19 มิ.ย. 2021 เวลา 08:48 • ข่าว
อัลเบิร์ต ริซซี ชายตาบอดวัย 49 ปี พร้อม ด็อกซี่ สุนัขนำทางพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ วัย 9 ปี ถูกไล่ลงจากเครื่องบินของสายการบิน US Airways
ทั้งสองถูกไล่ลงเนื่องจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่งให้เหตุผลว่า ด็อกซี่ ไม่สามารถอดทนที่จะนั่งใต้เบาะอันคับแคบใต้ที่นั่งผู้โดยสารตามระเบียบของสายการบินได้ จนต้องยืดขาของมันออกมากีดขวางทางเดินบนเครื่องบิน
แต่ทำไมผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงมองว่าเรื่องนี้สายการบินและพนักงานต้อนรับผิด? พวกเขาแทบทั้งหมดกลับเห็นด้วยกับริซซีและด็อกซี่ และประท้วงในการกระทำของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจนกลายเป็นโกลาหลครั้งใหญ่
เรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันถึงการปฏิบัติอย่างให้เกียรติกับผู้โดยสารทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงกฏหมายของสายการบินที่ให้สุนัขตัวใหญ่มานั่งอยู่ในพื้นที่แคบๆ แบบนั้น
14 พฤศจิกายน ค.ศ.2013 เที่ยวบินของสายการบิน US Airways จากท่าอากาศยานนานาชาติฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย จุดหมายปลายทางไปยังลองไอส์แลนด์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
อัลเบิร์ต ริซซี วัย 49 ปี ตาบอดมาเป็นระยะเวลากว่า 8 ปีแล้ว และเนื่องจากเขาต้องเดินทางบ่อยจึงต้องมี ด็อกซี่ สุนัขนำทางพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ วัย 9 ปี มาไว้เป็นเพื่อนคู่ใจช่วยเขาในการเดินทาง
สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขที่นิยมนำมาเป็นสุนัขนำทางคนตาบอด การเป็นสุนัขนำทางไม่ได้เป็นกันง่ายๆ สุนัขจะต้องผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นอย่างน้อย 18 เดือน และต้องผ่านการทดสอบของโรงเรียนฝึกสุนัขเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้
สุนัขนำทางคนตาบอดนั้น นอกจากจะทำหน้าที่นำทางคนตาบอดแล้วนั้น เขายังสามารถเข้ากับสังคมในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างไม่รบกวนใคร สุนัขจะไม่ขับถ่ายเรี่ยราด ไม่เห่าส่งเสียงดัง ไม่ไปกัดหรือทำลายสร้างความเสียหายให้แก่สถานที่ และจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของเป็นอย่างดี
ในทุกเที่ยวบินของ US Airways มีกฏว่าให้สุนัขนำทางนั้นต้องนั่งอยู่บริเวณใต้เบาะที่นั่งผู้โดยสารระหว่างทำการบิน ริซซี ผู้ซึ่งบินเกือบทุกเดือน และไม่สามารถเดินทางโดยไม่มีสุนัขนำทางได้ เขาทราบเรื่องนี้ดีและสั่งให้ด็อกซี่นั่งอยู่ใต้เบาะที่นั่งด้านหน้าเขาที่คับแคบและไม่เหมาะกับขนาดของลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์เอาเสียเลย
1
อัลเบิร์ต ริซซี และด็อกซี่
เวลาผ่านไป 90 นาที
เครื่องบินยังคงอยู่บนพื้น สายการบินล่าช้ากว่าตารางมาเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งแล้ว ด็อกซี่ ที่นั่งอดทนมาเป็นระยะเวลานาน มันเริ่มอ่อนล้าและกระสับกระส่าย อยากจะขยับตัวออกมายืดเส้นยืดสาย
1
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่งมาเห็นดอซซี่ที่ขาเริ่มเหยียดออกมาที่ทางเดินแล้วเข้า เขาจึงสั่งให้ริซซีนำสุนัขไปอยู่ใต้เบาะดีๆ
ริซซีพยายามอย่างเต็มที่ เขาสั่งให้ด็อกซี่อยู่นิ่งๆ ผู้โดยสารข้างๆ ก็พยายามนั่งขัดสมาธิเพื่อให้ด็อกซี่ได้มีพื้นที่เพียงพอ
สุดท้ายแล้วด็อกซี่ที่เมื่อยล้ามากก็อดทนไม่ไหว มันเหยียดขายื่นออกมาที่ทางเดินบนบนเครื่องบิน โดยที่ด็อกซี่ไม่ได้เห่าหรือรบกวนผู้โดยสารคนใดเลย
คราวนี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนเดิมมองว่าริซซีไม่สามารถควบคุมสุนัขได้อีกต่อไป และเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อการบิน จึงตัดสินใจให้ริซซีและด็อกซี่ลงจากเครื่องบิน
ริซซีไม่พอใจในการตัดสินใจของพนักงานต้อนรับคนนี้ หลังจากมีปากเสียงกับริซซีได้สักพัก ผู้โดยสารคนอื่นก็เริ่มโวยวายแสดงความไม่พอใจถึงการกระทำของพนักงานต้อนรับคนนี้ด้วยเช่นกัน
จนมันเริ่มกลายจะเป็นโกลาหล พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงได้แจ้งกัปตันบนเครื่องบิน กัปตันจึงได้ทำการแท็กซี่กลับมายังลานจอด และยกเลิกเที่ยวบินนี้ไปโดยปริยาย
เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยในการเดินทางของประเทศสหรัฐอเมริกา (TSA) เดินขึ้นมาบนเครื่อง พวกเขานำตัวริซซี และด็อกซี่ ออกจากเครื่องบินทันที
ริซซีและด็อกซี่ถูกไล่ลงไปอยู่ในอาคารผู้โดยสนามบินนานาชาติฟิลาเดลเฟีย เขายืนตัวสั่นเทา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าเขาจะกลับบ้านที่ลองไอส์แลนด์ได้อย่างไร อีกทั้งยังกลัวว่าจะโดนผู้โดยสารคนอื่นมาประนามเขาในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาในอาคารผู้โดยสาร พวกเขาเดินเข้ามาหาริซซี่เพื่อให้กำลังใจ และสนับสนุนเขาและด็อกซี่
อัลเบิร์ต ริซซี และด็อกซี่ หลังจากถูกไล่ออกจากเครื่องบิน
สุดท้ายแล้วสายการบินก็ตัดสินใจใช้รถบัสรับผู้โดยสารเกือบทั้งหมด เดินทางกว่า 4 ชั่วโมงไปส่งยังสนามบินลองไอส์แลนด์ จุดหมายปลายทางของพวกเขา
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ผู้โดยสารไม่พอใจในการกระทำครั้งนี้ เรื่องราวนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ ทุกคนต่างประนามในการกระทำของสายการบินที่ปฏิบัติต่อผู้โดยสารทุกคนโดยไม่เท่าเทียมกัน อีกทั้งยังไม่มีความเข้าใจในตัวสุนัขที่มาปฏิบัติหน้าที่นำทางอีกด้วย
1
ต่อมาโฆษกของ US Airways ก็ได้แถลงการณ์ว่า
“ด็อกซี่นั้นเดินไปเดินมาและไม่สามารถควบคุมได้ และเมื่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้ไปเตือนริซซีว่าสุนัขต้องอยู่ในที่ของตนเองเพื่อความปลอดภัยของเที่ยวบิน ริซซีกลับไม่พอใจและกลายเป็นคนก่อกวนเสียเอง”
US Airways ยังออกแถลงการณ์ยาวเหยียดลงในออนไลน์อธิบายว่า
“ความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคนบนเครื่องบินเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกและสำคัญที่สุด ดังนั้นพื้นที่ทางเดินจึงเป็นพื้นที่สงวน เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นทุกคนจะสามารถอพยพได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีสิ่งกีดขวางทางเดิน”
“ดังนั้นสัตว์บริการต้องอยู่ใต้ที่นั่งของผู้โดยสารอยู่ตลอด พวกเขาจะไม่มีทางได้อยู่ในทางเดินของเครื่องบินเนื่องจากเป็นเส้นทางอพยพในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งด็อกซี่ล้มเหลวในข้อนี้”
“ผู้โดยสารคนอื่นๆ อีกหลายคน เมื่อเห็นว่าจะมีการไล่ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน ก็เริ่มมีการเผชิญหน้ากันทางอารมณ์ ขู่ว่าจะติดต่อกับสื่อ ในประเด็นที่เราไล่คนตาบอดและสุนัขของเขาออกจากเที่ยวบิน สิ่งนี้ทำให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินร้องไห้ พวกเขาไม่สามารถดำเนินบินได้อีกต่อไป เนื่องจากความปลอดภัยของพนักงานต้อนรับทุกคนตกอยู่ในอันตราย”
“กัปตันจึงตัดสินใจยกเลิกเที่ยวบิน และสายการบินจึงเลือกวิธีการขนส่งที่ปลอดภัย เพื่อนำผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย”
หลังจากแถลงการณ์ออกมา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนกลับมีมุมมองที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
1
เคิร์ท บัดเค หนึ่งในผู้โดยสารวันนั้นกล่าวว่า
“สุนัขตัวนี้ถูกฝึกมาอย่างยอดเยี่ยมมาก การที่มาบอกว่าสุนัขตัวนี้ควบคุมไม่ได้นั้นไม่เป็นจริง สุนัขตัวนี้ควบคุมได้ง่ายกว่าคนบนเครื่องบินเสียอีก”
เคิร์ทยังกล่าวอีกว่าด็อกซี่เหยียดเท้าจริง แต่มันไม่ได้ขยับไปไหนมาไหน มันยังอยู่ที่ใต้เก้าอี้และอยู่ที่เท้าของริซซี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จำเป็นสำหรับสุนัขนำทางเพื่อช่วยเหลือเขาขณะอยู่บนเครื่องบิน
1
คาร์ล เบเนอร์ ผู้โดยสารอีกคนกล่าวว่า
“ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘แอร์โฮสเตสคิดผิด 100 เปอร์เซ็นต์' ไม่มีใครสนับสนุนแอร์โฮสเตสเลยสักคนเดียว ทุกคนในเที่ยวบินนั้นสนับสนุนและอยู่ข้างชายตาบอด”
“มันเห็นได้ชัดว่าลูกเรือไม่สบอารมณ์กับความไม่พอใจของผู้โดยสาร จากนั้นกัปตันออกมาจากห้องนักบิน และเขาขอให้พวกเราทุกคนออกจากเครื่องบิน”
คาร์ล เบเนอร์ กล่าวต่อ
ยังมีความคิดเห็นอีกมากมายจากผู้โดยสาร ทุกคนต่างเป็นเสียงเดียวกันว่าด็อกซี่อยู่ในพื้นที่ของตนเอง และไม่สร้างปัญหาหรือสิ่งอื่นใดเลย อีกทั้งริซซี่ก็ไม่ได้ข่มขู่ใคร พวกเขาบอกว่านั่นคือเหตุผลที่ผู้โดยสารทุกคนมาปกป้องริซซี่ และนั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้กัปตันบังคับให้เราออกจากเที่ยวบิน เพราะผู้โดยสารไม่พอใจในลูกเรือของเขา
3
ส่วนริซซีกล่าวว่าเขาแค่หวังว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะมีความเข้าใจมากกว่านี้
“ฉันต้องการให้ความรู้แก่สายการบิน ให้พนักงานของพวกเขาสามารถรองรับผู้โดยสารที่ตาบอดได้ดียิ่งขึ้น การนำสุนัขนำทางไปไว้ที่อื่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการให้คนที่ใส่ขาเทียมทิ้งขาเทียมของเขาไป”
3
ในเดือนตุลาคม ค.ศ.2015
US Airways ก็ได้หยุดกิจการลง และถูกรวมเข้ากับสายการบิน American Airlines
ปัจจุบันมีสายการบินที่เข้าใจการทำงานของสุนัขนำทางมากขึ้น บางสายการบินสามารถให้ผู้โดยสารซื้อตั๋วที่นั่งให้กับสุนัขได้เลย และสายการบินส่วนใหญ่พวกเขาจะจัดที่หน้าด้านหน้าที่มีพื้นที่วางเท้ามากกว่าที่อื่นในห้องโดยสารให้กับคนตาบอดและสุนัขนำทาง เพื่อที่สุนัขจะได้มีพื้นที่มากยิ่งขึ้น และพร้อมเสมอที่จะนำคนตาบอดออกจากเครื่องบินเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
1
บทความโดย : I’m from Andromeda
แหล่งข้อมูล:
1
โฆษณา