11 มิ.ย. 2021 เวลา 02:30 • ประวัติศาสตร์
“อาณาจักรโรมันโบราณ (Ancient Rome)”
ตั้งแต่เมื่อ 800 ปีก่อนคริสตกาล “อาณาจักรโรมันโบราณ (Ancient Rome)” ก็ได้เติบโตจากเมืองเล็กๆ ทางตอนกลางของอิตาลี ไปสู่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
ในช่วงที่รุ่งเรืองสุดขีด อาณาจักรแห่งนี้กินพื้นที่ไปเกือบจะทั่วยุโรป รวมไปถึงเอเชียตะวันตก แอฟริกาเหนือ รวมทั้งหมู่เกาะในเมดิเตอเรเนียน
ถึงแม้อาณาจักรนี้จะสูญสิ้นไปเป็นเวลานานแล้ว หากแต่อาณาจักรแห่งนี้ก็สร้างคุณูปการไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของภาษา ซึ่งอักษรโรมันก็ยังมีใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งปฏิทิน และการวิวัฒนาการของศาสนาคริสต์ ไปสู่การเป็นศาสนาที่แพร่หลายไปทั่วโลก
3
ภายหลังจากที่เป็นสาธารณรัฐมานานกว่า 450 ปี โรมก็ได้กลายเป็น “จักรวรรดิ (Empire)” โดยอยู่ภายใต้การปกครองของ “จักรพรรดิออกุสตุส (Augustus)” ซึ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิเมื่อ 27 ปีก่อนคริสตกาล สร้างความรุ่งเรืองให้โรม หรือ “จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire)” ก่อนจะสูญสิ้นความรุ่งเรืองในสมัยศตวรรษที่ 5
6
ตามตำนาน ได้เล่าว่ากรุงโรม ถูกก่อตั้งเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล โดยผู้ที่ก่อตั้งคือพี่น้องฝาแฝดที่ชื่อ “โรมุลัสและเรมัส (Romulus and Remus)”
โรมุลัสและเรมัสเป็นบุตรของ “มาร์ส (Mars)” เทพเจ้าแห่งสงคราม
1
โรมุลัสและเรมัส (ทารก)
สองพี่น้องถูกกษัตริย์ของเมืองๆ หนึ่งทอดทิ้งให้จมน้ำ หากแต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจนรอดมาได้ และสองพี่น้องก็ได้เติบโต และเมื่อ 753 ปีก่อนคริสตกาล ก็ได้ก่อตั้งเมืองของตนขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ
1
ต่อมา โรมุลัสได้ฆ่าเรมัส และขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งโรม และภายหลังจากรัชสมัยของโรมุลัส ก็มีกษัตริย์ขึ้นปกครองต่อมาอีกหลายองค์ ซึ่งกษัตริย์ที่ขึ้นปกครองหลังโรมุลัส ล้วนเป็นกษัตริย์ที่ถูกเลือกจากสภา
3
ระบอบกษัตริย์ในกรุงโรมสิ้นสุดลงเมื่อ 509 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อ “ลูเซียส ตาร์กวินิอุส ซุแปร์บุส (Lucius Tarquinius Superbus)” กษัตริย์องค์ที่เจ็ดแห่งกรุงโรมถูกโค่นล้ม
2
ลูเซียส ตาร์กวินิอุส ซุแปร์บุส (Lucius Tarquinius Superbus)
ตามตำนานนั้น เล่าว่าพระราชโอรสของกษัตริย์ลูเซียส ได้ทำการข่มขืนหญิงผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของประชาชน ทำให้ประชาชนไม่พอใจและลุกฮือขึ้นต่อต้าน
1
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร ระบอบกษัตริย์ในกรุงโรมก็ได้ล่มสลาย และเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
คำว่า “Republic” ซึ่งแปลว่า “สาธารณรัฐ” มีรากศัพท์มาจากประโยค “Res Publica” แปลว่า “สมบัติของประชาชน”
4
กรุงโรมได้ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ “เนินเขาทั้งเจ็ดแห่งกรุงโรม (Seven hills of Rome)”
4
เนินเขาทั้งเจ็ดแห่งกรุงโรม (Seven hills of Rome)
ภายหลังสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ อำนาจก็ถูกส่งต่อไปยังกลุ่มเจ้าพนักงานปกครองซึ่งได้รับเลือก เรียกว่า “กงสุล (Consul)” ซึ่งกงสุลนี้ควบตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกอีกด้วย
เจ้าพนักงานปกครอง ถึงแม้จะได้รับเลือกมาจากประชาชน หากแต่ส่วนมากก็คือกลุ่มคนในสภา ซึ่งถูกครอบงำโดยกลุ่มขุนนาง หรือกลุ่ม “ผู้ดีเก่า” ซึ่งเป็นลูกหลานของสมาชิกสภาสูงในสมัยโรมุลัส
2
การเมืองในสาธารณรัฐยุคแรกๆ หลักๆ จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มผู้ดีเก่ากับสามัญชน หรือ “ไพร่”
เมื่อ 450 ปีก่อนคริสตกาล ประมวลกฎหมายโรมันฉบับแรกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นการจารึกลงบนศิลาที่ทำจากสัมฤทธิ์ และจัดแสดงยังลานกว้าง
2
กฎหมายนี้คือ “กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Twelve Tables)”
กฎหมายสิบสองโต๊ะ จะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ ทางกฎหมาย สิทธิมนุษยชน สิทธิในทรัพย์สิน และเป็นรากฐานสำหรับกฎหมายโรมันในอนาคต
1
ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองในกรุงโรมนั้นอยู่ที่ “สภาสูง (Senate)”
ในเวลานั้น สภาสูงประกอบด้วยเหล่าขุนนางซึ่งเป็นผู้ดีเก่า และสามัญชนที่มีฐานะร่ำรวย
3
ในช่วงแรกๆ ของสาธารณรัฐ จักรวรรดิโรมันก็ได้เติบโตทั้งขนาดของดินแดนและอำนาจ และถึงแม้พวก “กอล (Gaul)” ซึ่งเป็นดินแดนแถบยุโรปตะวันตก จะได้ทำการเผากรุงโรมเมื่อ 390 ปีก่อนคริสตกาล แต่จักรวรรดิโรมันก็กลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง และเมื่อ 264 ปีก่อนคริสตกาล จักรวรรดิโรมันก็ได้ขยายอำนาจเข้าไปครอบคลุมคาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด
3
จากนั้น โรมก็ต้องเผชิญกับภาวะสงคราม ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ “สงครามพิวนิก (Punic Wars)”
3
สงครามพิวนิก เป็นการสู้รบระหว่างกรุงโรมกับพวกคาร์เธจ (Carthage) ซึ่งเป็นนครรัฐที่ทรงอำนาจในแถบแอฟริกาเหนือ
1
สงครามพิวนิก (Punic Wars)
การสู้รบในสงครามพิวนิกสองครั้งแรก จบลงด้วยการที่โรมเข้าควบคุมเมืองซิซิลี ฝั่งตะวันตกของเมดิเตอเรเนียน และดินแดนในสเปนอีกเป็นจำนวนมาก
ในสงครามพิวนิกครั้งที่สาม กองทัพโรมันได้ทำการทำลายเมืองของพวกคาร์เธจ อีกทั้งยังจับชาวเมืองคาร์เธจเป็นเชลย และนำไปขายเป็นทาส และเข้าผนวกเขตแดนของแอฟริกาเหนือเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน
นอกจากชัยชนะในสงครามพิวนิก จักรวรรดิโรมันยังขยายอำนาจไปยังตะวันออก สามารถพิชิตกษัตริย์แห่งมาซิโดเนีย และยึดครองดินแดนที่พิชิตเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโรมัน
2
ชัยชนะในการสงครามของจักรวรรดิโรมัน ทำให้วัฒนธรรมของอาณาจักรเติบโตและแผ่ขยาย
3
ชาวโรมก็ได้รับวัฒนธรรมจากกรีก โดยวรรณกรรมของโรมันชิ้นแรก ปรากฎขึ้นในราว 240 ปีก่อนคริสตกาล โดยแปลจากภาษากรีกเป็นภาษาละติน และชาวโรมันยังรับศิลปะ ปรัชญา และศาสนาของกรีกอีกด้วย
1
ต่อมา สถาบันทางการเมืองของโรมเริ่มจะสั่นคลอน ท่ามกลางจักรวรรดิที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หากแต่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน และความรุนแรงต่างๆ ในจักรวรรดิ
2
ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนก็กว้างมาก เจ้าของที่ดินที่มั่งคั่ง จะไล่ชาวนาที่ยากจนออกจากที่ดินของตน นอกจากนั้น การเข้าถึงรัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีเฉพาะบุคคลชั้นสูงเท่านั้นจึงจะเข้าถึงรัฐบาลได้
1
ปัญหาทางสังคมเหล่านี้เป็นที่ถกเถียงและกังวลของหลายฝ่าย และก็มีความพยายามที่จะปฏิรูป หากแต่ก็จบลงด้วยความรุนแรงและการสูญเสียเลือดเนื้อ
1
“ไกอุส มาริอุส (Gaius Marius)” เป็นสามัญชนที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจในกองทัพ และสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงสุลเมื่อ 107 ปีก่อนคริสตกาล
มาริอุส เป็นขุนศึกคนแรกๆ ที่มีอำนาจครอบงำกรุงโรมในช่วงท้ายๆ ของสาธารณรัฐ
5
ไกอุส มาริอุส (Gaius Marius)
ในช่วง 91 ปีก่อนคริสตกาล มาริอุสก็ตกที่นั่งลำบาก เขาถูกกดดันและโจมตีจากศัตรู นั่นคือ “ซุลลา (Sulla)” ซึ่งเป็นแม่ทัพ ผู้ขึ้นเป็นเผด็จการเมื่อราว 82 ปีก่อนคริสตกาล
1
ต่อมา เมื่อซุลลาเกษียณอายุ หนึ่งในผู้สนับสนุนซุลลา นั่นก็คือ “ปอมเปย์ (Pompey)” ก็ได้ดำรงตำแหน่งกงสุล ก่อนจะนำทัพพิชิตโจรสลัดและได้ชัยชนะในศึกอื่นๆ
ซุลลา (Sulla)
ปอมเปย์ (Pompey)
เมื่อปอมเปย์กลับถึงกรุงโรม เขาก็ได้ผูกมิตรกับ “มาร์กุส ลิกินิอุส ครัสซุส (Marcus Licinius Crassus)” นักการเมืองผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง รวมทั้งอีกหนึ่งดาวรุ่งในวงการการเมืองของจักรวรรดิโรมัน นั่นก็คือ “จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar)”
จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar)
ภายหลังประสบกับชัยชนะในสเปน ซีซาร์ก็เดินทางกลับโรมเพื่อลงแข่งขัน ชิงตำแหน่งกงสุลเมื่อ 59 ปีก่อนคริสตกาล
1
ด้วยความที่เป็นพันธมิตรกับปอมเปย์และครัสซุส ทำให้ซีซาร์ได้เป็นข้าหลวง ปกครองหัวเมืองจำนวนสามหัวเมืองในกอล จากนั้น ซีซาร์ก็วางแผนจะเข้ายึดครองเขตแดนทั้งหมด ให้อยู่ใต้การปกครองของโรมัน
1
ภายหลังจากที่ภรรยาของปอมเปย์ ซึ่งเป็นลูกสาวของซีซาร์ ได้เสียชีวิตลงเมื่อ 54 ปีก่อนคริสตกาล และครัสซุสก็ถูกฆ่าในสงครามในปีต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างซีซาร์และปอมเปย์ก็ได้สิ้นสุดลง
53 ปีก่อนคริสตกาล ปอมเปย์ได้ก้าวขึ้นเป็นกงสุลแต่เพียงผู้เดียว
ในเวลานั้น ซีซาร์กำลังรุ่งเรืองและมั่งคั่ง เนื่องจากชัยชนะในสงคราม และชื่อเสียงของซีซาร์ ก็เริ่มจะทำให้ปอมเปย์หมั่นใส้ เขาจึงจับมือเป็นพันธมิตรกับบุคคลในสภาสูง วางแผนทำลายซีซาร์
2
เมื่อ 49 ปีก่อนคริสตกาล ซีซาร์และกองทหารโรมัน ก็ได้ข้ามแม่น้ำรูบิคอน ซึ่งตั้งอยู่ในชายแดนระหว่างอิตาลีและกิล และการเข้ารุกรานอิตาลี ก็กลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง และทำให้ซีซาร์กลายเป็นเผด็จการตลอดชีพในเวลาต่อมา
ต่อมา ซีซาร์ได้ถูกกลุ่มศัตรูสังหาร และเกิดการแย่งอำนาจกันต่อ
การแย่งอำนาจทำให้เกิดสงคราม และจบลงด้วยความตายของ “คลีโอพัตรา (Cleopatra)” ราชินีผู้โด่งดังแห่งอียิปต์
1
29 ปีก่อนคริสตกาล “ออคเทเวียน (Octavion)” ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติและเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจากซีซาร์ ก็ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองกรุงโรมและดินแดนในอำนาจ
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการก่อกบฏ ออคเทเวียนได้หาทางทำให้ประชาชนยอมรับตนในฐานะของผู้ปกครอง โดยการแสดงความพยายามที่จะกอบกู้อำนาจของสถาบันการปกครอง ทำเพื่อประชาชน แต่ในขณะเดียวกัน ก็หาทางผ่องถ่ายอำนาจที่แท้จริงไว้กับตนเอง
2
27 ปีก่อนคริสตกาล ออคเทเวียนได้ขึ้นเป็น “จักรพรรดิออกุสตุส (Augustus)” จักพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิออกุสตุส (Augustus)
จากนั้น จักรวรรดิโรมันภายใต้การปกครองของกษัตริย์แต่ละพระองค์ ก็มีทั้งช่วงเวลาที่รุ่งเรือง และความวุ่นวายภายใน ก่อนที่จักรวรรดิจะถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตก ถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม
อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) ก็ได้พยายามรักษาอาณาจักรที่เหลือ จนถึงการล่มสลายแท้จริง เมื่อเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมันในปีค.ศ.1453 (พ.ศ.1996)
1
การเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล
นี่ก็คือประวัติคร่าวๆ ของโรมันโบราณ ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นอดีตอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญมากแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์
3
โฆษณา