Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หัวข้อประวัติศาสตร์
•
ติดตาม
11 มิ.ย. 2021 เวลา 01:14 • ประวัติศาสตร์
เหตุใดสยามจึงยกเลิกการส่งบรรณาการไปยังจีน
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้เราต้องท้าวความถึงในอดีตก่อน สยามหรือไทยในสมัยนั้นมีความสัมพันธ์กับจีนเป็นเวลานานมาก โดยเรานั้นมีความสัมพันธ์กับจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์พระร่วงของราชอาณาจักรสุโขทัย โดยในยุคนั้นจีนยังอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวน (元朝) ซึ่งเป็นราชวงศ์ของมองโกล สาเหตุที่ทางเราต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายจีนนั้น เพราะจีนถือว่ารัฐของตนเป็นมัชฌิมรัฐ (中國) เป็นอาณาจักรกลางหรือจงกั๋ว กล่าวคือด้วยความที่จีนนั้นอยู่มาเป็นเวลายาวนานเเละผู้คนก็มักจะไม่ได้ออกไปภายนอก ด้วยเหตุนี้ชาวจีนส่วนใหญ่จึงถือว่าตนนั้นเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นเเก่นอารยธรรมของโลก นอกนั้นเป็นดินแดนป่าเถื่อนเเละไม่มีความเป็นอารยะ เเละรัฐทั้งหลายล้วนอ่อนน้อมต่อจีนซึ่งการกระทำเเบบนี้ ทางจีนถือว่ารัฐเหล่านี้เป็นประเทศราชของตนเเล้ว เเม้ว่ารัฐที่ส่งบรรณาการให้จีนจะไม่ได้มองเเบบนั้น นอกจากนี้การถวายเครื่องราชบรรณาการไปเเต่ละครั้งทางราชสำนักสยามได้กำไรเป็นอย่างมาก ประกอบกับด้วยความที่สยามเป็นรัฐห่างไกลจึงมักจะปราศจากการเเทรกเเซงจากจักรวรรดิจีน อย่างมากก็อาจจะตักเตือน ส่วนทางจักรพรรดิจีนได้พระราชลัญจกรโลโต (รูปอูฐหมอบ) เเก่กษัตริย์สยามในฐานะประเทศราช เเละมีการนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีนเป็นประจำ จนถึงสมัยราชวงศ์ชิง (清朝) หรือเรียกอีกอย่างว่าราชวงศ์เเมนจูได้ปกครองเเผ่นดินจีนเป็นราชวงศ์สุดท้าย ทางเราเองก็ได้ส่งบรรณาการไปถวายอยู่เนืองนิจ ซึ่งอาจจะสะดุดไปบ้างในเป็นบางช่วงเเละช่วงต้นรัชกาลของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เเต่ในช่วงหลังๆ จีนก็เริ่มให้การยอมรับในกษัตริย์พระองค์ใหม่พระองค์นี้มากขึ้น จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก็ไม่มีปัญหาเพราะในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงอ้างพระองค์ว่าเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งทำให้ราชสำนักจีนยอมรับในพระราชสถานะของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยพระราชสาส์นฉบับแรกของพระองค์ที่ส่งไปเมืองจีนใน พ.ศ. 2325 ระบุไว้ชัดเจนว่าพระองค์เป็น ‘พระราชโอรส’ ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เพราะกว่าจีนจะยอมรับพระราชสถานะของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นใช้เวลานาน เมื่อสิ้นราชวงศ์ธนบุรีไปเเล้วก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์อีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จีนจะยอมรับได้เเละคงใช้เวลานาน เพราะฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจึงไม่ได้ทรงอ้างว่าเป็นพระราชวงศ์ใหม่ โดยทางจีนเรียกพระนามของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถึงรัชกาลที่ 4 ในการติดต่อดังนี้
- สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - เจิ้งซิ่น (鄭镛)
- รัชกาลที่ 1 - เจิ้งฮว๋า (鄭華)
- รัชกาลที่ 2 - เจิ้งโฝ (鄭佛)
- รัชกาลที่ 3 - เจิ้งฝู (鄭福)
- รัชกาลที่ 4 - เจิ้งหมิง (鄭明)
เมื่อมาถึงในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเริ่มที่จะยอมรับอำนาจของชาติตะวันตกเป็นหลัก ไม่ได้มองว่าจีนเป็นประเทศมหาอำนาจเหมือนในช่วงรัชกาลก่อนๆ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 3 อีกต่อไป โดยที่ในช่วงนั้นเป็นยุคตกต่ำของราชวงศ์ชิงเเต่เป็นยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิบริติช (British Empire) หรือสหราชอาณาจักร ซึ่งทางราชสำนักสยามส่งราชทูตไปจีนครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2396 หลังจากจบสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 พอดี
ซึ่งในประกาศเรื่องราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรี จากหนังสือประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาคปกิรณกะ ส่วนที่ ๑ อันเป็นการรวมประกาศสมัยรัชกาลที่ 4 กล่าวถึงตอนที่ทรงเจริญพระราชไมตรีว่า
"...เดิมแต่ก่อนนั้นพระเจ้าแผ่นดินฝ่ายสยามกับพระเจ้าแผ่นดินจีนก็ยังไม่ได้รู้จักเปนทางไมตรีฤๅทางค้าขายนั้นก็เปล่า อนึ่งในเวลาล่วงไปก่อนนั้นหลายร้อยปีมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินไทยในเวลาก่อนนั้นโง่งมนัก ปราศจากวิริยะปัญญาไม่รู้การอะไรๆ ไกลๆ ในต่างประเทศบ้างเลย ครั้งหนึ่งพวกจีนเมืองกวางตุ้งเข้ามาค้าขายในประเทศญวน แล้วก็เลยแวะเข้ามาขายของที่ประเทศไทย ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโง่ เสนาบดีเซอะ ราษฎรโซ ชวนกันยินดีซื้อสินค้าของจีนในสำเภานั้นไว้ใช้สรอยชมเชย จีนหลอกขายได้แพงมีกำไรมาก
...แลธรรมเนียมจีน พระเจ้าแผ่นดินจีนก็ทรงพระราชสาส์นด้วยพระองค์เอง ลิปูตาทั่งแลต๋งตกก็อ่านหนังสือเอง จะได้ให้ล่ามแปลก็หามิได้ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินไทยในเวลานั้นหลงไหล เชื่อคำพวกจีนเหล่านั้นกราบทูลหลอกลวงต่างๆ ช่างโง่เง่าทั้งพระเจ้าแผ่นดินแลเสนาบดี...ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินไทยในเวลาล่วงแล้วนั้น ไม่มีความกระด้างกระเดื่องว่าพวกจีนล่อลวงให้เสียยศ จีนสั่งให้ไปก้องเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น ถูกลวงทั้งก้องทั้งซิ่ว ไม่มีอายขายหน้า โง่งมงายตลอดลงมาหลายชั่วอายุคน...
...ความโง่เป็นไปทั้งนี้ ต้นเหตุใหญ่เพราะว่าหนังสือจีนรู้โดยยากที่สุด ไม่เหมือนหนังสือไทยแลหนังสือต่างประเทศทั้งหลายพอจะรู้ได้บ้าง ก็ไทยแท้มิใช่บุตรจีนรู้หนังสือจีนก็ไม่มี ก็เมื่องมงายโง่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว...
…พระเจ้าแผ่นดินไทยทั้งหลายในเวลาก่อนนั้น แลเสนาบดีไทยก็โง่งมมาด้วยหลายชั่วแผ่นดินนั้น เพราะความมักง่าย ครั้นทูตเก่าแลล่ามเก่าตายไปหมดแล้ว ได้ยินว่าคราวหนึ่งมีล่ามจีนเป็นคนซื่อแปลความตามฉบับหนังสือจีนที่จริงแจ้งความจริงให้ท่านเสนาบดีไทยในเวลาที่ล่วงแล้วเป็นลำดับมานั้นให้รู้แท้แน่ว่า จีนกวางตุ้งดูหมิ่นดูแคลนมีหนังสือมาสั่งให้ไปก้อง คือให้ไปอ่อนน้อม…”
จากข้อความนี้ (ซึ่งผู้เขียนคัดลอกเฉพาะเนื้อหาสำคัญเพราะยาวมาก หากประสงค์จะอ่านฉบับเต็มสามารถอ่านได้จากประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาคปกิรณกะ ส่วนที่ ๑ ตอน ประกาศเรื่องราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรี) เเสดงให้เห็นว่าเพราะความไม่รู้เป็นเหตุ เเละมีความโลภมากของพระเจ้าเเผ่นดินด้วยดังที่มีการบันทึกไว้ (จากตอนเดียวกัน) มีการกล่าวว่า
"...อนึ่งพวกจีนที่เข้ามาค้าขายในเมืองไทยนั้น มาทางทะเลเปนทางกันดารนัก ไปมาด้วยยากเสี่ยงบุญเสี่ยงกรรม เพราะเหตุดังนี้ไทยจึงสำคัญรู้ ไม่รังเกียจว่าจีนเปนศัตรูได้ ครั้นพวกจีนทั้งหลายบางคนทำมาหากินจนมั่งมีเงินทองขึ้นมากแล้ว จึงลงทุนต่อสำเภา บรรทุกสินค้าต่างๆ ในเมืองไทยไปขายเมืองจีนได้กำไรโดยมากที่สุด จึงเลือกซื้อสิ่งของที่ประหลาดๆ ต่างๆ ในเมืองกวางตุ้ง เลือกเอาแต่ที่ดีๆ เข้ามาเปนของถวายพระเจ้าแผ่นดินสยาม แล้วกราบทูลสรรเสริญฝีมือช่างต่างๆ ในเมืองกวางตุ้งด้วย ขณะนั้นพระเจ้าแผ่นดินไทยได้รับของถวายแลเสนาบดีไทยได้รับกำนัลของพวกจีนนั้นๆ ก็มีความยินดีโสมนัสมากเพราะหลงโลภ ในเวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินไทยมีพระราชประสงค์จะแต่งสำเภาหลวงไปค้าขายที่เมืองจีนบ้าง เพื่อจะเก็บเลือกสรรจัดซื้อสิ่งของที่ประหลาดมาใช้ในเมืองไทยบ้าง..."
ทำให้ราชสำนักสยามยอมถวายเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักจีนตลอด ซึ่งการกระทำเเบบนี้ทางจีนมองว่าเรานั้นเป็นรัฐประเทศราชเเละอาจเป็นการเสียเกียรติต่อราชสำนักสยามที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ด้วย ทางผู้เขียนเองได้ไปเห็นข้อความๆ หนึ่งจากหนังสือพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓ ฉะบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ มีการกล่าวถึงราชทูตไทยไปจีนในช่วงปี พ.ศ. 2368 หรือช่วงต้นรัชกาลที่ 3 ว่า
"....ครั้นถึงวันเสาร์เดือน ๘ อุตราสาธ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีระกาสัปตศก ศักราช ๑๑๘๗[๑] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าตั้งแต่เถลิงถวัลยราชสมบัติ ยังหาได้แต่งทูตออกกไปจิ้มก้องเชิญหองกรุงปักกิ่งไม่ จึ่งให้แต่งทูตานุทูตเชิญพระราชสาสน์เครื่องราชบรรณาการตามธรรมเนียม[๒]"
ซึ่งมีการอธิบายความหมายของ [๒] ที่เขียนเอาไว้ว่า
"[๒] น่าประหลาดที่ท่านผู้แต่งเขียนเป็นทำนองว่าเราเป็นเมืองขึ้นของจีน แต่ความจริงเป็นการเจริญราชไมตรีอย่างเดียวกับที่มีพระราชสาสน์ไปทางญวน ตามที่เราได้อ่านมาแล้ว"
จากข้อความดังกล่าวทำให้เห็นว่าราชสำนักไทยมีความอ่อนน้อมต่อราชสำนักจีนอยู่พอสมควร เเต่ถึงอย่างนั้นไทยเราหรือสยามก็ไม่เคยนับว่าตนนั้นเป็นเมืองขึ้นของจีน
เเละสาเหตุที่เรายกเลิกการส่งเครื่องราชบรรณาการไปจีนนั้นเนื่องจากมีการเเปลงความหมายในสารด้วยเช่นกัน โดยเข้าใจว่าผู้เเปลเป็นคนจีนจึงมีการสรรเสริญจักรพรรดิจีนเป็นอย่างมาก โดยทางผู้เขียนเองได้ค้นหาข้อมูลนี้ในกระทู้พันทิปเก่าๆ เเละเจอคำตอบของคุณศรีสรรเพชญ์ ซึ่งอธิบายได้ดีพอสมควร ส่วนเนื้อหาการสรรเสริญจักรพรรดิจีนนั้นสังเกตได้จากพระราชสาส์นที่ส่งส่งไปในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความว่า
"...สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาผู้ใหญ่ ขอถวายคำนับทูลพระเจ้ากรุงต้าฉิ้ง(ฮ่องเต้ต้าชิง)พระองค์ใหม่ซึ่งขึ้นดำรงโลก อานุภาพแผ่ไพศาลประหนึ่งพระอาทิตย์ส่องอยู่กลางอากาศ ต่างประเทศทั้งสี่ทิศก็สยดสยองขอพึ่งบุญบารมี ข้อความที่ได้สั่งสอนหมื่นประเทศก็ขอบคุณ
ข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าประเทศขอขอบคุณเมืองฟ้า(จีน) ประหนึ่งน้ำที่ประพรมระลึกอยู่ในใจเสมอทุกเวลามิได้ขาด...ข้าพเจ้าผู้น้อยนบนอบฟ้า ขอเดชานุภาพเป็นที่พึ่งด้วย…" (ข้อความพระราชสาส์นนี้คัดลอกมาจาก...อ่านเพิ่มเติม : ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เราจิ้มก้องกับจีนครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่ครับ -
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/06/K10713574/K10713574.html
)
หรือไม่ก็ในประกาศราชทูตไปเจริญพระราชไมตรี ซึ่งทรงเห็นว่าชาวจีนเเปลงเนื้อหาพระราชสาส์นให้ราชสำนักสยาม "ขออ่อนน้อมยอมตัวถวาย เปนข้าขอบขัณธเสมาอาณาจักรของพระเจ้ากรุงปักกิ่ง" จนทรงมีประกาศเรื่องราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีก็มีการกล่าวว่า
"...ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินไทยในเวลานั้นหลงไหล เชื่อคำพวกจีนเหล่านั้นกราบทูลหลอกลวงต่างๆ ช่างโง่เง่าทั้งพระเจ้าแผ่นดินแลเสนาบดี จึงยอมให้จีนพวกเหล่านั้น แต่งพระราชสาส์นเปนหนังสือจีน แต่ว่ารับสั่งว่าให้ล่ามจีนพวกนั้นแต่งตามฉบับสำเนาความในพระราชสาส์นซึ่งเปนอักษรไทยแลความไทย ฝ่ายพวกจีนทั้งนั้นก็แต่งย้ายเสียใหม่ตามชอบใจของตัว ไม่ให้ไทยทราบด้วย ครั้นแต่งเปนหนังสือจีน ก็กลับความเสียอย่างอื่น เขียนใจความว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยลุกขึ้นยืนกุ๋ยไปถึงพระเจ้าแผ่นดินกรุงปักกิ่ง ขออ่อนน้อมยอมตัวถวาย เปนข้าขอบขัณธเสมาอาณาจักรของพระเจ้ากรุงปักกิ่ง แลขอถวายเมืองเปนเมืองก้อง ๓ ปีครั้งหนึ่ง พอพึ่งพระบารมีพระเจ้ากรุงปักกิ่งซึ่งเปนเอกอุดมยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งปวงทั่วโลก จะขอให้พระเจ้ากรุงปักกิ่งทรงพระมหากรุณาอนุญาตให้สำเภาของพระเจ้าแผ่นดินไทยได้ไปมาค้าขายที่เมืองจีน เหมือนได้โปรดให้ซื้อสิ่งของบนสวรรค์มาใช้ในเมืองไทยไกลทะเลกันดารนั้นเถิด"
อีกข้อความตอนหนึ่งก็มีการกล่าวว่า
"ข้อความในพระราชสาส์นดังนี้ ไทยได้ทราบต่อภายหลังล่วงกาลนานมากว่า ๒๐๐ ปีเศษ คำว่ากุ๋ยนั้นแปลว่าถวายบังคมฤๅคำนับ คำว่าก้องนั้นแปลว่า ขึ้นเปนเมืองขึ้นในบังคับ...พระเจ้ากรุงปักกิ่งก็เสด็จออกรับพระราชสาส์นแลทูตไทย รับเมืองไทยเปนเมืองก้อง คือรับอย่างหัวเมืองขึ้น พระเจ้ากรุงปักกิ่งพระราชทานหองตั้งพระเจ้าแผ่นดินไทยเปนเมืองก้องจีนมา คือตั้งเมืองไทยเปนเมืองขึ้นแก่กรุงปักกิ่ง คำว่าหองนั้นเปรียบเหมือนว่าสัญญาบัตร์ตั้งหัวเมืองทั้งหลาย"
ซึ่งนี่เองก็ถือว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัชกาลที่ 4 ยกเลิกการส่งบรรณาการไปยังจีน เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ปฏิเสธการทวงเครื่องราชบรรณาการจากจีน เป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจในการที่สยามยอมรับอำนาจชาติตะวันตกมากขึ้น เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่มีอธิปไตยเป็นของตนควรจะมีความเท่าเทียมกันระหว่างรัฐต่อรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดว่ามันมีความเท่าเทียมกันหรือไม่เเละใครกันที่ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้?
รายการอ้างอิงเเละข้อมูลเพิ่มเติม
พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓ ฉะบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์
พิมพ์แจกเปนที่ระลึก ในงานพระราชทานเพลิงศพ ท่านผู้หญิงวงษานุประพัทธ์ (ตาด สนิทวงศ์ ณอยุธยา)
วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑, ณเมรุวัดเทพศิรินทราวาส;
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาคปกิรณกะ ส่วนที่ ๑ สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้า พระบรมราชเทวี โปรดให้พิมพ์ในงารพระราชทานเพลิงศพ ท้าวทรงกันดาน (เจ้าจอมมารดา หุ่น รัชกาลที่ ๔); เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๖๗; พิมพ์ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
กรุงศรีอยุธยา กับกรุงจีน มีความสัมพันธ์กันในสถานะแบบไหนครับ -
https://pantip.com/topic/39206791
?
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เราจิ้มก้องกับจีนครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่ครับ -
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/06/K10713574/K10713574.html
2
“จีนสั่งให้ไปก้องเมื่อไรก็ไป..ไม่มีอายขายหน้า โง่งมงายตลอด” พระบรมราชวินิจฉัยในร.4 -
https://www.silpa-mag.com/quotes-in-history/article_6211
2 บันทึก
1
3
2
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย