Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
justwannatellu
•
ติดตาม
19 มิ.ย. 2021 เวลา 16:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สวัสดี Pride Month ครับทุกคน วันนี้เราจะมาแนะนำหนังดีๆ สักเรื่องที่เหมาะเสียเหลือเกินกับเดือนนี้
Love, Simon (2018)
everyone deserves the great love story
หนังที่เล่าเรื่องแสนธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไปในชีวิตของคนธรรมดา ชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งชื่อ -ไซม่อน- ใช้ช่วงชีวิตมัธยมปลายไปกับการเรียน กอดคอปาร์ตี้กับเพื่อน ครอบครัวอันแสนอบอุ่น และการตามหาความรัก หนังเล่าเรื่องอย่างเรียบง่าย ทุกสถานการณ์เป็นไปได้และเกิดขึ้นได้จริง เราในฐานะคนดูจึงจินตนาการร่วมไปกับตัวละครหลักด้วยได้ไม่ยากนัก
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด คือ ความมั่นใจของไซม่อนที่รู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่เป็นความมั่นใจภายใต้การปิดบังซ้อนเร้นจากสังคมภายนอกไม่ให้รับรู้ จนนำมาสู่การถูกกลั่นแกล้งจากคนรอบข้าง โดยบีบบังคับให้ไซ่ม่อนกระทำอะไรบางอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน จนเกิดการโกหก หลอกลวงที่นำไปสู่การทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อน จนท้ายที่สุดไซม่อนได้ใช้ความเป็นตัวเองจัดการกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้อย่างน่าประทับใจ
Love, simon เป็นหนังที่วางความสัมพันธ์ของตัวละครไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งบทบาทของครอบครัว เพื่อนฝูง ที่มีพัฒนาการไปพร้อม ๆ กับตัวเอกอย่างไซม่อน ทุกตัวละครมีบทบาทสำคัญต่อกันและกัน ปัญหาของการปกปิดตนเองของไซม่อนจากเพื่อนและครอบครัว นำไปสู่เรื่องราวทั้งหมดที่หนังพยายามจะเสนอ
หนังตั้งคำถามอย่างตลกร้าย กับระบบคิดทางเพศแบบ 2 ขั้ว (Binary) ที่มีเพียงชายและหญิง
"มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่เพศอื่น ๆ ต้องเผชิญกับความกระอักกระอ่วนในการป่าวประกาสและยืนยันเพศของตัวเองต่อสังคม ในขณะที่ชายหญิงทั่วไปไม่ต้อง"
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าความยากของเพศทางเลือก หากนึกไปไม่ถึง ลองจินตนาการถึงวันที่เราต้องเดินออกไปบอกใครสักคน หรือชาวโลกว่า "หนูชอบผู้ชายค่ะ" ว่า "ผมชอบผู้หญิงครับ" มันยากน่ะ ที่จะต้องมานั่งบอกความปกตินี้กับคนอื่น และหนังกำลังพยายามจะบอกเราในแบบนั้น
หากเราสามารถลบอคติออกไป จนนำตัวเองเข้าเป็นตัวละครหลักอย่างไซม่อนได้ เราจะปฏิเสธความกระอักกระอ่วนนี้ไม่ได้ ไม่ได้เลยจริง ๆ
จนกระทั่งหนังเล่าไปถึงจุดที่ไซม่อนต้องเปิดเผยตัวตนความเป็น -เกย์- ของตัวเอง ถ้าเป็นเพลงคงต้องบอกว่าถึงเวลาของท่อนฮุก คือ บทของตัวเอกที่พูดแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวผ่านความห่วงใยที่ต้องปล่อยให้ไซม่อนเผชิญความยากลำบากนี้เพียงลำพัง ผ่านคำขอโทษที่แสดงถึงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่ไม่สังเกตเห็น และกับเพื่อนที่พรากสิทธิในการเปิดเผยนี้ไปจากไซม่อน
(บทช่วงนี้ ทรงพลังและยังคงเป็นบทที่น่าจดจำมาตลอด 3 4 ปีที่ผ่าน)
ตามที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่าโลกมันไม่ยุติธรรม กว่าชั่วโมงครึ่งของหนังก่อนเรื่องราวจะคลี่คลาย เรากลับสัมผัสได้ถึงสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไซ่ม่อนอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราในฐานะคนนอก และคงไม่ใช่เลยสัดนิด เพราะเราไม่เคยรับรู้ถึงความยากลำบากของใครสักคนที่ต้องเผชิญมันมาอย่างโดดเดียว
ฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงให้มันเป็นสิทธิของเค้าคนนั้นในการเลือกที่จะบอก วิธีการ วันเวลา แม้แต่รูปแบบ และไซม่อนได้เลือกที่จะบอกทุกคนถึงตัวตนของเค้า เค้าเลือกที่จะทำด้วยตัวเองอีกครั้ง ตามสิทธิที่เค้าเชื่อว่ามันเป็นของเค้าตั้งแต่แรก
Love, Simon สะท้อนระบบคิดทางเพศแบบ 2 ขั้ว (Binary) ที่มีเพียงชายและหญิงอย่างตรงไปตรงมา ระบบคิดเช่นนี้กีกกัน ทำร้าย และลดทอนความสุขของเพื่อนมนุษย์ หากเราไม่สามารถลบฐานคิด 2 ขั้วออกไปได้ หากมีใครสักคนที่ต้องทุกข์เหมือนไซม่อน เรายังคงจะเพิกเฉยต่อมันต่อไปอีกหรือไม่ และเราจะอยู่กับมันอย่างไรกับสังคมแห่งความหลากหลายนี้ หากเรายังเชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวและคุณค่าของตัวเอง
สิ่งเดียวและสิ่งหลักสำคัญของหนังเรื่องนี้ คือ การสร้างความเข้าใจ ความเข้าใจที่ทำให้เราทุกคนรับรู้ถึงความจริงที่อยู่ในตัวใครสักคนในฐานะมนุษย์ ด้วยความให้เกียรติ เคารพซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม ที่งดงามและเรียบง่ายที่สุด
สุดท้ายนี้ Love, Simon น่าจะเป็นหนังที่เข้าไปตรวจสอบอคติทางเพศของคนดูได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง แนะนำครับ
ขอทุกคนให้มีความสุขกับความหลากหลาย #แค่อยากจะเล่าให้คุณฟัง
Facebook:
https://www.facebook.com/630987814212917/posts/836627416982288/
Pic: love, simon
อ้างอิง/หลักการ
Post Structural Feminism
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย