20 มิ.ย. 2021 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
บังกลาเทศ ทำอย่างไร ให้รวยแซงหน้าอินเดียและปากีสถาน
8
ในอดีต ถ้าเราเอา 3 ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันในเอเชียใต้
คือบังกลาเทศ อินเดีย และปากีสถาน
มาเทียบรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของประชากรกัน
จะเห็นว่า บังกลาเทศ เป็นประเทศที่อยู่ในอันดับสุดท้าย
1
แต่รู้ไหมว่าวันนี้ บังกลาเทศ คือประเทศที่รวยแซงหน้าอินเดียและปากีสถานไปแล้ว
7
บังกลาเทศทำอย่างไร ให้รวยแซงประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและปากีสถาน
และในอนาคตพวกเขาตั้งเป้าจะพัฒนาประเทศเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
3
เรามาดูรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของประชากรใน 3 ประเทศนี้
ในอดีตเทียบกับปัจจุบัน อ้างอิงจาก World Bank
2
ปี 1980
- ปากีสถาน 9,400 บาท
- อินเดีย 8,300 บาท
- บังกลาเทศ 7,100 บาท
1
ปี 2020
- บังกลาเทศ 69,000 บาท
- อินเดีย 60,000 บาท
- ปากีสถาน 48,000 บาท
2
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวบังกลาเทศเติบโต 9.7 เท่า
ขณะที่อินเดียเติบโต 7.2 เท่า และปากีสถานเติบโต 5.1 เท่า
1
เรียกได้ว่า วันนี้บังกลาเทศคือประเทศร่ำรวยแซงหน้าอินเดียและปากีสถานไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวัดจากรายได้ต่อหัวของประชากร
4
จริง ๆ แล้วบังกลาเทศถือเป็นประเทศที่เกิดหลังจากอินเดียและปากีสถาน
เนื่องจากในปี 1971 หรือเมื่อ 50 ปีที่แล้ว บังกลาเทศ มีชื่อเดิมคือ ปากีสถานตะวันออก ได้ประกาศแยกตัวเป็นเอกราช เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองกับปากีสถานตะวันตก
3
ในช่วงแรกที่ปากีสถานตะวันออกต้องการแยกตัวออกจากปากีสถานตะวันตกนั้น
ทางปากีสถานตะวันตกไม่ยินยอม และใช้กำลังทหารเข้าไปจัดการปัญหา
3
แต่กลับมีตัวละครอีกตัวคือ อินเดีย
ที่ได้ส่งกองทัพเข้าไปช่วยปากีสถานตะวันออกรบกับปากีสถานตะวันตก
 
จนสุดท้ายปากีสถานตะวันออกได้รับชัยชนะ
และประกาศเอกราชมาเป็นประเทศบังกลาเทศ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่วนปากีสถานตะวันตกก็เป็น ประเทศปากีสถาน จนถึงวันนี้
9
อย่างไรก็ตาม แม้บังกลาเทศจะสามารถแยกออกมาตั้งเป็นประเทศได้สำเร็จ แต่ด้วยสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่แร้นแค้นอย่างหนัก ความไม่มั่นคงทางการเมือง มีการทุจริตในวงกว้าง ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อม
3
จึงทำให้ผู้คนนับล้านคน ไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเขาจึงต้องอพยพเข้าไปอยู่อินเดีย และบางส่วนอพยพด้วยช่องทางที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยถูกทหารปากีสถานสังหาร
10
ความยากจนแร้นแค้นของประชาชน ทำให้ครั้งหนึ่งบังกลาเทศเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก โดยเฉพาะช่วงแรกหลังจากประกาศเอกราชนั้น ประชากรกว่า 90% ของบังกลาเทศนั้นอาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน
3
Cr.sanook
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจของบังกลาเทศเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เมื่อรัฐบาลได้นำเอาแผนปฏิรูปเศรษฐกิจฉบับใหม่มาใช้
2
โดยมีเรื่องสำคัญในแผนฉบับนั้นคือ
นโยบายการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ หรือ “Trade Liberalization”
ซึ่งนโยบายนี้ มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อมาช่วยให้กลไกตลาดสามารถทำงานได้อย่างเสรีมากขึ้น
2
ผลของการเปิดเสรีทางการค้าและบริการ ทำให้การค้าและการลงทุนของประเทศนั้นเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว
2
อัตราการเติบโตของ GDP บังกลาเทศ เพิ่มขึ้นจาก 3.5% ในช่วงปี 1980-1989 มาอยู่ที่ 4.7% ในช่วงปี 1990-1999
1
นโยบายดังกล่าว ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ
ที่นำไปสู่การปฏิรูปหลายภาคส่วนของบังกลาเทศ
เช่น นโยบายการค้า, ภาคอุตสาหกรรม, ภาคการเงิน รวมไปถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวลาต่อมา
1
ในปี 2000 มูลค่า GDP ของบังกลาเทศ เท่ากับ 1.7 ล้านล้านบาท
ในปี 2019 มูลค่า GDP ของบังกลาเทศ เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 10 ล้านล้านบาท
1
ทำให้บังกลาเทศถูกมองว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วมากที่สุดในโลก
และการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบติดจรวด ทำให้จากประเทศที่เคยยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในฐานะประเทศรายได้ปานกลางแล้วในวันนี้
และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีแซงหน้าอินเดียและปากีสถาน 2 ประเทศเพื่อนบ้านที่รวยกว่าในอดีตไปแล้ว
1
จุดเด่นอีกเรื่องในโครงสร้างเศรษฐกิจของบังกลาเทศ คือ การมีแรงงานจำนวนมาก โดยปัจจุบันบังกลาเทศ มีจำนวนแรงงานกว่า 67 ล้านคน หรือประมาณ 41% ของจำนวนประชากร
3
จึงทำให้มีความได้เปรียบทางด้านค่าแรงที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกของบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง
3
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากจุดนี้คือ อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
1
อุตสาหกรรมเหล่านี้มีสัดส่วนสูงกว่า 90% ของมูลค่าการส่งออกของประเทศ ที่เท่ากับ 1.4 ล้านล้านบาทในปี 2019
1
ข้อได้เปรียบด้านแรงงาน จึงดึงดูดให้บริษัทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายระดับโลก เข้ามาลงทุนและทำธุรกิจในบังกลาเทศหลายบริษัท เช่น
- H&M แบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกจากสวีเดน
- Primark แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายชื่อดังจากไอร์แลนด์
- ZARA แบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลกจากสเปน
- GAP แบรนด์เครื่องแต่งกายจากสหรัฐอเมริกา
2
ที่น่าสนใจคือ ในช่วงปี 2011-2019
การส่งออกของบังกลาเทศเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.6% ทุกปี
เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่โตเฉลี่ย 0.4%
1
และตอนนี้บังกลาเทศ ยังกลายมาเป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องแต่งกายอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่จีนประเทศเดียว
7
Cr.brandinside.asia
การมีตลาดแรงงานที่ใหญ่ และจำนวนประชากรของบังกลาเทศที่มีมากถึง 165 ล้านคน สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก เมื่อรวมกับการที่รายได้ชนชั้นกลางที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ตลาดผู้บริโภคของที่นี่จะมีศักยภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
2
อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายก็ออกมาบอกว่า
ความท้าทายของบังกลาเทศ ก็จะคล้ายกับประเทศกำลังพัฒนาที่เคยอาศัยข้อได้เปรียบด้านแรงงานถูก
1
เพราะในอนาคต ถ้าจุดเด่นเรื่องแรงงานราคาถูกค่อย ๆ หายไป
บังกลาเทศ ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเน้นการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น แทนอุตสาหกรรมที่เน้นแรงงานอย่างอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเหมือนในวันนี้
4
ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลของบังกลาเทศได้เตรียมการรองรับเรื่องดังกล่าว
ด้วยการออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่มีชื่อว่า “Bangladesh Vision 2041” ที่จะเริ่มตั้งแต่ปี 2021 โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจคือ
2
- เพิ่มสัดส่วนมูลค่าการลงทุนต่อ GDP จาก 34% มาอยู่ที่ 47%
- เพิ่มมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจาก 297,600 ล้านบาท มาอยู่ที่ 4.8 ล้านล้านบาท
- เพิ่มมูลค่าเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจาก 3.1 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 36 ล้านล้านบาท
- เพิ่มมูลค่าการส่งออกจาก 1.5 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ 9.3 ล้านล้านบาท
3
โดยทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายก็เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตในประเทศ
และเพื่อทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวบังกลาเทศ เพิ่มไปอยู่ที่ 496,000 บาท
จนกลายเป็นประเทศ ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มรายได้สูง ภายในปี 2041 นั่นเอง..
1
โฆษณา