18 มิ.ย. 2021 เวลา 08:21 • หนังสือ
🌟โชติกเศรษฐี (ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง) ตอนที่ 2 : ภาพพุทธศิลป์ วัดพระธรรมกาย🌟
เมื่อคนทั้งหลายน้อยลงแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงได้เสด็จไปพร้อมด้วยข้าราชบริพาร และเมื่อไปถึงซุ้มประตูที่ 1 หญิงรับใช้ของท่านโชติกเศรษฐีได้ถวายการต้อนรับด้วยการถวายมือให้แด่พระราชาเพื่อนำพระองค์เสด็จเข้าไปภายใน แต่พระราชาทรงเกิดความละอายเพราะเข้าพระทัยว่า “เธอเป็นภรรยาของท่านเศรษฐี” พระองค์จึงไม่ได้วางพระหัตถ์ลงบนแขนของนาง
แม้ในประตูถัดๆ ไปก็ทรงเข้าพระทัยว่า “หญิงรับใช้เหล่านั้นเป็นภรรยาของท่านเศรษฐี” เช่นกัน พระองค์จึงไม่ได้ทรงวางพระหัตถ์ลงบนแขนของหญิงเหล่านั้นเลย
เมื่อมาถึงหน้าปราสาท ท่านโชติกเศรษฐีก็ได้ออกมาต้อนรับเชิญให้พระองค์เสด็จเข้าไปภายใน แต่พื้นปราสาทที่ประดับด้วยแก้วมณีได้ปรากฏเป็นเหมือนเหวลึก ทำให้พระราชาเกิดแคลงพระทัยว่า “โชติกเศรษฐีได้ขุดบ่อเอาไว้เพื่อล่อให้พระองค์ตกลงไป” พระองค์จึงทรงหยุดยืนและไม่เสด็จดำเนินต่อไป เมื่อท่านเศรษฐีเห็นเช่นนั้น..จึงได้กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ นี้ไม่ใช่บ่อ ขอพระองค์ได้เสด็จตามข้าพระองค์มาเถิด” แล้วท่านเศรษฐีก็ได้นำเสด็จด้วยตนเอง
ในครั้งนั้น..พระราชกุมารพระนามว่า “อชาติศัตรู” ก็ได้ตามเสด็จพระเจ้าพิมพิสารมาด้วย และเมื่อทรงเห็นสมบัติเหล่านั้นแล้วก็ทรงดำริว่า “โอ้..ทูลกระหม่อมของเราเป็นคนเขลาจริงหนอ แม้แต่คฤหบดียังได้อาศัยอยู่ในปราสาทที่สำเร็จแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ ส่วนพระบิดาของเราเป็นถึงพระราชา กลับประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรที่ทำด้วยไม้ เมื่อเราได้เป็นพระราชาแล้ว เราจะไม่ยอมให้คฤหบดีอยู่ในปราสาทหลังนี้ และเราจะยึดเอาปราสาทมาเป็นของเราเอง”
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จไปจนถึงชั้นบนของปราสาท..ก็เป็นเวลาเสวยพระกระยาหารเช้าพอดี ท่านโชติกเศรษฐีจึงได้ให้คนรับใช้ตระเตรียมพระกระยาหารไว้ถวายพระองค์ ในครั้งนั้น..คนรับใช้ของท่านเศรษฐีได้ตักข้าวปายาสเปียกใส่ลงในถาดทองคำซึ่งวางอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา พระราชาจึงทรงเริ่มที่จะเสวยด้วยทรงคิดว่าเป็นอาหาร เมื่อท่านเศรษฐีเห็นดังนั้นจึงทูลห้ามว่า “ข้าแต่สมมติเทพ นี้ไม่ใช่อาหาร นี้เป็นข้าวปายาสเปียกสำหรับให้ความร้อน พระเจ้าข้า”
จากนั้น..พวกบุรุษคนรับใช้ก็ได้ตักอาหารใส่ลงในภาชนะทองคำอีกใบหนึ่ง แล้ววางไว้บนถาดข้าวปายาสเปียกใบเดิม ท่านเศรษฐีก็ได้ทูลแนะนำการเสวยพระกระยาหารด้วยไออุ่นที่ฟุ้งขึ้นมาจากข้าวปายาสเปียกนั้น เมื่อพระราชาได้เสวยพระกระยาหารที่มีรสอร่อยแปลกใหม่..ก็ทรงเพลิดเพลินอยู่กับการเสวย จนท่านเศรษฐีต้องเข้ามากราบถวายบังคมทูลว่า “เพียงเท่านี้ก็พอแล้วพระเจ้าข้า พระองค์จะไม่สามารถย่อยอาหารที่เสวยมากกว่านี้ได้ เพราะหากเกิดความอึดอัดขึ้น ความเสื่อมเสียจะเกิดแก่ข้าพระองค์ได้”
หลังจากที่พระราชาเสวยกระยาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงทรงสนทนาและตรัสถามกับท่านเศรษฐีว่า “ภรรยาของท่านไม่มีหรือ” ท่านเศรษฐีก็ได้ทูลตอบว่า “มี พระเจ้าข้า” พระราชาได้ตรัสถามต่อว่า “แล้วนางอยู่ที่ไหนล่ะ” ท่านเศรษฐีก็ได้กราบทูลว่า “นางกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องอันมีสิริ และยังไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมา พระเจ้าข้า”
เมื่อท่านเศรษฐีเห็นว่า “พระราชาปรารถนาจะทอดพระเนตรภรรยาของตน” จึงเข้าไปในห้องของนางแล้วบอกว่า “พระราชาเสด็จมา ควรที่เธอจะไปเข้าเฝ้าพระองค์” นางก็ได้ถามกับท่านเศรษฐีว่า “นายท่าน พระราชานั้นเป็นอย่างไรหรือ” ท่านเศรษฐีจึงตอบว่า “คนที่เป็นใหญ่กว่าพวกเรา ชื่อว่าพระราชา”
เมื่อนางได้ทราบเช่นนั้นก็ได้กล่าวออกมาด้วยความไม่สบายใจว่า “ยังมีคนที่เป็นใหญ่กว่าเราอีกหรือ คงเป็นเพราะเราทำบุญเอาไว้ไม่ดีสินะ เราคงไม่ได้ทำบุญด้วยความศรัทธาเป็นแน่ สมบัติจึงเกิดขึ้นในที่ๆ มีคนอื่นเป็นใหญ่กว่า เราคงทำทานไปอย่างเสียไม่ได้ และนี่ก็คงเป็นผลของทานนั้น”
แล้วนางก็ได้ถามกับท่านเศรษฐีว่า “นายท่าน บัดนี้ฉันจะทำอย่างไร” ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า “สิ่งที่ควรทำในตอนนี้ก็คือ..เธอจงถือพัดไปถวายงานพัดแด่พระราชาเถอะ”
เมื่อนางกำลังพัดถวายพระราชาอยู่นั้น..กลิ่นภูษาโพกศีรษะของพระราชาก็ได้โชยมากระทบนัยน์ตาของนาง จนทำให้น้ำตาของนางไหลออกมาเป็นทาง เมื่อพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น..จึงตรัสกับท่านเศรษฐีว่า “มหาเศรษฐี ธรรมดาผู้หญิงมีความรู้น้อย ชะรอยเธอจะร้องไห้เพราะกลัวว่า..พระราชาจะยึดเอาสมบัติของสามีเราไปก็เป็นได้ ท่านจงปลอบนางว่า..เราไม่มีความต้องการสมบัติของท่านเลย”
ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลว่า “นางไม่ได้ร้องไห้หรอก พระเจ้าข้า” พระราชาตรัสถามว่า “แล้วทำไมเธอถึงน้ำตาไหลล่ะ” ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลว่า “น้ำตาของนางไหลเพราะกลิ่นควันไฟที่ติดอยู่บนภูษาของพระองค์ ซึ่งปกติแล้ว..ภรรยาของข้าพระองค์ไม่เคยอยู่ด้วยแสงสว่างของเปลวประทีปเลย นางย่อมรับประทาน นั่งและนอนด้วยแสงสว่างของแก้วมณีเท่านั้น ดังนั้น..นางจึงไม่คุ้นกับกลิ่นของควันไฟ ส่วนพระองค์คงจะอยู่ด้วยแสงสว่างของเปลวประทีปกระมัง จึงมีกลิ่นของควันไฟติดมา”
พระราชาจึงตรัสว่า “ก็อย่างนั้นสิ มหาเศรษฐี” ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าอย่างนั้น..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระองค์จงประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณีเถิด” แล้วท่านเศรษฐีก็ได้ถวายดวงแก้วมณีที่เรืองแสงได้ซึ่งมีขนาดเท่ากับผลแตงโมแด่พระราชา เมื่อพระราชาทรงเยี่ยมชมปราสาทและสมบัติของท่านเศรษฐีจนเป็นที่พอพระทัยแล้วก็ได้เสด็จกลับไปยังพระราชวัง
🍀ติดตาม โชติกเศรษฐี (ผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง) ตอนที่ 3 ต่อไป
🌟รับธรรมะดี ๆ ที่เป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความสุขภายในได้ที่นี่
⚡️Line
⚡️Facebook
⚡️YouTube
⚡️Instagram
⚡️Twitter
⚡️Pinterest
⚡️Spotify
⚡️Apple Podcasts
⚡️JOOX
⚡️TikTok
⚡️Blockdit
⚡️Clubhouse
⚡️Google Maps
โฆษณา