ผมตะลุยอ่านจบภายในสองวัน นี่คือไบเบิลเกี่ยวกับการขายปลีกหนังสือที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่าน หนังสือถูกเขียนขึ้นจากประสบการณ์จริงของ Tim Waterstone ในการเปิดร้านหนังสือ ที่สำคัญสิ่งที่ Tim บอกในหนังสือมันสวนทางกับตำรา MBA เหลือเกิน
.
ในค้าปลีกทั่วไปเรามักจะคิดสูตรเรื่อง Stock Turns per Sq.m. การรักษาสัดส่วนรายได้ต่อการลงทุนต่อตารางเมตรเป็น KPI และเป็น Measurement Matrix อันเป็นหัวข้อสำคัญของคนทำค้าปลีกอย่างมาก
.
แต่ Tim Waterstone บอกง่ายๆว่า “ตราบใดที่ต้นทุนอย่างค่าเช่า เงินเดือนพนักงานต่อตารางเมตรคงที่ จะไปแคร์ทำไม ใส่หนังสือให้เข้าไปต่อตารางเมตรให้เยอะที่สุด เมื่อสต็อคเยอะมันจะผกผันกลับมาเป็นรายได้เอง แต่นั่นต้องเป็นสต็อคที่มีคุณภาพด้วยนะ เรื่องหารายได้เป็นเรื่องยากที่สุดแล้ว นอกเหนือจากนั้นพอมีเงินหมุนเข้ามา อะไรก็จัดการได้ง่าย อย่าไปกดสต็อคเพื่อหลอกตัวเองว่า Performance ดี ตราบใดที่ไม่มีรายได้ ก็จบกัน” นั่นสิผมเองก็ไม่เคยเห็นใครเติบโตจากการลดค่าใช้จ่าย แต่ประโยคที่ว่า “เพิ่มยอดขาย ลดค่าใช้จ่าย” ดูจะเป็นเพียงท่องให้ดูเป็นผู้เอาใจใส่บริษัทเท่านั้น
.
Tim Waterstone ยังเชื่อว่าไม่มี One Size Fit All ในธุรกิจค้าปลีกหนังสือ เขาเชื่อว่า Waterstones ที่ลอนดอนจะมีกลุ่มลูกค้าและหนังสือที่ขายได้ไม่เหมือนไปทั้งหมดกับ Waterstones ที่เมืองอื่นๆ กระทั่ง Waterstonses ที่ High Street Kensington ก็จะขายหนังสือไม่เหมือนกับ Waterstones ที่ Oxford Street แน่ ดังนั้นคนที่รู้ดีที่สุดคือพนักงานที่สาขา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี Empowerment ให้พวกเขามีส่วนในการคัดหนังสือเข้าร้านเพราะนั่นคือความรับผิดชอบของพวกเขาเองทั้งส่วนของรายได้ และสต็อค ถ้าหนังสือดีมีจำนวนที่เหมาะสม ไม่มากไป ไม่น้อยไป รายได้ก็จะดี Stock Turn ก็จะหมุนเร็ว แต่ตัวเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องสต็อคมากนัก เพราะถ้าขายดีแต่หนังสือขาดก็ไร้ประโยชน์
.
ลักษณะการบริหารจัดการของ Tim เป็นหลักของ Independent Bookstore ไม่ใช่ Chain ที่บริหารจัดการทุกอย่างจากสำนักงานใหญ่ เหมือนใส่สูทนั่งในห้องแอร์เพื่อแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร เรื่องการจัดการแบบ Independent Bookstore นี่เองยังยึดถือเป็นหัวใจของ Waterstones มาจนทุกวันนี้ และพวกเขาก็ยังเรียกตัวเองว่าร้านหนังสืออิสระแม้ว่าจะมีจำนวนสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศก็ตาม
.
ข้อนี้ผมเห็นด้วย สังเกตตัวเองสิครับทำไมเรามักบอกว่า “ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้ที่ไหน มาเจอที่นี่” จริงๆหนังสือเล่มเดียวกันมีอยู่เกือบทุกที่แหละครับ แต่บุคลิกของร้านต่างหากที่ร้านหนังสืออิสระจะรู้ว่าเราขายอะไรได้ พื้นที่ๆไม่มากนัก และเงื่อนไขจึงทำให้จำต้องคัดหนังสือจากความชอบของตัวเอง และหนังสือที่คิดว่ากลุ่มลูกค้าของร้านจะชอบ เหมือนการกรองมาก่อนรอบหนึ่ง เพราะที่ร้านหนังสืออิสระอย่างหนึ่งที่ผมเชื่อคือเราไม่ได้คิด Performance จาก Stock Turn หรือการหมุนรอบของสต็อคต่อยอดขาย เราคิดง่ายๆคือเอารายได้ลบด้วยค่าใช้จ่าย ที่เหลือคือกำไรหรือขาดทุน ร้านหนังสืออิสระจึงมักมีโน้นนิดนี่หน่อยวางเป็นกับดักไปตลอดทาง ยากที่จะเห็นทางเดินแบบโปร่ง โล่ง สบาย