่านี้อยู่เพียงเหรียญเดียว
งานเขียนของคุณอาอำพล เจน ... จากหนังสือแปลก ฉบับที่ ๕๒๐
วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๗
โพสต์โดย gentoo เมื่อวันที่ ๑๙-๐๙-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๑๓ #๖๒๔๒
เทศนาปาฏิหาริย์ของหลวงปู่
หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก สำนักปฏิบัติธรรมสุสานไตรลักษณ์ ประตูม้า จังหวัดลำปาง
การแสดงพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก ในวันวิสาขบูชา ปีพ.ศ. ๒๕๓๕ (๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕) นับว่าเป็น เทศนาโดยแท้ โดยหลวงปู่เทศนาเป็นใจความว่า
“การสวดพระปริตร เช่น โมรปริตรนั้นได้ผลทางสะเดาะเคราะห์การช่วยชีวิต การแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทุกชนิด แต่ถ้าคนหรือสัตว์นั้น ถึงคราวชะตาขาด เพราะกรรมหนักมาส่งผลแล้ว พระปริตรก็ช่วยไม่ได้
“อานุภาพ” ของสิ่งต่างๆ อันเป็นของศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่จริง ก็ช่วยใครต่อใคร ยกเว้นแต่ถึงคราว “ชะตาขาด” ก็ช่วยไม่ได้
ถ้าใครพูดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอะไรใครไม่ได้ เป็นของไม่มีจริง อย่างนี้ถือว่าพูดผิด เพราะยังไม่รู้จริง”
หลวงปู่เทศน์ว่า….
“ความศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง ดุจดังพ่อและแม่รักลูก และป้องกันลูกน้อย มิให้มีภัยมาเบียดเบียน แต่เมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่ม ประพฤติพาลเกเร ปล้นสะดมฆ่าคนตาย และถูกจับประหารชีวิตอย่างนี้พ่อแม่ก็ช่วยไม่ได้”
เทศนาของหลวงปู่ครั้งนี้ดีแท้ ย่อมเป็นอุทาหรณ์เป็นอย่างดีแก่วงการพระเครื่องและเครื่องมงคลต่างๆ และได้คำตอบที่ชัดแจ้ง
ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก :
หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก โลกลี้ลับ ๙๗ ปีที่ ๑๐ ประจำเดือนมกราคม ๒๕๓๖ : เจดีย์ทอง เรียบเรียง. หน้า ๒๘-๒๙.
โพสต์โดย gentoo เมื่อวันที่ ๒๐-๐๙-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๑๔ #๖๒๖๔
โอวาทหลวงพ่อเกษม เขมโก
“การเห็นเป็นเหตุแห่งการคิด การคิดเป็นเหตุแห่งการเห็น ถ้าคิดดีก็เป็นทางเย็น หากคิดไม่เป็นก็เย็นสบาย ตายเป็นเหม็นเน่า เราเขาเหมือนกัน อยู่ไปทุกวัน ใครได้ก็ดีใครมีก็ได้”
"การกินก็ต้องเป็นห่วง เพราะอยู่ในบ่วงของตัณหา กินเพื่อเลี้ยงอาตมา ให้มีอยู่ได้เป็นวันๆ ตั้งแต่เกิดมา ได้กินหรือยัง กินแล้วให้เหลือ ๑ คำ อย่าให้หมดเกลี้ยง จะฝึกโบราณ"
"ความหลุดพ้น ที่มนุษย์ทุกคนพึงหานั้น อยู่ที่ตนเอง หากตนเองมุ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้พบไม่ยาก ขอให้มุ่งปฏิบัติเถิด"
"การหลุดพ้นนั้น จะต้องทำจิตใจของตนให้หมดกิเลส หมดสิ้นจากทุกข์ทกอย่าง หมดสิ้นจากสิ่งที่อยากได้ สิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ตัดสิ่งนี้ให้หมดสิ้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐานจึงได้พบทางหลุดพ้น"
"...จะ รู้เรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องจิต เรื่องเจตสิกก็เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้นถึงจะถูกทาง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเพราะทุกข์มันมีเหตุเกิดและมีที่ของมันอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจเสียว่ามันจะเป็นจิตก็ช่างมันเถอะ เมื่อมันนิ่งอยู่อย่างนั้นก็คือปกติของมัน ถ้ามันเคลื่อนปุ๊ปก็เป็นสังขารการปรุงแต่งแล้วมันก็จะเกิดยินดีก็เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายมันก็สังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่มันก็สังขาร ถ้ารู้ไม่เท่าทันสังขารก็วิ่งตามมันไปเป็นไปตามมัน เมื่อจิตมันเคลื่อนเมื่อใดก็เป็นสมมุติสังขารเมื่อนั้น ให้พิจารณาสังขารเวลาจิตมันเคลื่อนไหว เมื่อมันเคลื่อนออกไป ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง เป็นสมุทัยจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์..."
ชีวิตและปฏิปทาของหลวงพ่อเกษม เขมโก ย่อมเตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธพจน์ที่ว่า สีลคนโธ อนุตตโร กลิ่นศีลยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นทั้งปวง
“ความหลุดพ้น”
(คำสอนจาก หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง)
ความหลุดพ้น ที่มนุษย์ทุกคนพึงหานั้น อยู่ที่ตนเอง หากตนเองมุ่งปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้พบไม่ยาก ขอให้มุ่งปฏิบัติเถิด
อาตมามุ่งปฏิบัติ จึงได้ค้นพบทางที่จะเดินไปสู่ทางดับ อาตมามาสู่ชั้นพรหมโลกนี้ ได้พบกับโยมชายผู้นี้ ได้ขอให้อาตมาแสดงธรรมโปรดให้กับมนุษย์ได้รู้ ธรรมะที่อาตมาจะสอนนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ อาตมาเป็นศิษย์ มีความรู้เพียงน้อย ได้แต่ฟังและนำมาบอกเล่าต่อให้ได้รู้
การหลุดพ้นนั้น จะต้องทำจิตของตนให้หมดกิเลส หมดสิ้นจากทุกข์ทุกอย่าง หมดสิ้นจากราคะ หมดสิ้นจากสิ่งที่อยากจะได้ สิ่งที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง (โลภะ โทสะ โมหะ) ตัดสิ่งนี้ให้หมดสิ้น และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้พบทางหลุดพ้น
อาตมาทำตามวิธีนี้ จึงได้พบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ว่า เป็นทางดับที่แท้จริง
อาตมาขอแสดงธรรมเพียงเท่านี้
เจริญพร...
โพสต์โดย gentoo เมื่อวันที่ ๒๑-๐๙-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๑๖ #๖๓๑๒
วิธีฝึกภาวนา เตโชกสิณ (กสิณไฟ) ตามแบบ หลวงพ่อเกษม เขมโก จ.ลำปาง
การฝึกภาวนาเตโชกสิณ หรือกสิณไฟ ตามแบบของหลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่งซึ่งหลวงพ่อเกษม เขมโก เคยสอนลูกศิษย์ติดต่อกันมาหลายรุ่นแล้วดังต่อไปนี้...
ขั้นแรก ให้จัดเตรียมเทียนที่ผึ้งมา ๑ เล่ม ขนาดเท่าแท่งดินสอ อาจเล็กหรือใหญ่กว่าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร สั้นยาวเท่าเทียนไขธรรมดาหรืออาจสั้นกว่าเล็กน้อยก็ได้ หาที่สำหรับปักเทียนมาหนึ่งอัน จะเป็นจานกระเบื้อง จานสังกะสี หรือก้อนอิฐที่สะอาดก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟไหม้เมื่อเทียนหมด วัดจากปลายเทียนด้านที่ใช้จุดไฟให้ยาวหนึ่งข้อนิ้วมือ (นิ้วชี้) แล้วเอาไม้เล็ก ๆ เหลาปลายให้แหลมปักไว้ หรือจะใช้ด้ายผูกไว้พอให้รู้กำหนดที่หมายไว้เท่านั้น หลังจากไหว้พระสวดมนต์ตามปกติเสร็จแล้วก็เริ่มฝึกภาวนา “เตโชกสิณ” ต่อไป
ก่อนจะนั่งภาวนา ให้ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ ( กราบ ๑ ครั้ง )
จากนั้นให้นั่งภาวนาเตโชกสิณ ผู้ชายนั่งขัดสมาธิ ผู้หญิงนั่งพับเพียบ จุดเทียนปักไว้ตรงหน้า ให้เทียนห่างจากหน้าตักหนึ่งศอกกับหนึ่งคืบ พนมมือว่านะโม ๓ จบ แล้วอธิฐานกสิณ ๓ ครั้งดังนี้
อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
อะมัง กะสิณัง อะธิฏฐามิ
จบแล้วเอามือลง นั่งสมาธิภาวนากสิณไฟต่อไป โดยพิจารณามองดูไฟที่เปลวเทียนพร้อมกับบริกรรมในใจอย่างสม่ำเสมอว่า “ไฟ ไฟ ไฟ...” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าไฟที่เทียนไหม้ลงมาถึงที่กำหนด ซึ่งเราเอาด้ายพันหรือเอาไม้ปักหมายไว้ จึงหลับตาลงแล้วภาวนาในใจต่อไปอีกเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะเลิก หรือปลงกสิณ เมื่อจะปลงกสิณก็ให้กล่าวคำปลงกสิณ ๓ ครั้ง ดังต่อไปนี้
เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
เตโช กะสิณัง ปะติฏฐิปามิ
จบแล้วให้กราบลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนี้
พุทธัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
ธัมมัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
สังฆัง วะรันตัง สิระสา นะมามิ
ให้ท่านปฏิบัติไปเถิดทุก ๆ วัน ตามแต่เวลาจะอำนวยให้ เมื่อท่านปฏิบัติสม่ำเสมอแล้ว ท่านจะมีความรู้สึกว่า จิตใจของท่านมีความสุขสงบเยือกเย็น
โพสต์โดย huyakorn เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๖ #๖๗๐๙
พ่อผมเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่หนุ่มๆ ตอนนั้นทำงานเป็นช่างใหญ่ (ซ่อมเครื่องบิน) อยู่ที่บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ตรงถนนหลานหลวง (ตึกการบินไทยในปัจจุบัน) พ่อเล่าว่าเข้าป่าช้าไปนั่งสมาธิกับท่านหลายครั้ง อยู่กรุงเทพฯไปลำปางเกือบทุกสัปดาห์ บินไปเช้า เย็นก็กลับ มีบางครั้งที่นอนค้างคืน เรียกว่าพอว่างจากงานก็ไปนมัสการท่านที่วัดเลย
สมัยก่อนตอนผมเด็กๆ (ตอนนี้ ๕๐ กว่าแล้ว) ผมจะรู้จักพระอยู่ไม่กี่องค์ อันดับหนึ่งก็คือ "หลวงพ่อเกษม" นี่ล่ะครับ รองลงมาก็เป็นหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เพราะเมื่อก่อนบ้านผมอยู่แถวนั้น ที่บ้านรู้จักตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาส และท่านเจ้าคุณหลายองค์ ตอนที่พ่อ-แม่ผมแต่งงาน ท่านเจ้าอาวาสยังให้ "หลวงพ่อทองคำ" เนื้อทองคำเป็นของรับไหว้พ่อกับแม่มา (รูปประจำตัวผมตอนนี้) พ่อบอกว่ามีอยู่แค่ ๓ องค์ เพราะนำผงทองคำบนพระเกศของหลวงพ่อทองคำมาทำ ซึ่งมีอยู่น้อย หล่อพระได้แค่ ๓ องค์ เท่านั้น ถวายพระเจ้าอยู่หัว ๑ องค์ ให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑ องค์ องค์ที่ ๓ อยู่ที่ผม เนื่องจากผมเป็นลูกคนโตก็เลยได้รับมาครับ ส่วนองค์ที่ ๓ ก็หลวงพ่อโสธร
ตอนเด็กๆ เคยได้ยินลุงเล่าให้ฟังว่า พี่ผม (ลูกของลุง) ปีนตู้กระจกจะเอาของบนตู้ ตู้รับน้ำหนักไม่ไหวล้มทับพี่ชาย กระจกแตกหมด แต่ลูกลุงไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว ลุงบอกว่าสงสัยแขวนพระหลวงพ่อเกษม เลยแคล้วคลาดไม่ได้รับบาดเจ็บ (ไม่รู้ว่าแขวนพระรุ่นไหน)
วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ..
โพสต์โดย gentoo เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๖ #๖๗๑๙
เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก บรรลุอรหัตตผล!!!
๑. ถาม - อะไรเล่าหนักที่สุดในโลก?
ตอบ - ขันธ์ ๕ (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ = กาย+จิต)
๒. ถาม - ความหลุดพ้น หรือความพ้นทุกข์สิ้นเชิง เป็นอะไร อย่างไร?
ตอบ - เป็นคุณธรรมภายใน ที่ผู้เข้าถึงเท่านั้นจักรู้และเข้าใจ ด้วยเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ปัจจัตตัง" - คือ รู้ได้เฉพาะตน ผู้อื่นที่ยังไม่หลุดพ้น ยังเข้าไม่ถึงธรรมนั้น หารู้หาเข้าใจได้ไม่!!!
๓. ถาม - พระอรหันต์ คือ ใคร เป็นอย่างไร?
ตอบ - เป็นผู้หลุดพ้น เป็นผู้พ้นทุกข์ พ้นโลก เป็นผู้ข้ามห้วงน้ำ คือ โอฆะ เพราะ "ละอาสวะ ๔" มี กามาสวะ (กาม) – ภวาสวะ (ภพ) – ทิฏฐาสวะ (ความเห็นผิด) – และ อวิชชาสวะ (ความไม่รู้ หรือ ไม่รู้จริง) เสียได้ จึงไม่ต้องมาวนเวียนว่ายวกวนอยู่ในสงสารสาครอีกต่อไป ดำรงชีวิตอยู่เหนือโลก มีจิตอิสระปลอดโปร่ง ไม่หมกมุ่น พัวพันหรือติดข้องอยู่ในกามคุณทั้งหลาย บริสุทธิ์หลุดพ้น เพราะลุถึงประโยชน์ตนแล้ว ภาระหน้าที่ต่อไม่มีอีก มีแต่หน้าที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป ตราบลมหายใจยังมีอยู่.....
โพสต์โดย pukajunk เมื่อวันที่ ๑๔-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๙ #๖๗๘๐
ประสบการณ์วัตถุมงคลหลวงพ่อเกษม
สำหรับผมแล้วความประทับใจที่มีต่อองค์หลวงพ่อเกษมนั้นมีมานานแสนนานด้วยความที่ผมเป็นคนเหนือใกล้ๆ จ.ลำปาง และที่สำคัญมีญาติอยู่ที่จ.ลำปางด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งไปงานขึ้นบ้านใหม่ญาติที่ลำปาง ญาติผู้ใหญ่ได้นำพระหลวงพ่อมามอบให้ผมกับพี่คนละ ๑ องค์ ซึ่งแม่ก็นำไปเลี่ยมกันน้ำให้ผม แต่ปรากฏว่าช่างคงจะมือใหม่หัดเลี่ยมก็ทำกรอบรั่วน้ำเข้าเต็มองค์เลยครับ มองด้วยตาเปล่านี่คือพระละลายแน่แล้ว จบผมก็ไม่ได้ห้อยพระองค์นั้นอีกแล้ว เวลาผ่านไปเกือบ ๑๕ ปี ผมได้รับพระหลวงพ่อรุ่นพันโคราชมาใช้ติดเนื้อติดตัวอยู่ แต่ผมจำได้ว่ามีพระหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเลือนไปแล้วเพราะชุ่มน้ำ ผมจึงไปค้นดูในถุงพระของพ่อแล้วก็เจอครับเป็นพระผงรุ่น ๘ รอบก็หรือไงนี่แหละ รูปหยดน้ำนะครับ ผมจึงนำไปให้ช่างเลี่ยมที่ผมไว้ใจได้ช่วยเจียร์กรอบออกให้หน่อย จะได้นำพระไปเก็บไว้ ตอนที่ช่างเจียร์ก็ลุ้นอยู่สองอย่างครับ หนึ่งคืออย่าให้พระแตกออกเป็นชิ้นๆ เลย เสียดายพระ สองคือแอบหวังว่าพระที่เปียกน้ำไปแล้วจะไม่เป็นอะไร ผลปรากฏว่าพอช่างเจียร์กรอบออกแล้วเอาแปรงปัดเบาๆ เท่านั้นแหละ พระมีหน้ามีตา ชัดเจนเหมือนเดิมครับ แทบจะดูไม่ออกเลยว่าพระเคยเปียกน้ำชุ่มมาก่อน ผมนี้ดีใจมากเลยครับ รีบบอกให้ช่างเลี่ยมกันน้ำแบบเนียนให้เลยครับ กลัวจะพลาดพลั้งเหมือนสมัยเมื่อยังเด็ก
ปล.ปัจจุบันผมก็มีพระของหลวงพ่ออยู่พอสมควรครับ และคุณแม่ผมท่านก็ศรัทธาองค์หลวงพ่อมาก เพราะว่าลำปางมีสิ่งที่ท่านบอกว่าควรทำอยู่สองอย่างคือ หนึ่งไปหาหลวงพ่อเกษม สองไปนั่งรถม้าครับ ประสบการณ์ของผมก็มีเพียงเท่านี้ครับ อาจจะไม่ได้มีเรื่องราวที่ปาฏิหาริย์อะไร แต่ผมและครอบครัวต่อมีความศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อเสมอมาครับ ตั้งแต่ผมยังจำความได้ ขอบคุณครับ
โพสต์โดย พุทธมงคล เมื่อวันที่ ๑๔-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๔๐ #๖๗๘๓
กราบหลวงพ่อเกษม สังฆังนะมามิ
ถ้านับถือเฮาจริง รูปเฮาบ่ต้องไม่เสกก็ศักดิ์สิทธิ์
วันวานนี้เป็นวันเกิดผม ๑๓ ตุลาคม เช้าตื่นมาไปรับแฟนที่กลับจากบ้านที่ลำปางมาประมาณ ๖ โมงเช้า จากสถานีรถไฟและตอนสายก็ไปทำบุญตักบาตรด้วยกันและอธิษฐานให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายรวมทั้งหลวงพ่อเกษมด้วย และก็พวงมาลัยไปแขวนรูปท่าน และหลวงปู่สว่าง วัดเทียนถวาย ผู้เป็นอาจารย์หลวงปู่นาค พระพิมลธรรม วัดอรุณ ธนบุรี ต่อจากนั้นก็เดินสนามพระแถวบ้าน แต่ก็ก่อนจากบ้านก็เลยคิดว่าวันนี้เราจะแขวนพระหลวงพ่อเกษมรุ่นไหนไปดี วันนี้อยากลองพุทธคุณว่า รุ่นไหนจะให้โชคลาภดีกว่า ก็นึกรูปลวงพ่อเกษมที่เรามีอยู่ สองหน้า แต่ไม่รู้ว่าแท้หรือเปล่า เช่ามาเพราะความชอบเห็นรูปชัดเจนดี ได้มาประมาณห้าปีแล้ว กรอบไว้นานแต่ไม่ค่อยได้แขวนท่าน กะว่าจะหาก้านธูปแท้ๆ มาใส่หลังรูปท่านแต่ยังหาไม่ได้ ไม่เป็นไร เรานับถือท่านถึงแม้จะเสกหรือไม่เสกไม่ใช่เป็นปัญหา ขอให้มองและเห็นหน้าท่านชัด และนึกท่านได้เร็วขึ้นก็พอใจตามประสาคนเล่นรูปถ่าย เล่ามายาวชักเยอะแล้ว เข้าเรื่องดีกว่า
หลังจากมาถึงสนามพระ ก็สวดมนต์แผ่เมตตาในใจด้วยบท "สุ ขิโน วา เขมิโน โหนตุ สัพเพ สัตตา ภวันตุ สุขิตัตตา" ซึ่งบทนี้หลวงพ่อแนะนำให้สวดที่ป่าช้า เมื่อเข้าไป เพราะเป็นสถานที่มีคนตายและสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับความทุกข์อาศัยอยู่ บทนี้เป็นส่วนหนึ่งของบท กรณียเมตตสูตร แปลว่า "ขอสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด" และก็อธิษฐานขอท่านทั้งหลายมีความสุข และขอให้ท่านทั้งหลายที่ปรารถนาอยากจะได้บุญ จงมารับส่วนผลบุญนี้ด้วยเถิด
เพราะเราไม่รู้สนามพระนั้นเดิมนั้นเป็นอะไรมาก่อน และก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ๆ เผื่อจะเจอพระหลวงพ่อเกษมบ้าง และผมก็สะดุดตาเจอพระผงบูชารูปหลวงปู่มั่น เป็นของหลวงตาม้าสร้าง พึ่งออกไม่นานนี้เอง ซึ่งในใจนึกอยากได้อยู่พอดี เพราะผมมีหลวงพ่อเกษมเป็นแบบนี้เนื้อผงกัมมัฏฐานที่หลวงปู่ดู่เสก ออกปี ๒๕๒๒ บวกกับเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลา ไปวัดอโศกราม สมุทรปาการ วัดหลวงพ่อลี นึกอยากได้หลวงปู่มั่นมาไว้บูชา ผมเลยขอแบ่งเขามาในราคาไม่แพงที่ ๔๐๐ บาท ขนาดประมาณ ๔ นิ้ว นำไปเก็บที่รถ และก็กลับเดินต่ออีก เกือบจะครบรอบสนามพระ นึกในว่าวันนี้เราจะไม่เจอพระหลวงพ่อเกษมแล้ววันนี้ คงไม่เป็นไรได้พระมาบูชาหนึ่งองค์แล้ว แต่นึกไปอีกว่าวันนี้วันเกิดเราน่าจะเจออะไรดีๆ บ้างนะ
พอเดินไปเกือบจะรอบสนามพระทุกโต๊ะแล้ว ก็บังเอิญไปอะไรกลมๆ สีทอง ๆ มองไป ต้องใช่แน่เลย เหรียญสวัสดี ๑๗ กะไหล่ทองจริง ๆ ใช่เลย แต่ก็งงทำไมมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ปรกติจะเป็นเนื้อทองแดงรมมันปู แต่เคยได้ยินมาบ้างว่ามีแบบกะไหล่ทอง สร้างไว้ไม่ถึงร้อยเหรียญ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ ๓๘ เหรียญตามสัดตามส่วนที่เกินมา แจกเฉพาะญาติมิตร และผู้ใหญ่ที่นับถือ ก็เลยขอแบ่งเช่าเขามา ในราคาไม่แพง พันต้น ๆ ไม่ถึงพันห้า เพราะราคาที่เปิดมานั้นผิดราคาแล้วก็เลยไม่อยากต่อเขาเยอะ ผมรู้สึกดีใจมากอยากได้มานาน เหรียญสวัสดี ๑๗ ก็เคยคิดลึก ๆ ว่า เราจะเจอไหมนี่เหรียญแบบนี้ เรื่องเหรียญรุ่นนี้จะเคยคุยกับพี่ป๋องประมาณสองอาทิตย์แล้ว
และจากนั้นก็เดินต่อครับ และก็มาเจอ พระผงปรกใบมะขามหลวงพ่อเกษม ปี ๑๗ อีก ออกที่วัดพลับพลา นนทบุรี พิธีหมู่ มี หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อผาง และอีกหลายท่าน รวมทั้งหลวงพ่อเกษมที่ท่านอธิษฐานให้ก่อนที่สุสานไตรลักษณ์ แต่มีบางท่านบอกว่าเจอท่านที่วัดพลับพลา สุดท้ายนี้ผมรูปนึกถึงและรักหลวงพ่อเกษมมากขึ้น และยิ่งได้สิ่งดีในวันเกิดปีนี้ ตามที่เคยฝันไว้นานแล้ว คนเราขอให้ศรัทธาท่านจริง หมั่นทำบุญให้ท่านบ้างเมื่อมีโอกาส และเราจะมีความรู้สึกว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ เรา ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งโชคดีในการงาน หรือความสำเร็จในด้านอื่น ๆ เช่นงานที่ทำ ถึงแม้เราจะอุปสรรคอยู่บ้างแต่เราก็ผ่านไปด้วยดี และเราจะพบเจอพระเครื่องของท่าน อาจจะได้มาถึงการบูชาหรือมีคนรัก ผู้ใหญ่เมตตาให้ อะไรทำนองนี้ แต่สำหรับผม รูปท่านไม่เสกก็ไม่สำคัญ ของให้คมชัด สวยถูกใจ และราคาไม่แพงเกินไป ผมก็เช่าเก็บ และค่อยหาของมงคลมาใส่เองทีหลังครับ ดังเช่นผมที่เจอมาในวันที่ ๑๓ ตุลานี้ ผมเชื่อว่าเกิดจากความศรัทธาและบุญกุศลที่ทำให้ท่านแบบจริงใจ อันเป็นเหตุให้พบเจอพระเครื่องของท่านในลักษณะแบบนี้ครับ
กราบหลวงพ่อเกษมอีกครั้งครับ สังฆังนะมามิ
โพสต์โดย porpek เมื่อวันที่ ๐๔-๑๑-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๕๒ #๗๐๓๖
หลวงพ่อเกษมผม เคยไปกราบท่านสองครั้ง ครั้งแรกไปเห็นคนเต็มไปหมดแต่ไม่มีใครได้เข้ากุฏิ เดินไปด้านหลังเห็นคนอยู่ที่ประตูหลังประมาณยี่สิบคนอธิษฐานว่าผมมาไกลไม่ได้ประสงค์อยากเข้ากุฏิ ขอแค่ได้กราบก็พอครับ อธิษฐานปุ๊บประตูก็เปิดปั๊บ เห็นหลวงพ่อเกษมนั่งอยู่บนโซฟา แล้วหันมายิ้มให้ผม แล้วก็ปิดประตูปุ๊บเลยครับ ขนลุกซู่เลย ส่วนครั้งที่สองไปงานมนต์พระเลยได้กราบหลวงพ่อเห็นอยู่ไกลๆ ประมาณ ห้าสิบเมตร
โพสต์โดย เพชรฉลูกัน เมื่อวันที่ ๑๔-๑๑-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๕๘ #๗๑๕๙
....หลวงพ่อฯ ไปถึงก่อนได้อย่างไร?.....
คุณเสดดา อิสลาม เป็นชาวไทยมุสลิม เกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลำปาง ประมาณ ๓๐ กว่าปี และได้แต่งงานมีหลักมีฐานอยู่ที่จังหวัดลำปาง บ้านเลขที่ ๔๕๒/๓ สวนตะกอน ถ.พหลโยธิน ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง ได้เล่าเรื่องราวของหลวงพ่อเกษม เขมโก ให้ผู้เขียนฟังว่า
เขาเป็นคนลำปางไปเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะมาอยู่ลำปาง รักลำปาง มีครอบครัวที่สมบูรณ์ดีและอยู่สุขสบายดีทุกอย่าง แต่พอทราบว่ากำลังจะรวบรวมเรียบเรียงเรื่องของหลวงพ่อเกษม เขมโก เขาได้บอกว่า
“ต้องยอมรับว่าคำลำปางเคารพรักท่านมาก ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ดีมาก แม้แต่คนอิสลามต่างศาสนาท่านก็ยังให้เมตตา แล้วพวกเราก็เคารพท่านและท่านก็เป็นพระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ”
เขามาอยู่ลำปางตั้งแต่อายุยังน้อย ก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อฯ ว่าเป็นพระในหัวใจของคนลำปาง จึงอยากจะเล่าเรื่องของ อับดุลเลาะหะมาน เพื่อนสนิทของเขาให้ฟัง ซึ่งได้แก่เรื่องของเพื่อนเขาตอนเด็ก ๆ เขาได้พบเหตุการณ์แปลกประหลาดคือ
อับดุลเลาะหะมาน เป็นชาวอิสลามโดยกำเนิด อยู่บ้านวังหม้อ ต.ต้นธงชัย อ.เมือง จ.ลำปาง อยู่ห่างจากสุสานไตรลักษณ์ประมาณ ๑ กิโลเมตร อับดุลเลาะหะมานเป็นเด็กอิสลามที่มีความใกล้ชิดกับหลวงพ่อฯ เหมือนกับเด็กชาวพุทธในแถวหมู่บ้านประตูม้า ท่านางลอย ช้างแต้ม ซึ่งเด็กหลายคนก็ต้องวนเวียนไปหาหลวงพ่อฯ ที่สุสานไตรลักษณ์ ไปรับใช้ท่านบ้างในบางโอกาส ที่แน่นอนที่สุดพวกเขาก็ต้องได้รับความเมตตาจากท่าน ได้รับของกินและของใช้และเงินใช้จ่ายเป็นประจำ
สิ่งที่แปลกที่สุดในชีวิตของอับดุลเลาะหะมาน ก็คือ มีอยู่วันหนึ่งคุณแม่ของเขาป่วยเป็นไข้ เขาจึงปั่นจักรยานมาเรียนหลวงพ่อได้โปรดทราบและขอให้ไปดูอาการของคุณแม่เขาหน่อย หลวงพ่อฯ รับทราบและได้บอกให้เขากลับไปบ้านก่อน ท่านจะตามไปทีหลัง พอเขาปั่นจักรยานไปถึงบ้านปรากฏว่า หลวงพ่อฯ ได้นั่งอยู่บนบ้านเขาพร้อมญาติ ๆ และเพื่อนบ้าน ทำให้เขาแปลกใจจนจำภาพติดตาและงงก็ตรงที่ว่าเขาปั่นจักรยานกลับจากสุสานฯ ไปบ้านโดยตรง ไม่ได้แวะหรือหยุดพักตรงไหนเลย ทำไมหลวงพ่อฯ ไปถึงบ้านเขาก่อน ไปได้อย่างไร ใช้วิธีไหน เล่าให้ใครรู้ก็ทั้งแปลกประหลาด ทั้งงง
คุณเสดดาฯ พูดว่า พวกผมเป็นอิสลามโดยกำเนิด โดยส่วนตัวก็เคารพท่านมาก เรื่องที่เล่ามานี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้น รับรองว่าไม่ได้สร้างเรื่องแต่งเติมเสริมต่อ พวกเขาเป็นชาวอิสลามและนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของอับดุลเลาะหะมาน ที่ได้พบเห็น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของศาสนาแต่อย่างใด...
คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน
ประสบการณ์หลวงพ่อเกษม เขมโก
โพสต์ในเวบพลังจิต
โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๐๗ ๐๑ ๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๘๓ #๑๖๕๓
หลวงพ่อเกษม กับ หลวงปู่ดู่
ผมลองไปหาเรื่องราวความเกี่ยวข้องกันระหว่างหลวงปู่ดู่และหลวงพ่อเกษม เขมโก ก็ต้องมีเรื่องราวให้แปลกใจ เพราะตามที่ทราบมานั้น หลวงปู่ดู่ ท่านไม่รับนิมนต์ไปนอกวัดมาเป็นเวลานับสิบปี เช่นเดียวกับหลวงพ่อเกษม เขมโกหลังจากท่านหนีจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ด้วยการยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสแต่ทั้งเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่รับหนังสือทั้งสองครั้ง หลวงพ่อเกษมจึงหนีออกจากวัดและไปปลีกวิเวกตามป่าช้า จนมาอยู่ที่สุสานไตรลักษณ์ ท่านก็แทบไม่ได้เดินทางออกนอกเมืองลำปาง แล้วหลวงพ่อเกษมรู้จักหลวงปู่ดู่ได้อย่างไรและหลวงพ่อเกษมไปปรากฏกายที่กุฏิหลวงปู่ดู่ตามที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ที่เป็นพระไปพบเข้าได้อย่างไร
หลวงพ่อเกษม บอกว่า หลวงปู่ดู่เป็นพระใจเพชร
อ่านมาจากที่นี่ครับ
เช้ามืดวันหนึ่งที่กุฏิหลวงปู่ เมื่อราวสี่สิบปีมาแล้วพระลูกศิษย์ ของหลวงปู่มากราบนมัสการหลวงปู่ตอนเช้าอย่างที่ทำเป็นปรกติทุกวัน แต่วันนั้น มีสิ่งผิดแผกไปจากเดิม คือ หลวงปู่ยังไม่ออกมานอกกุฏิสักที ทำให้พระองค์นั้นนึกสงสัย และสงสัยมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่สนทนากับใครอยู่ในกุฏิ ซึ่งธรรมดาแล้วท่านไม่เคยรับแขกที่ในกุฏิเนื่องจากภายในกุฏิท่านนั้นแคบมาก
พระองค์ นี้จึงยอมเสียมารยาทแอบมองหลวงปู่ผ่านทางช่องข้างฝากุฏิหลวงปู่ จึงพบว่าหลวงปู่นั่งสนทนากับพระรูปร่างผอม ๆ อีกองค์หนึ่งอยู่ ซึ่งท่านไม่รู้จัก กระทั่งวันรุ่งขึ้นได้เห็นรูปพระองค์นี้ในหนังสือพิมพ์ ท่านจึงอุทานว่า องค์นี้แหล่ะ พระที่หลวงปู่นั่งสนทนากันในกุฏิ จากรายละเอียดในหนังสือพิมพ์ พระลูกศิษย์หลวงปู่ท่านนั้นจึงทราบว่า พระที่ท่านเห็นสนทนากับหลวงปู่ในกุฏิก็คือ หลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ นั่นเอง
ไม่มีใครทราบความสัมพันธ์ระหว่างหลวงปู่ดู่ กับหลวงปู่เกษม เพราะท่านไม่เคยเดินทางไปมาหาสู่กัน แต่ก็แปลกอย่างยิ่งที่ท่านทั้งสองมักกล่าวถึงกันเสมอ ๆ ช่างต่างจากทางโลกที่ว่าเมื่อฉันเก่งแล้ว ฉันก็จะเก่งที่สุดอยู่คนเดียว เก่งเหนือใครทั้งหมด ทิฐิมานะของผู้ปฏิบัติกับผู้ไม่ได้ปฏิบัติจึงต่างกันราวฟ้ากับดิน
หากยังมีใครสงสัยว่าเมื่อหลวงปู่ดู่ไม่เคยย่างกรายออกนอกวัดสะแกเลย เหตุใดหนังสือเอกสารประกอบวัตถุมงคลจึงชอบเขียนกันนักว่า หลวงปู่ดู่ วัดสะแกมีรายนามพระเกจิในพิธี อย่างเช่นพิธีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอายุครบ ๕๐ ปีนั้นก็ได้มีการนิมนต์หลวงปู่ดู่มาในพิธี มาร่วมอธิษฐานจิตเหรียญพระพุทธสิหิงค์จำลอง ที่จัดสร้างเป็นที่ระลึกและเพื่อจัดหาปัจจัยบำรุงมหาวิทยาลัยฯซึ่งประกอบพิธีที่อาคารหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยมีการนิมนต์พระเถระจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นหลวงปู่รับนิมนต์ที่จะร่วมพิธี แต่หลวงปู่ขอที่จะไม่เดินทางไป (ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติปรกติของหลวงปู่ที่งดรับนิมนต์ออกนอกวัด) หลวงปู่กล่าวกับท่านอธิการบดีว่า ขอให้ปูอาสนะและผ้าขาวในส่วนที่นั่งสำหรับหลวงปู่ จากนั้นหลวงปู่ได้สอบถามถึงกำหนดวันเวลาที่เริ่มพิธี เพื่อท่านจะได้นั่งกรรมฐานจากที่วัดในวันเวลาดังกล่าว จึงเป็นข้อยืนยันได้ว่า หลวงปู่ดู่นั้นไม่ได้นั่งปลุกเสกในพิธี จะมีก็เพียงการปลุกเสกแบบเดินญาณมาเท่านั้น
(นำมาจากกระทู้ในสวนขลัง เพิ่มเติมเมื่อ ๓ สค. ๒๕๕๒)
โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๐๗ ๐๑ ๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๘๓ #๑๖๕๗
หลวงปู่ดู่กับในหลวง
เมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งที่มีข่าว
ในหลวงรัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต
หลวงปู่เคยเล่าว่า
ท่านเกิดความสลดสังเวชมาก ว่าคนไทยหลายคน
"ยังขาดกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อพระเจ้าอยู่หัว"
ท่านคิดอยู่เสมอว่า
ทำอย่างไรจะให้คนไทยมีความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
องค์ท่านเองนั้น ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้
แม้กาลเวลาล่วงเลยไป
หลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่ท่านทำอยู่มิได้ขาด
คือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมา
ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป
หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่า
"เพราะพระเจ้าแผ่นดิน (ร.๙) ท่านปฏิบัติ (ธรรม)
ต่อไปพุทธศาสนาในเมืองไทยจะเจริญขึ้น
เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง"
สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ ยังทรงสังขารอยู่นั้น
บ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรย
กับคณะศิษย์ที่ประกอบด้วย "คนตาดี" หลายคนว่า
"พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง"
เข้าใจว่าท่านคงหมายถึง กายทิพย์ หรือ บารมี
ที่ พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวง
ศิษย์ท่านหนึ่งก็ "เข้าที่" ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า
"หลวงพ่อเกษมครับ"
หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า "นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก"
ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที "หลวงพ่อนั่นแหละครับ"
ท่านมองหน้าแล้วถาม "ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น"
ศิษย์จอมซนอธิบายว่า
"อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง
แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง"
เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป...
นี่คือเรื่องเล่า ที่อาจบอกได้ว่ายังมีอะไร ๆ
ในโลกที่เราผู้ครองความเป็นปุถุชนยังเข้าไปไม่ถึงอีกมาก
สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี
ค่ำของวันหนึ่งเป็นที่เลื่องลือกันมานานปากต่อปากรุ่นต่อรุ่น
นานมาแล้วสมัยหลวงพ่อดู่ยังไม่ย่างเข้าวัยชรามากนัก
มีรถคันหนึ่งขับเข้ามาในวัดสะแกและมีคน ๒ คนลงจากรถมุ่งไปยัง
กุฏิหลวงปู่ ภายหลังเป็นที่ทราบมาว่าเป็นพ่อกับลูกสาว
มากราบนมัสการหลวงปู่ โดยมากันเองพร้อมคนขับรถ
และผู้พ่อใส่แว่นดำ พอมาถึงหลวงปู่ก็ได้จัดแจงรออยู่แล้วเสมือนรู้
ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการนัดหมายก่อนมา
พ่อลูกคู่นั้นได้สนทนากับหลวงปู่ประมาณชั่วโมงจึงได้กราบ
ลาหลวงปู่ หลวงปู่ได้ให้พร และยังแซวว่า
"มาแบบเงียบๆ นี้แหละดี เพราะเดี๋ยวคนจะล้นวัด"
ทั้งหลวงปู่กับพ่อลูกคู่นั้นได้หัวเราะอย่างรู้กัน..
หลังคุณพ่อและลูกสาวออกมาจากกุฏิหลวงปู่
คุณพ่อและลูกสาวก็ได้ให้คนขับรถขับมาเทียบหน้าวัด
พอมาถึงคนลูกสาวก็ได้ลงมาซื้อข้าวแกงกับแม่ค้าแถวนั้น
โดยผู้พ่อก็ลงมาสมทบด้วย และพูดคุยกับแม่ค้าอย่างไม่ถือตัวและเป็นกันเอง
ระหว่างนั้นแม่ค้าผู้นั้นก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมพ่อลูกคู่นี้
ช่างคุ้นหน้าเสียจริง จนทั้งคู่ได้กลับขึ้นรถและขับออกไปแม่ค้า
จึงได้ถึงบางอ้อด้วยความตื้นตัน หลังจากนั้นมีผู้เห็นพ่อลูกคู่นั้น
ได้มาในลักษณะเดียวกันอีก ๒-๓ ครั้ง โดยมีบางครั้งผู้พ่อมาคนเดียวก็มี
พ่อลูกคู่นั้นจะเป็นใครอันนี้ก็แล้วแต่ผู้อ่านจะคิดพิจารณา
ถ้าคิดๆ ดูคงพิจารณาออกไม่ยาก หากรู้แล้วก็ขอให้ประทับความ
ซึ้งใจนี้ไว้ในจิตเป็นบุญที่ได้รู้ก็พอ
แหมก็คนลูกสาว เมื่อวันเปิดพิพิธพันธ์หลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก
เมื่อปี ๒๕๓๕ ก็ยังมาร่วมงานอยู่เลย
ผมต้องขอขอบพระคุณข้อมูลจากพี่ Specialized ที่นำเรื่องราวดีๆ มาถ่ายทอดให้ประชาชนคนไทย ที่เคารพเทิดทูนองค์ในหลวงที่อยู่ใจของชาวไทยทุกคน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
โพสต์โดย sitcrubha2520 เมื่อวันที่ ๐๗ ๐๑ ๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๘๓ #๑๖๕๘
หลวงปู่ดู่ เล่าเรื่อง หลวงพ่อเกษม เขมโก
ในบรรดาพระสุปฏิปันโนหลาย ๆ ท่านนั้น
"หลวงพ่อเกษม เขมโก" สุสานไตรลักษณ์ เป็นพระอันดับต้น ๆ ที่ "หลวงปู่ดู่" .... กล่าวยกย่องชมเชย
จนอยู่มาวันหนึ่ง มีเรื่องราวที่ผู้คนกล่าวถึงหลวงพ่อเกษมในทางที่อาจเกิดการปรามาสท่านได้
นั่นก็คือเรื่องที่ หลวงพ่อเกษมฉันอาหารในยามวิกาล...ในบางคราว
หลวงปู่ดู่ ตั้งคำถามกับลูกศิษย์คนหนึ่งว่า
แกเห็นว่ายังไง เข้าใจยังไง กับการที่หลวงพ่อเกษม ท่านฉันอาหารในยามวิกาลในบางคราว
ลูกศิษย์ก็ไม่กล้าแสดงทัศนะ เพราะกลัวบาป
หลวงปู่จึงเมตตาอธิบาย ให้ทราบถึงเหตุผลของเรื่องนี้ว่า
หลวงพ่อเกษมท่านต้องการสงเคราะห์ดวงวิญญาณ ที่มาขอส่วนบุญในเวลานั้น ๆ
โดยการนำอาหารที่ญาติของเขานำมาถวายไว้ (ตั้งแต่ตอนเช้า) มาฉันให้เขาได้บุญ
แล้วจึงค่อยอุทิศส่วนบุญไปให้...ดวงวิญญาณนั้น
จึงเป็นอันว่า หลวงพ่อเกษมท่านทำเพื่อ "สงเคราะห์ผู้อื่น"
หาใช่ทำเพราะความมักมากในอาหาร
หากเราได้ศึกษาข้อวัตรของท่านให้ดี ก็จะทราบว่า
โดยปรกติแล้ว ท่านจะฉันเอกา (ฉันวันละครั้งเดียวเท่านั้น)
รวมทั้งฉันสำรวม (คือเอาอาหารคาวหวานมารวมกันในบาตร)
องค์ท่านเองก็ผอมเหลือเกิน จึงไม่น่ามีเหตุผลที่มาที่ไปว่า ท่านเป็นผู้มักมากในอาหารแต่อย่างใด
เรื่องที่ "หลวงปู่ดู่" ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ได้ฟัง จึงทำให้ศิษย์ทั้งหลาย ณ ที่นั้น ได้เรียนรู้ว่า
เรามิพึงด่วนสรุปอะไร ๆ จากภาพที่เห็นภายนอก
เพราะยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง...ที่เกินสติปัญญาความรู้ของเรา
แต่อย่างไรก็ดี จะสังเกตว่าเรื่องดังกล่าวนี้ (หมายถึง การฉันอาหารยามวิกาล)
องค์หลวงพ่อเกษมเอง ก็มิได้ทำเป็นกิจวัตร
หากแต่นาน (แสนนาน) จะทำสักหนหนึ่ง
และก็มิได้กระทำอย่างผู้มีแผล คือ ต้องแอบ ๆ ทำ
เพราะ "หลวงปู่ดู่" กล่าวยกย่องท่านว่า
...เป็นผู้ไม่มีแผลแล้ว เป็นผู้ที่ใคร ๆ จะปรับอาบัติท่านไม่ได้แล้ว
เฉกเช่นเดียวกับ...พระผู้หลุดพ้นแล้วทั้งปวง
ความเป็นอยู่ของท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกโดยถ่ายเดียว
ซึ่งหากเป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ทำอย่างเดียวกันกับท่าน ย่อมไม่พ้นอาบัติ
และย่อมเป็นความเศร้าหมองแก่ตนเองโดยถ่ายเดียว
ความเกี่ยวข้องในหลวงปู่ดู่และหลวงพ่อเกษม เขมโก อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องยาวมาก ดังเนื้อความตามนี้
“…เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะไปรับลูกที่โรงเรียน ก็สังเกตเห็นว่าคอของตนเองบวมจึงไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อทำการตรวจ แพทย์พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด เท่าลูกมะปรางอยู่ในคอ แพทย์บอกว่าอาจจะเป็นเนื้อร้ายต้องผ่ามาพิสูจน์ เมื่อรู้ดังนั้น ข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก พอไปถึงก็กราบเรียนท่าน ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่ปงไม่เป็นหรอกมะเร็ง”
แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านมาหาท่าน เขาเป็นมะเร็งในมดลูก ท่านทำมือให้ดูว่าก้อนเนื้อมีขนาดเท่าลูกส้มโอ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เขากลัวมากเลยมาหาท่าน ท่านก็เมตตาให้เขาดื่มน้ำมนต์และให้ภาวนาไปด้วย ชาวบ้านผู้นั้นก็ปฏิบัติตามคือดื่มน้ำมนต์และภาวนา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ อย่างเคร่งครัดจนครบ ๓ เดือนก็ไปหาหมอตรวจดู ปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากที่ท่านเล่าให้ฟังแล้ว ท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตดอกบัว ให้ข้าพเจ้านำกลับไปต้มกับน้ำมนต์ ดื่มเป็นประจำทุกวันและให้ภาวนาไตรสรณคมน์ไปด้วย คืนหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า ข้าพเจ้ากับสามีนั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งโดยนั่งข้างหน้าและมีคนนั่งอยู่กันเต็มลำ เรือลำนี้มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะกลางทะเล บนเกาะมีคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในกระท่อม
พอไปถึงคนทั้งหลายก็ขึ้นฝั่ง ไปให้ท่านทั้งสองรักษาโรคให้ด้วยการเป่า เมื่อท่านทั้งสองเป่ารักษาให้คนทั้งหลายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บในทันทีแล้วพา กันกลับลงเรือ ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปขอให้ท่านทั้งสองช่วยรักษา คุณตาคุณยายกลับบอกว่า “ข้าช่วยเอ็งไม่ได้” ได้ยินเพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองช่วยด้วยเถิด และข้าพเจ้ายังตัดพ้อว่า คนอื่นเขามากันเต็มลำเรือ ท่านยังช่วยได้ทำไมเราคนเดียว ท่านไม่ช่วย
อ้อนวอนทั้งน้ำตาอยู่นานก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้าจึงเดินร้องไห้กลับมาเพื่อจะลงเรือ ทันทีนั้นก็ได้ยินเสียงท่านเรียกแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ มีคนเดียวที่ช่วยได้” ข้าพเจ้ารีบถามว่าเป็นใคร ท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ลำปาง” ข้าพเจ้าจึงพูดว่าหลวงพ่อเกษม เขมโกท่านพบยาก ไปก็ลำบาก ไม่รู้จักใครที่จะพาไป ท่านบอกว่าให้ไปอยุธยาแล้วจะมีคนพาไป
เมื่อตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็ รีบไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกทันที ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงแล้วข้าพเจ้ากราบเรียนท่านให้ฟังถึงความฝัน ท่านก็เลยพานั่งสมาธิ กำหนดพาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์แล้วนิมนต์หลวงพ่อเกษม เขมโกมาวัดสะแก
เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมาให้เห็นเป็นกายเนื้อนั่งอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อดู่ แล้วข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่าน หลวงพ่อเกษมท่านก็รักษาให้โดยการเป่า หลวงพ่อดู่ท่านยังเมตตาฝากข้าพเจ้ากับหลวงพ่อเกษมว่า วันข้างหน้าหากข้าพเจ้ามีอะไรติดขัดก็จะขอให้กราบเรียนหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับ ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่าหลวงพ่อดู่จะต้องละสังขารก่อนหลวงพ่อเกษม แน่นอน
พอกลับ มาบ้านอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ทรุดโทรมแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่าหลังจากที่หลวงพ่อดู่ท่านละสังขาร ข้าพเจ้างานยุ่งมากทำให้จิตไม่ค่อยมั่น ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง แล้วก็เชื่อผู้อื่นที่หวังดีแนะนำไปหาหมอหลายหมอ จิตจึงไม่นิ่งนั่งสมาธิไม่ค่อยดี ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จและฟื้นขึ้นมา ข้าพเจ้าได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งกลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มากยืนอยู่ เห็นเหนียงที่คอยาวจนเกือบถึงพื้น เขาบอกว่าข้าพเจ้าเคยช่วยแม่จับขาเขาทำร้ายเขาถึงชีวิต ไปทำเขาไว้เขาโกรธก็เลยตามมาจะแก้แค้น รอโอกาสที่จะแก้แค้นข้าพเจ้ามานานจนกระทั่งตัวเขาแก่มากเหนียงยาวเกือบถึงพื้น
หลังจากผ่าตัด ๖ เดือนหมอก็ให้กลืนน้ำแร่ฆ่าเชื้อและป้องกันมะเร็งที่คอ ๗ วันวันแรกประมาณบ่าย ๓ โมง กลืนน้ำแร่หยดเล็ก ๆ พอบ่าย ๕ โมงคอเริ่มบวมแดงไปหมด กลืนน้ำลาย กลืนน้ำไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เตียงที่นอนล้อมรอบด้วยแผ่นตะกั่วกันรังสีอยู่คนเดียวห้ามเยี่ยม หมอและพยาบาลจะเข้ามาต้องใส่ชุดกันรังสี ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้มากจึงกดออดเรียกหมอ บอกหมอถึงอาการ แต่หมอก็ไม่เชื่อคงเพราะกรรมมาบังไว้ ตอนทุ่มครึ่งพยาบาลนำยานอนหลับมาให้ทานก็แอบเอาไว้ไม่ยอมทาน
ข้าพเจ้าสวด มนต์ไหว้พระ-รับศีลเพื่อเตรียมตัวตาย เพราะจำได้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านสั่งแล้วสั่งอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า.. “ก่อนตายสำคัญมากต้องมีสติภาวนารักษาศีล”
และ เนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพานและให้ภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ข้าพเจ้าจึงได้ทำตามแล้วก็นอนทำสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็ดี พอภาวนาไปได้พักหนึ่งจิตก็หวนคิดถึงลูกคนเล็กซึ่งมีอายุเพียงขวบกว่า ๆ เกิดความคิดว่าเมื่อตายแล้วหากไปนิพพานก็จะไม่ได้กลับมาเห็นลูกอีก เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จิตก็รวมดี
ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เห็นตัวเองสวมชุดขาวออกเดินไปในทุ่งอันกว้างใหญ่ มีต้นข้าวเขียวขจีอ่อนพลิ้วไปตามกระแสลม ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นดวงสว่างปรากฏขึ้นและเห็นหลวงพ่อดู่ท่านมา จึงรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พาไปยังกุฏิที่ท่านอยู่ ซึ่งหน้ากุฏิท่านนั้นมีลำธารเป็นแก้วใส และมีต้นโพธิ์ทองแก้วเป็นแก้วใส ๒ ต้นสูงประมาณ ๒ เมตรอยู่ด้านหน้ากุฏิ
ท่านนั่งห้อยขาอยู่บนกุฏิ ซึ่งเป็นทองสวยอร่ามมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่านแล้วบอกว่าจะขออยู่กับท่านตลอดไปไม่กลับ
ท่านก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้บุญยังไม่พอ”
ข้าพเจ้าร้องไห้ทวงสัญญาว่าหลวงพ่อเคยรับปากลูกว่าจะให้ลูกเกาะชายผ้าเหลือง ไปทุกภพทุกชาติลูกจะไม่ขอกลับไปแล้ว
ท่านจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลงไปทำความดีอีก ๑๐ ปี…แล้วค่อยว่ากันใหม่”
ก็เลยตกใจตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตี ๔ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะอาการที่ป่วยอยู่ทุกอย่างได้เริ่มหายเป็นปกติ ข้าพเจ้าอยู่โรงพยาบาลครบ ๗ วัน ก็ได้กลับบ้าน และหายจากโรคร้ายอย่างเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกเลย
ข้าพเจ้าได้แต่กราบแทบเท้าหลวงพ่อทั้งสองเพื่อขอบพระคุณ ที่ท่านมีเมตตาอนุเคราะห์ ให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวในทุก ๆ เรื่องตลอดมา กระทั่งทุกวันนี้…”
หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่หลวงปู่ดู่ให้ความเคารพมาก กล่าวกับลูกศิษย์ว่า “อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก”
โพสต์โดย Gentoo เมื่อวันที่ ๑๑-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๓๖ #๖๗๑๘
เรื่องเก่ามาเล่าใหม่ครับ
มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่วัดสะแกกับเพื่อนต้องการไปไหว้หลวงปู่เกษม ที่จังหวัดลำปาง หลวงปู่ดู่บอกว่าให้ไปจริงๆ อย่าไปลอง ไปขอพรท่าน ท่านเป็นอรหันต์ พอไปถึงลำปางลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่กับเพื่อนๆ รวม ๔ คนได้เข้าไปไหว้หลวงปู่พร้อมกับคนอื่นๆ ประมาณ ๓๐ กว่าคน เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ใจนักที่หลวงปู่เกษมถามขึ้นมาว่า สี่คนนี้มาจากไหน แล้วท่านก็มองหน้าศิษย์หลวงปู่ดู่ ศิษย์หลวงปู่ดู่บอกว่ามาจากอยุธยา หลวงปู่เกษมจึงพูดขึ้นว่า พวกที่มาจากอยุธยา ให้เข้ามาข้างในไหว้พระ นอกนั้นหมดธุระกลับกันไป เป็นไปได้อย่างไรที่หลวงปู่เกษมรู้ว่ามากันสี่คน ขนาดนั่งห่างๆ กันเมื่อได้เข้าไปแล้ว วันนั้นหลวงปู่เกษมคุยเสียงดังมาก ท่านบอกว่า พวกอยุธยามากัน ๔ คน ให้ขนมปังคนละ ๙ อัน ตะกรุดก้านธูปคนละ ๑ ดอก
ปรากฏว่าเลขท้ายรางวัลที่หนึ่งงวดนั้นออก ๑๔๙ จะเห็นได้ว่าหลวงปู่เกษมมีญาณในอนาคต คือ อนาคตังสญาณ รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแม้แต่กิเลสที่เป็นเสี้ยนหนามหัวใจ ที่ร้ายยิ่งกว่าเสือท่านยังกำจัดได้ แล้วอะไรเล่าจะปิดบังท่านได้ หลวงพ่อท่านเมตตา ต้องการโปรดให้ทราบว่าของสิ่งนั้นมีจริง ไม่เหลือวิสัยของพระอรหันต์จะรอบรู้
หลวงปู่ดู่บอกว่าพอศิษย์มาหา หลวงพ่อนึกในใจว่า จะมีศิษย์จากอยุธยาต้องการไปนมัสการหลวงปู่เกษม ขอให้ท่านช่วยรับรองด้วย ข้าก็นึกๆ เอาเท่านั้นแหละ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงโทรจิต ที่ท่านปฏิบัติถึงจุดแล้ว สามารถกระทำได้
โพสต์โดย sylvenus เมื่อวันที่ ๒๗-๑๐-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๓๔๘ #๖๙๕๕Z
น้ำมนต์สองพระอริยสงฆ์
โดย พี่สิทธิ์
ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๑ หลวงปู่ดู่ ได้ให้ เฮียอู๋ (โยมอุปัฎฐากหลวงปู่) นำพระที่ได้รับจากการที่มีผู้นำมาถวายสังฆทานเป็นจำนวนมากไปถวาย หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง ในครั้งนั้นท่านได้ให้เฮียอู๋นำน้ำมนต์ประมาณ ๒๐ แกลลอนไปด้วย เฮียอู๋ได้จัดพระบูชาและน้ำมนต์ตามที่หลวงปู่ดู่สั่งโดยไม่ทันได้กราบเรียน ถามถึงเรื่องน้ำมนต์ว่าจะต้องทำอย่างไร
เฮียอู๋และภรรยา ได้ขับรถไปลำปางในวันรุ่งขึ้น เมื่อไปถึงสุสานไตรลักษณ์ประมาณบ่าย ๒ โมง ขับรถยนต์เข้าทางด้านหน้ากุฏิ พอดับเครื่องยนต์เสร็จก็เปิดท้ายรถยนต์เตรียมที่จะนำพระบูชาทยอยออกจากท้าย รถยนต์ แต่ยังไม่ได้ทันยกพระสักองค์ โยมอุปัฏฐากของ หลวงพ่อเกษม เขมโก ก็วิ่งลงมาจากกุฏิท่านแล้วบอกว่า 'หลวงพ่อท่านต้องการน้ำมนต์'
เฮียอู๋จึงนำน้ำมนต์ให้โยมอุปัฏฐากของ หลวงพ่อเกษม เขมโก ไปด้วยความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเฮียอู๋ลงจากรถ เปิดท้ายรถยนต์ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้กราบเรียนท่านแล้วหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเฮียอู๋นำน้ำมนต์มาด้วย !? แล้วยิ่งอัศจรรย์ใจมากยิ่งขึ้นเมื่อโยมอุปัฏฐาก หลวงพ่อเกษม นำน้ำมนต์คืนมาให้ แล้วเล่าว่า...
"หลวงพ่อเกษมท่านได้ใช้ปากจ่อปากแกลลอนแล้วเป่าลงไปในน้ำมนต์ แล้วสั่งให้นำน้ำมนต์มาคืนกลับวัดสะแก"
เมื่อเฮียอู๋กลับมาวัดสะแกก็ได้กราบเรียนหลวงปู่ดู่เรื่องน้ำมนต์ หลวงปู่ดู่ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า
“ข้าได้อธิษฐานจิตบอกหลวงพ่อเกษมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ก่อนแกจะไปลำปาง”
ที่มีผู้กล่าวว่าหลวงปู่ดู่และ หลวงพ่อเกษม ท่านถึงกันตลอดเวลาคงไม่ใช่เป็นสิ่งที่กล่าวเกินเลยและเป็นสิ่งที่พวกเราได้ รับสิ่งที่วิเศษสุดที่หลวงพ่อดู่และหลวงพ่อเกษมท่านเมตตาอธิษฐานจิตทำ น้ำมนต์ไว้ให้พวกเราได้ดื่มกันทุกวันนี้ (ผสมเป็นหัวเชื้อไว้ที่วัดสะแก) พูดได้ว่าเป็น น้ำมนต์สองพระอริยสงฆ์
ประสบการณ์หลวงพ่อเกษม เขมโก
โพสต์ในเวบพลังจิต
โพสต์โดย tee_tores เมื่อวันที่ ๐๒-๐๕-๒๐๑๒ อยู่ในกระทู้หน้าที่ ๑๙๔ #๓๘๕๐
เรื่องจริง : แรงศรัทธาของโยมปอ.... (เสี่ยปอ ประตูน้ำ)
ความเคารพศรัทธาของคุณไพจิตร ธรรมโรจน์พินิจ (หรือเสี่ยปอ ประตูน้ำ) ที่มีต่อหลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสดงออกมาเป็นข่าวดังผ่านสื่อมวลชนเป็นระยะ ๆ นั้นเป็นเรื่องของลูกผู้ชายที่พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น บางครั้งเขาก็ออกมาบอกผ่านสื่อมวลชนว่าเขาจะบวชให้หลวงพ่อฯ และจะจำพรรษาที่ลำปาง แล้วเขาก็ปฏิบัติได้ตามคำพูดที่ให้ไว้ ยิ่งถ้าหากมีงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดกับวันคล้ายวันมรณภาพด้วยแล้ว เขาจะออกแรงทำบุญทุกอย่างที่ทำได้ จะเหนื่อยอย่างไรเพียงใดก็จะไม่บ่น ยิ่งถ้ามีค่าใช้จ่ายครั้งละ ๒-๓ ล้านบาท ก็อย่าไปถาม เพราะคำว่าหลวงพ่อฯ เท่าไหร่เท่ากัน หลวงพ่อฯ เป็นพระประจำใจและจะจัดให้เขาเป็นพวกหลวงพ่อเกษมลิซึ่มก็ได้ ยิ่งเป็นคำประทับใจมาก
เสี่ยปอประตูน้ำ เป็นคนกรุงเทพมหานคร ไม่ได้เกิดในลำปางหรือไม่ใช่คนลำปางโดยกำเนิด แต่เคารพศรัทธาหลงพ่อฯ มาก โดยมีเรื่องเป็นขั้นเป็นตอนดังนี้
แรก เริ่มคุณไพจิตรฯ หรือ เสี่ยปอประตูน้ำ เป็นพ่อค้าที่ทำมาค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯ เขาได้ติดตามเรียนรู้เรื่องของหลวงพ่อฯ มากจนกระทั่งเคารพศรัทธาและอยู่กรุงเทพฯ ไม่ติด ได้เดินทางเข้ามานมัสการหลวงพ่อฯ ที่สุสานไตรลักษณ์หลายครั้ง แต่ไม่ได้เข้าไปนมัสการท่านเลย เพราะไม่รู้จักผู้ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อฯ อีกทั้งใจค่อนข้างร้อนประเภทรอคอยนานไม่ได้ ในระหว่างนั้น การทำธุรกิจการค้าก็ไม่ค่อยจะดีนัก
ต่อ มาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เขาได้ติดต่อกับคุณก๊กเซ้ง ร้านเย็นซ่า ขายน้ำแข็ง ตลาดเก่า ลำปาง ขอให้ติดต่อลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ขอให้ได้เข้านมัสการหลวงพ่อฯ ในที่สุดก็ติดต่อขออนุญาตผ่านเจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง โดยได้ขออนุญาตให้เขาได้เข้านมัสการท่านให้ได้ ผลปรากฏว่าหลวงพ่อฯ อนุญาตให้เข้าไปนมัสการท่านได้เลย ดังนั้น ก๊กเซ้ง จึงติดต่อเขาโดยทางโทรศัพท์ เขาทราบก็ดีใจและตรงมาหาหลวงพ่อฯ ทันที พอมาถึงโรงพยาบาลเมืองลำปาง (ปัจจุบันคือ โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง) ที่ท่านพักรักษาตัวอยู่ เจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง เป็นคนพาเข้าไปไหว้หลวงพ่อฯ ในตึกทิวารี พอเข้าไปถึงหลวงพ่อฯ ท่านก็พยักหน้าต้อนรับ เขามาคนเดียว หลวงพ่อฯ สอนให้ไหว้ครั้งเดียว ให้กล่าวว่า “สังฆัง นะมามิ” เขาได้นมัสการหลวงพ่อฯ ว่า “ผมมาขอบารมีหลวงพ่อฯ เป่าหัวให้ผมหน่อย" แล้วหลวงพ่อฯ ก็ให้กล่าวคำวันทา แล้วหลวงพ่อฯ ก็เป่าหัวให้ เสี่ยปอปลื้มใจจนน้ำตาไหลซึมอาบแก้ม นับแต่นั้นมา เขาดำเนินธุรกิจการค้าอันใดก็เจริญก้าวหน้ามีกำไร ร่ำรวยเงินทอง หลังจากนั้น เสี่ยปอฯ ก็ได้ขึ้นมานมัสการหลวงพ่อฯ เป็นประจำ เหมือนกับบ้านพักของเขาอยู่ในจังหวัดลำปาง นั่นเอง
ใน ปี พ.ศ.๒๕๑๙ เขาได้ขึ้นมาบวชเป็นพระภิกษุให้หลวงพ่อฯ ในวันเกิดของท่าน ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ โดยเจ้าคุณอินทวิชาจารย์ (เจ้าคุณหล้า) เจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นองค์อุปัชฌาย์ บวชแล้วจำพรรษาอยู่ที่ศาลาเจ้าแม่สุชาดา ๑ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาจากสมณเพศไป
คนทำธุรกิจการค้าบางครั้งก็มีปัญหาความยุ่งยากเกิดขึ้น บางทีก็มีการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ดังนั้นเสี่ยปอฯ ก็เคยมีปัญหาดังกล่าว เขาถูกมือปืนปองร้ายหลายครั้ง แต่กลุ่มมือปืนรับจ้างที่ตามประกอบยิงต้องหยุดชะงักทุกครั้ง จนมีการเล่าสู่กันฟังในวงการมือปืนว่า พอตามประกบยิงเสี่ยปอประตูน้ำครั้งใดก็ยิงไม่ได้สักที เพราะมีพระสงฆ์นั่งโดยสารอยู่เต็มรถ ถ้าขืนยิงก็อาจถูกพระสงฆ์ ก็จะเป็นบาปกรรมเปล่า จนมีเรื่องเล่าในกลุ่มผู้คิดจะปองร้ายว่า เวลาเขาไปไหน ทำไมต้องนิมนต์พระสงฆ์โดยสารไปเต็มรถยนต์นั่งส่วนตัว นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น
การ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลถวายหลวงพ่อฯ ในวันคล้ายวันเกิดกับวันคล้ายวันมรณภาพ เป็นงานใหญ่ระดับประเทศที่มีคนนับหมื่นหลั่งไหลมาร่วมทำบุญโดยไม่มีการ บอกกล่าวป่าร้องเชิญชวนและไม่มีบัตรเรียนเชิญใคร งานนี้จะนิมนต์พระภิกษุสามเณร ๘๔ วัด แต่จะมีพระภิกษุสามเณรจากทั่วประเทศมาร่วมทำบุญเฉพาะพระภิกษุก็เป็นจำนวนพันรูปแล้ว ประชาชนทั่วสารทิศได้เข้าร่วมทำบุญ วันนั้นถือว่าเป็นวันอิ่มเอิบ คือเครื่องถวายไทยทานกับอาหารการกินมากมาย คืออิ่มทั้งบุญกุศล อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มทั้งอาหารการกิน
ในด้านกำลังแรงศรัทธาจากประชาชนทั่วไป บริษัทห้างร้าน ข้าราชการทุกหมู่เหล่า อาสาสมัครทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกัน คุณไพจิตรหรือเฮียปอ ก็จะเป็นแรงสำคัญที่คอยดูแลเอาใจใส่การจัดงานดังกล่าว จะไม่ให้เกิดความผิดตกบกพร่องเป็นอันขาด เขาจะเอาใจใส่เฝ้าดูแลงานตั้งแต่วันสุกดิบไป จนกระทั่งปิดงานแล้วเสร็จ
นับแต่ได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ พฤติกรรมแห่งความเคารพศรัทธาในหลวงพ่อฯ ได้เป็นเรื่องจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำตลอดมา เป็นตัวอย่างอันดีงามของศิษยานุศิษย์ อีกทั้งได้แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทิตาต่อหลวงพ่อเกษม เขมโก อย่างไม่มีวันลืมเลือนจนปัจจุบัน
“อะโห มหัณณะโว ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”
ความศักดิ์สิทธิ์ในห้วงมหรรณพนี้ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
เรื่องเล่า ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา
แต่นำมาเผยแพร่ เนื่องจากต้องการให้ระลึกถึงคุณความดีของพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดจากการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเกิดจากผู้ที่ศรัทธาได้นำมาเผยแพร่ เล่าต่อ
ซึ่งองค์ท่านไม่ได้รู้เห็นหรืออวดอ้างแต่ประการใด
เรื่องเล่า : จากหนังสือประวัติหลวงพ่อเกษม เขมโก จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยคุณบุญหลง ถาคำฟู
ได้ขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่เรียบร้อยแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑
ปริศนาแห่งคุ้มหลวง
ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น
ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน หนังสือพิมพ์ลำปางนิวส์
ฉบับที่ ๑๘๗ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม-๑ มิถุนายน ๒๕๕๑ หน้า ๗
มีความลับของตระกูล ณ ลำปาง ซ่อนอยู่ในหนังสืออนุสรณ์งานศพของครูบุญปั๋น โชติกะกุล (พ.ศ.๒๔๕๓-๒๕๓๗) ครูอาวุโสคนหนึ่งของลำปาง ซึ่งผมได้บังเอิญพบเข้าและเรื่องดังกล่าวเกี่ยวพันโดยตรงกับ “พ่อเจ้า” เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย
หนังสือเล่มนี้เสนอเรื่องราวของเจ้านายลำปางซึ่งยังไม่เป็นที่รับรู้กันในวงกว้างมากนัก โดยเริ่มต้นเล่าถึง มารดาของครูบุญปั๋น โชติกะกุล ผู้วายชนม์ ซึ่งมีนามว่า “บุญหลง” เธอเป็นเด็กสาวที่ได้ติดตามมารดาของตนชื่อ “แม่เฒ่าขันคำ” เข้ามาอยู่ในคุ้มหลวงนครลำปางตั้งแต่อายุเพียง ๑๐ ปี
แม่เฒ่าขันคำ เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการออกแบบผ้าซิ่นตีนจก สามารถใช้ไหมทองและไหมเงินทอเป็นผ้าซิ่นได้อย่างงดงาม จึงมีหน้าที่เป็นผู้สอนการทอผ้าให้แก่ช่างทอประจำโรงทอผ้าของคุ้มหลวง
ส่วน “บุญหลง” บุตรสาวของแม่เฒ่า เป็นเด็กสาวสวยหน้าตาดีมีรูปร่างสูงเพรียวงดงาม ซึ่งในเวลาต่อมาเธอได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปฝึกเล่นละครในโรงละครแห่งคุ้มหลวง ที่นั่นมีเด็กสาวหน้าตาดีเข้าไปฝึกเล่นละครเป็นจำนวนมาก
โรงละครภายในคุ้มหลวงเป็นสถานที่ซึ่ง “พ่อเจ้า” เจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิตและเจ้านายบุตรหลานมักมาชมการแสดงเป็นประจำ ละครที่แสดงเป็นทั้งละครร้องและละครรำเป็นแบบที่นำมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในสังคมลำปางขณะนั้น ผู้มาเข้าชมส่วนมากเป็นเจ้านายหรือข้าราชการเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปแทบไม่มีสิทธิเข้ามาชมการแสดง
“บุญหลง” ธิดาของแม่เฒ่าขันคำ มีโอกาสได้เป็นตัวเอกของเรื่องอยู่หลายคราว ทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างดีของเจ้านายบุตรหลานโดยทั่วไป
เมื่อภายหลังแม่เจ้าเมืองชื่น ณ ลำปาง ชายาของพ่อเจ้าถึงแก่กรรมไปไม่นาน ขณะนั้นบุญหลงอายุ ๑๕ ปี ก็ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในหม่อมของพ่อเจ้าและได้รับชื่อใหม่ว่า “หม่อมวาทย์”
หนึ่งปีภายหลังการปรนนิบัติรับใช้พ่อเจ้า ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ หม่อมวาทย์ได้ให้กำเนิด “เจ้าหญิงบุษบา ณ ลำปาง” ธิดาคนแรกในคุ้มหลวงนครลำปาง สร้างความดีใจให้แก่พ่อเจ้าเป็นอย่างมาก ส่งผลให้พ่อเจ้ามอบบ้านและที่ดินรวมทั้งเงินทองจำนวนหนึ่งให้แก่แม่เฒ่าขันคำ มารดาของหม่อมวาทย์ ซึ่งบ้านที่มอบให้นั้นเป็นบ้านหลังที่ได้พักอาศัยต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นของผู้วายชนม์
หม่อมวาทย์ได้ทำงานรับใช้พ่อเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าหญิงบุษบา จนกระทั่งเติบใหญ่ ภายหลังเมื่อเจ้าหญิงอายุได้ ๑๖ ปีได้สมรสกับเจ้าดรุณดารา ณ ลำพูน และย้ายไปอาศัยอยู่กับสามีที่เมืองลำพูน
ในหนังสือเล่มนี้ยังได้กล่าวถึง การที่พ่อเจ้าได้มอบหมายภารกิจสำคัญให้แก่หม่อมวาทย์ช่วยเหลือในการส่งกำลังบำรุงทหารคือ การจัดเตรียมเสบียงอาหารและยาไปให้ทหารที่หออะม๊อก (ป้อมปราการ) กำแพงเมืองลำปาง ในคราวที่เกิดกบฏเงี้ยวปล้นหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งได้บุกมาถึงนครลำปาง
จนเมื่อกบฏเงี้ยวยุติลง พ่อเจ้าได้ตอบแทนน้ำใจของหม่อมวาทย์ด้วยการมอบที่นาจำนวน ๒๐๐ ไร่ที่ตำบลทุ่งห้วยหาญ (ทุ่งฝาย) และกล่าวต่อหน้าผู้คนทั้งปวงว่า “เพื่อหม่อมวาทย์จะได้ปลูกข้าวไว้เลี้ยงคน” ข้อความในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่พ่อเจ้ามีต่อหม่อมวาทย์อย่างมาก
ต่อมาที่บริเวณแห่งนี้เรียกกันภายหลังว่า “ห้างโต้งฝาย” ใช้เป็นที่พักผ่อนชั่วคราวของหม่อมวาทย์และมักมีเจ้านายบุตรหลานแวะเวียนมา “กิ๋นข้าวงาย” กันเป็นประจำ
นอกจากนี้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการส่งกำลังบำรุงทหารในคราวเกิดกบฏเงี้ยวครั้งนั้นว่า มีแพทย์ทหารนายหนึ่งจากกรุงเทพฯเกิดหลงรักในตัว เจ้าหญิงอ้ม ณ ลำปาง ธิดาของพ่อเจ้าที่ทรงความงดงาม ซึ่งกำเนิดกับแม่เจ้าเมืองชื่นและมีความสนิทสนมกับหม่อมวาทย์ จึงได้ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอกับพ่อเจ้าแต่ถูกปฏิเสธ เพราะพ่อเจ้าตั้งใจจะนำเจ้าหญิงไปถวายตัวแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับหม่อมวาทย์ด้วย หนังสือข้างต้นอ้างว่า มีผู้ยุแหย่กับพ่อเจ้าว่า หม่อมวาทย์เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจในการที่แพทย์ทหารนายนั้นมาสู่ขอเจ้าหญิงอ้ม เข้าใจว่าเรื่องนี้ทำให้พ่อเจ้าเกิดความขุ่นเคืองมาก
เรื่องราวกำลังเข้มข้นและยังมีปริศนาสำคัญของตระกูล ณ ลำปาง ที่หนังสืออนุสรณ์งานศพเล่มนี้ต้องการจะเปิดเผยรออยู่ ส่วนเรื่องจะเป็นอะไรนั้น โปรดติดตาม “ปริศนาแห่งคุ้มหลวง” ในตอนต่อไป
ปริศนาแห่งคุ้มหลวง (๒)
เรื่องราวของหม่อมวาทย์ในเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย ที่ผมอ่านพบในหนังสืออนุสรณ์งานศพของครูบุญปั๋น โชติกะกุล ได้นำเสนอไปเมื่อตอนที่แล้ว
หนังสือดังกล่าวเล่าต่อไปว่า เมื่อราวปลายปี พ.ศ.๒๔๕๒ แม่เฒ่าขันคำ มารดาของหม่อมวาทย์ได้ป่วยหนัก หม่อมจึงขออนุญาตจากพ่อเจ้าออกจากคุ้มหลวงนครลำปาง ไปอยู่ที่บ้านของมารดาเพื่อดูแลปรนนิบัติรักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างใกล้ชิด
ประจวบกับในช่วงเวลานั้น พ่อเจ้าบุญวาทย์ฯต้องเดินทางไปร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่กรุงเทพมหานคร และการเดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ-นครลำปางในสมัยนั้นใช้เวลานับแรมเดือนเพราะรถไฟสายเหนือยังมาไม่ถึงนครลำปาง
ขณะนั้นเองมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น คือ หม่อมวาทย์ได้ให้กำเนิดธิดาคนที่สอง ณ บ้านของแม่เฒ่าขันคำ ผู้เป็นมารดา โดยหนังสือข้างต้นอ้างว่า หม่อมไม่ทราบมาก่อนว่ามีลูกติดท้องมาด้วย จึงให้กำเนิดธิดาในระหว่างที่พ่อเจ้าไม่อยู่ที่นครลำปาง
จนกระทั่งเมื่อพ่อเจ้ากลับมาถึงนครลำปาง หนังสือเล่าว่าได้มีผู้ยุแหย่ว่า “ลูกที่เกิดไม่ใช่ลูกของพ่อเจ้า” กอปรกับการเดินทางที่ยากลำบากระหว่างกรุงเทพฯ-นครลำปาง ส่งผลให้สุขภาพร่างกายของพ่อเจ้าเสื่อมโทรม อีกทั้งหม่อมวาทย์ถูกกีดกันไม่ให้เข้าพบ
หนังสือยังอ้างอีกว่า ด้วยเหตุที่พ่อเจ้ามีสุขภาพที่ทรุดโทรมลงไปตามลำดับและต้องเดินทางไปรักษาตัวในกรุงเทพฯเป็นเวลานานและบ่อยครั้งขึ้น ในที่สุดพ่อเจ้าได้แนะนำให้หม่อมวาทย์ซึ่งขณะนั้นอายุยังน้อย แต่งงานใหม่ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้มีผู้ดูแลคุ้มครองและขจัดปัญหาทั้งปวงที่เกิดขึ้น
หม่อมวาทย์จึงได้สมรสใหม่กับนายศรีอู๊ด โชติกะกุล บุตรชายพ่อเลี้ยงหม่องโพขิ่น คหบดีผู้ได้รับสิทธิ์การตั้งบริษัทไฟฟ้าในนครลำปาง ซึ่งมีความสนิทสนมในทางธุรกิจกับพ่อเจ้า ภายหลังหม่อมได้ให้กำเนิดบุตรและธิดาเพิ่มอีก ๓ คน ชื่อ บุญหยด บุญดำรง และ อำไพพรรณ
เรื่องราวใหญ่โตดูเหมือนจบอย่างเรียบร้อย ซึ่งคงเป็นปกติของหนังสืออนุสรณ์งานศพที่มักจะเลือกนำเสนอแต่เฉพาะแง่มุมในเชิงบวกต่อผู้วายชนม์หรือผู้เกี่ยวข้องเสมอ จึงเป็นสิ่งที่ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณประกอบในการอ่าน
ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง ชีวิตของธิดาคนที่สองของหม่อมวาทย์ ซึ่งก็คือ “ครูบุญปั๋น” ผู้วายชนม์ ได้ระบุว่า เป็นบุตรีลำดับที่ ๗ ของพ่อเจ้าบุญวาทย์ฯ เมื่ออายุได้ ๘ ขวบเข้าศึกษาที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดลำปางหรือโรงเรียนลำปางกัลยาณีในปัจจุบัน ขณะนั้นตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านปงสนุก
ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๑ ปี หม่อมวาทย์ได้ส่งไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย กรุงเทพมหานคร ในแผนกการเรือน มีนายศรีอู๊ด ผู้เป็นสามีพาธิดาคนนี้ไปมอบตัวและได้ลงทะเบียนว่า “นางสาวบุญปั๋น โชติกะกุล” เป็นธิดาของนายศรีอู๊ดด้วย
ครั้นเมื่อสำเร็จการศึกษา บุญปั๋นได้กลับมาทำงานเป็นครูที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๒-๒๔๘๙ ต่อมาลาออกจากราชการ แต่ยังคงรักการสอนจึงมาเป็นครูที่โรงเรียนพินิจวิทยา จนกระทั่งถึง ปี พ.ศ.๒๕๐๒
ภายหลังเข้าปฏิบัติธรรมเป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อเกษม เขมโก พระสงฆ์รูปสำคัญที่ชาวลำปางให้ความเคารพนับถือผู้มีเชื้อสายของเจ้านายในตระกูล ณ ลำปาง โดยหลวงพ่อเกษม เป็นบุตรของเจ้าแม่จ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีความสนิทสนมรักใคร่เป็นอย่างดีกับหม่อมวาทย์ มารดาของครูบุญปั๋น
ในชีวิตของผู้วายชนม์คงได้รับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ถึงชาติกำเนิดของตน ดังพบข้อความหนึ่งว่า “เรื่องที่มีผู้ไม่หวังดีชอบกล่าวว่า ใครเป็นบิดาอย่างแท้จริงของครูบุญปั๋นนี้ หลวงพ่อเกษม ผู้สำเร็จอภิญญา มีอตีตังสญาณ ล่วงรู้ถึงอดีตได้ออกประกาศแก่ลูกศิษย์ของท่านว่าให้ทุกคนเรียก ครูบุญปั๋น ว่า “บุษบาร” ตามนิมิตที่พ่อเจ้าบุญวาทย์ฯมาปรากฏนี้”
เมื่ออ่านหนังสือโดยตลอดย่อมเข้าใจถึง น้ำเสียงที่ต้องการยืนยันอย่างหนักแน่นในฐานะ “ความเป็นเจ้า” ให้แก่ผู้วายชนม์ ซึ่งมิใช่เป็นเพียงเจ้านายธรรมดาแต่มีฐานะ “เจ้าหญิง” เป็นหนึ่งในธิดาของเจ้าผู้ครองนครลำปางคนสุดท้าย
เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาต่อไป แต่ในหน้าปกของหนังสือเล่มนี้ได้ให้ชื่อแก่ผู้วายชนม์อีกชื่อหนึ่งที่แทบไม่มีใครเรียกขานกันว่า “เจ้าบุษบาร ณ ลำปาง” เพื่อให้เกียรติถึงความเป็น “เจ้า” ในฉากสุดท้ายแห่งชีวิตของผู้วายชนม์
ไพโรจน์ ไชยเมืองชื่น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย