21 มิ.ย. 2021 เวลา 09:44 • นิยาย เรื่องสั้น
เชื่อไหมครับว่าผีมีจริง...?
บอกตามตรงผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อเด็ดขาด!!!!
เรื่องภูตผีปีศาจอะไรเนี่ยก็รู้ๆกันอยู่ว่า มันเป็นแค่นิทานหลอกเด็กที่คนสมัยก่อนเขาแต่งเอาไว้ขู่ลูกหลาน ให้เด็กมันกลัวจะได้ว่านอนสอนง่าย
จนกระทั่ง...!!
ผมได้ไปเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจ.เพชรบุรี ความคิดข้างบนทั้งหมดที่ผมกล่าวมาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แถมเปลี่ยนชนิดที่ว่าจากหน้ามือเป็นหลังส้นเท้ากันเลยทีเดียว!!!!!!
ปีพ.ศ.2535
พื้นเพเดิมผมอยู่จ.สมุทรสาคร หลังจากเรียนจบม.6ผมสอบติดคณะศิลปกรรมที่เพชรบุรีดังที่เกริ่นมาแล้วข้างต้น
และด้วยเหตุนี้เองผมจึงจำเป็นจะต้องหาหอพักเพื่ออาศัยอยู่ เพราะต้องใช้เวลาเรียนยาวนานถึง4ปี จะให้มานั่งรถเมล์ไปกลับก็เห็นท่าจะไม่ไหว
แต่จะด้วยคราวซวยของผม หรือดวงชะตาฟ้าถีบส่งก็ไม่อาจทราบได้
ในวันปฐมนิเทศก่อนมหาวิทยาลัยเปิดเพียงไม่กี่วัน เพื่อนใหม่ร่วมคณะของผมชื่อว่า 'สุดยอด' ก็มาชวนไปเช่าบ้านเป็นหลังอยู่ร่วมกับพวกรุ่นพี่ แต่เหมือนเพื่อนจะสังเกตเห็นท่าทีลังเลของผม มันจึงขุดเหตุผลต่างๆนานาขึ้นมาหว่านล้อม
"ค่าเช่าคนละ300บาทต่อเดือน ได้บ้านหลังเบ่อเร่อ บรรยากาศดีวิวสวย หน้าบ้านติดทุ่งนาแถมมีบ่อปลาให้ตกด้วยนะมึง"
2
ภาพที่เพื่อนมันบรรยายมาทั้งหมด มันคือโรงแรม5ดาวดีๆนี่เองสำหรับผม ผลก็เป็นไปตามคาด สุดท้ายผมก็หลงเคลิ้มจนต้องหอบข้าวของไปอยู่กับมัน แทนความตั้งใจเดิมที่จะไปหาเช่าห้องพักเล็กๆอยู่คนเดียวแบบสงบๆ
แต่!!!..พอได้มาเห็นบ้านของจริงเท่านั้นแหละ
คุณเอ๊ย!!!!...ไอ้วิมานกลางอากาศที่เพื่อนมันวาดไว้ให้ซะสวยหรูก็มีอันพังทลายหายวับไปกับตา!
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือบ้านทรงไทย ประยุกต์ มี2ชั้นซึ่งด้านล่างก่อเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ หน้าต่างทุกบานติดลูกกรงเหล็กดัดไว้อย่างแน่นหนา เนื้อที่กว้างขวางถูกล้อมกรอบด้วยกำแพงปูนยาวเหยียดราวกับยกกำแพงเมืองจีนมาไว้ที่นี่ ถึงแม้สภาพตัวบ้านจะไม่ได้ชำรุดทรุดโทรมอะไรนัก แต่ดูรวมๆแล้วบรรยากาศชวนวังเวงน่าขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย
พอมาถึงจุดนี้จะให้ทำไงได้..ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะผมจะไปหาห้องเช่าที่ไหนทันในเวลากระชั้นชิดแบบนี้
'เอาวะ..อย่างน้อยก็มีวิวทุ่งนากับบ่อตกปลาอย่างที่เพื่อนมันว่าจริงๆแหละ'
ผมก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนไม่มีทางเลือก ณ.เวลานั้นผมไม่ได้กังวลเรื่องผีสางแต่ประการใด เพราะคำว่า'ผี'ในพจนานุกรมของผมขณะนั้นไม่เคยมี
ลึกๆในใจผมกลับเป็นกังวลเรื่องทำเลที่ตั้งของบ้านมากกว่า เพราะอยู่ในซอยค่อนข้างลึกแถมเปลี่ยวอีกต่างหาก บ้านหลังที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปร่วมครึ่งกิโลเห็นจะได้ เรียกว่าถ้ามีโจรผู้ร้ายบุกเข้ามาปล้นมีหวังตายกับตายสถานเดียว
เอาล่ะ..ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมามันมาถึงจุดพีคตรงนี้ครับ!!!
มันมีประตูเหล็กดัดคล้องแม่กุญแจแน่นหนาปิดอยู่ระหว่างบันไดที่จะเดินขึ้นสู่ชั้นบน เจ้าของบ้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนอนุญาตให้พวกเราใช้พื้นที่ด้านล่างได้ทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆไม่ว่าจะเป็นจานชามหม้อไห แกอนุญาตให้หยิบใช้ได้ตามสะดวก แต่ชั้นบนห้ามไปยุ่งเด็ดขาด!!!
 
เจ้าของบ้านอธิบายต่อว่าบ้านหลังนี้เป็นของพ่อแม่แกที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่จากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ถูกชน ชั้นบนใช้เก็บข้าวของพวกเฟอนิเจอร์เก่าๆเอาไว้ จึงไม่อยากให้พวกเราไปยุ่ง เหตุผลที่ยอมเปิดให้เช่าในราคาถูกแสนถูกเพราะต้องการคนมาอยู่ดูแลบ้าน แกกลัวคนจะแอบมาขโมยของ และที่สำคัญแกไม่ค่อยมีเวลามาดูกลัวว่าถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะกลายเป็นบ้านร้าง
พอได้ยินดังนั้นพวกเราทุกคนก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเจ้าของบ้านก็บอกชัดเจนไม่ได้มีท่าทีปิดบังแต่อย่างใด เป็นธรรมดาทุกบ้านย่อมมีคนตายมันเป็นเรื่องปกติอันนี้พวกเราเข้าใจได้ หนำซ้ำกรณีนี้เป็นการเสียชีวิตที่อื่น ไม่ใช่นอนตายคาบ้านซะเมื่อไหร่ ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะต้องกลัว แต่...ขอให้ทุกคนจำไอ้ประตูเหล็กบานที่ว่านี้ไว้ก่อนนะครับ เพราะมันนี่แหละคือตัวเปิดไปสู่ปัญหา!
หลายเดือนผ่านไป...
เหล่าบรรดาสมาชิกชายล้วนในบ้านทั้งหมด7คนก็ดำเนินชีวิตกันอย่างสุดเหวี่ยง กลางวันเรียนตกเย็นตั้งวงร้องรำทำเพลงกินเหล้าเฮฮากันตามประสาวัยรุ่น
จนไม่มีใครแม้แต่คนเดียวสนใจเสียงพื้นไม้กระดานบนชั้น2ที่มันลั่นเอี๊ยดอ๊าดแทบจะทุกคืนเหมือนมีคนกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ด้านบน มิหนำซ้ำรุ่นพี่บางคนถึงขนาดพูดติดตลกว่า "หนูมันคงวิ่งแข่งแรลลี่กันอยู่ละมั้ง" เออ..ว่าไปนั่น!
ลานปูนหลังบ้าน
ภายในบ้าน สังเกตที่หน้าต่างด้านหลังผู้เขียน จะมีเหล็กดัดลักษณะแบบนี้ติดอยู่ทั้งบ้าน
จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันหนึ่ง
ขณะที่พวกเราเล่นเตะบอลอัดใส่กันตรงลานปูนหน้าบ้าน อยู่ๆชายเลี้ยงวัวที่ต้อนฝูงวัวมาเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆกับประตูรั้วก็พูดขึ้นมาลอยๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้พวกเราได้ยินกันทุกคน
"ตอนมีชีวิตอยู่เห็นดุนักดุหนา ทีอย่างนี้ไม่เห็นทำอะไร" คนเลี้ยงวัวพูดบ่นๆด้วยสำเนียงคนเมืองเพชร อารมณ์ประมาณว่าคงจะรำคาญพวกผมเพราะเล่นกันเสียงดังทำนองนั้น
ในเมื่อเจ้าถิ่นด่าผ่านสายลมมาซะขนาดนี้ มีเหรอพวกเราจะกล้าเล่นต่อ สุดท้ายก็เลิกสิครับ พากันแยกย้ายไปหาทำกิจกรรมอย่างอื่น บางคนไปนอน บางคนอ่านหนังสือ ส่วนผมจำได้แม่นว่าวันนั้นนั่งวาดรูปอยู่ตรงเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน
เวลาผ่านไปมากน้อยแค่ไหนไม่ทราบ จู่ๆพี่ตรีก็วิ่งพรวดหน้าตาตื่นออกมาจากในบ้าน
"เป็นไรพี่!" ผมถามเพราะเห็นหน้าแกซีดผิดปกติ
"พี่โดนผีอำว่ะ!!!!" แกตอบเสียงสั่นก่อนจะตะกุกตะกักเล่าต่อ
"พี่เข้าไปนอนเล่นในห้องแล้วเผลอหลับไป พอรู้สึกตัวจะตื่น ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ก็เจอผู้ชายร่างท้วม ใส่แว่นในชุดสีกากีนั่งค่อมตัวพี่อยู่!! แถมยังชี้หน้าทำตาดุใส่พี่ด้วย!! พี่จะขยับตัวก็ไม่ได้ ตะโกนเรียกใครก็ไม่มีเสียง ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยได้แต่หลับตาสวดมนต์กว่าจะดิ้นหลุดออกมาได้เนี่ย แทบตาย!!"
แกเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับทำหน้าตาตื่น เหงื่องี้แตกพลั่กๆ ผมเชื่อนะเรื่องที่แกเล่ามาทั้งหมด แต่คิดว่าแกคงจะฝันไปซะมากกว่า ผีเผออะไรจะออกมาหลอกคนกลางวันแสกๆ เป็นตายยังไงผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นพี่ตรีก็ผันตัวกลายเป็นเซียนพระเครื่องไปโดยปริยาย ไม่รู้พระจริงพระปลอมพี่แกขนเอามาแขวนไว้เต็มคอไปหมด เชื่อเหอะ..ถ้าผีโผล่มาจริงๆแกวิ่งหนีไม่ทันหรอก หนักพระ!
1
และแล้วในที่สุดความซวยก็เยือนจนได้!!!
ช่วงหัวค่ำของวันหนึ่งไฟฟ้าดับทั้งบ้าน ตอนแรกก็คิดว่าระแวกแถบนี้คงดับกันทั่ว แต่ที่ไหนได้พอเดินออกไปดูมองไปไกลๆ อ้าว...นี่บ้านเราดับอยู่หลังเดียวนี่หว่า!
ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าฟิวส์น่าจะขาด คราวนี้ก็วุ่นเลยเอาไฟฉายส่องสำรวจหาแผงเบรคเกอร์ไฟกันจ้าละหวั่น เพราะไอ้เจ้าสิ่งที่ว่านี้ไม่เคยมีใครพบเห็นมันมาก่อนว่ามันติดอยู่ตรงส่วนไหนของบ้าน หากันไปหากันมา และแล้วก็แจ็คพ็อต!!!
ยังจำประตูเหล็กตรงกลางบันไดที่กั้นปิดระหว่างชั้นบนกับชั้นล่างบานนั้นได้ไหมครับ?
ปรากฎว่าพี่ต๋องแกดันตาดีเอาไฟฉายส่องตะแคงๆรอดช่องประตูเหล็กบานนั้นขึ้นไปชั้นบน และก็เจอแผงเบรกเกอร์เข้าจนได้ ซึ่งมันไปแอบติดอยู่ชั้นบน ปัญหาคือจะขึ้นไปยังไงครับเนี่ย???
คราวนี้ก็ต้องส่งสุดยอดกับพี่ตรีขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามเจ้าของบ้านมาไขแม่กุญแจให้ ทั้งคู่หายกันไปพักหนึ่งก็กลับมาพร้อมเจ้าของบ้านที่ขับรถกะบะตามหลังมา
ขณะที่เจ้าของบ้านไขกุญแจขึ้นไปชั้นบน พวกเราก็เดินส่องไฟตามหลังไปติดๆ จนมาถึงแผงเบรคเกอร์ไฟ จังหวะที่พี่ต๋องกำลังเตรียมเอาฟิวส์ตัวใหม่เข้าไปใส่อยู่นั้น จู่ๆพี่ตรีเจ้าเก่าก็แหกปากตะโกนลั่นบ้าน หลังจากพี่แกส่องไฟไปเจอเข้าจะจะกับรูปถ่ายพ่อแม่เจ้าของบ้านที่วางอยู่บนโลงศพไม้2ใบพร้อมโกฐใส่เถ้ากระดูกที่ตั้งอยู่คู่กัน!!!!!
"ผู้ชายคนนี้แหละ!!! ที่เจอวันนั้น!"
พี่ตรีตะเบงสุดเสียง ก่อนจะโดดพรวดจากบนบ้านชนิดที่ว่าเท้าไม่สัมผัสบันไดแม้แต่ขั้นเดียว แกวิ่งสติแตกคว้ามอเตอร์ไซค์ขี่หายออกไปท่ามกลางความตกใจและมึนงงของพวกเรา
พอเริ่มตั้งสติได้ และพิจจารนาสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแบบถนัดๆตา ผมเพิ่งเข้าใจในวินาทีนั้นว่าอาการขนหัวลุกมันเป็นแบบนี้นี่เอง คิดไปคิดมาแทบจะกระโดดตามพี่ตรีลงไปอีกคน ดีที่ว่าสุดยอดมันดึงแขนเอาไว้ (อารมณ์มันคงประมาณว่ามึงไปไหนกูไปด้วย)
พี่ต๋องแกกลั่นใจเปลี่ยนฟิวส์ แม้มือพี่แกจะสั่นพั่บๆอย่างกับพวกแอลกอฮอล์ริซึ่มระยะสุดท้ายก็ตามแต่แกก็ทำภาระกิจจนสำเร็จลุล่วงลงได้ พอไฟฟ้ากลับมาใช้การได้อีกครั้ง พวกเราก็รีบเผ่นลงมารวมตัวกันอยู่ข้างล่าง
เจ้าของบ้านล็อคประตูเสร็จก็เดินใจเย็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังมีแก่ใจมาอธิบายเรื่องความเป็นมาของโลง2ใบให้พวกเราฟังอีก
แต่ขอสารภาพตามตรงชั่วโมงนั้นหูอื้อตาลาย จิตใจมันกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วครับ ฟังอะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า
พ่อเจ้าของบ้านท่านเป็นข้าราชการที่ทำงานด้านการศึกษามียศตำแหน่งใหญ่โตในจังหวัด ซึ่งตรงนี้ผมขอสงวนเอาไว้ไม่เขียนถึงนะครับ ท่านถูกรถชนเสียชีวิตพร้อมภรรยาขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำธุระ แล้วไอ้มอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมคันดังกล่าวก็มิได้ไปไหน จอดพังอยู่ข้างๆบ้านที่พวกผมเช่าอยู่นี่แหละ เดินผ่านไปผ่านมาทุกวันไม่เคยนึกเอะใจอะไรเลย รถคันนี้ผมจำได้แม่นว่ามันเป็นยามาฮ่ารุ่นY80 สีแดง
โลง2ใบที่เห็นอยู่บนบ้าน เป็นโลงเปล่า!(เฮ้อ..ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย)
เนื่องจากบรรดาลูกๆของท่านซึ่งมีหลายคน มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเรื่องการจัดเก็บเถ้ากระดูก ฝ่ายหนึ่งอยากหาทำเลสร้างฮวงซุ้ยตามประเพณีจีน เพราะบิดาผู้ล่วงลับมีเชื้อสายจีน โลงไม้2ใบจึงมีที่มาจากพี่น้องทางฝั่งนี้
ส่วนอีกกลุ่มกลับมองว่าควรนำเถ้ากระดูกของท่านทั้งสองไปบรรจุไว้ที่เจดีย์ในวัดตามแบบอย่างประเพณีไทย
 
สรุปคุยกันไม่รู้เรื่อง หาข้อยุติไม่ได้ ก็เลยขนทุกสิ่งอย่างมารวมไว้ในบ้านหลังนี้
เอาจริงๆนะ...ฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย คือแกเล่าจบแล้วก็สตาร์ทรถขับกลับบ้านไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้พวกผมนั่งอ้าปากค้างมองหน้ากันเลิ่กลั้ก คือยังงี้นะ
"เอาเป็นว่าคืนนี้พวกกรูเนี่ย จะนอนกันยังไงครับ"
นี่เป็นคำถามที่ผมเชื่อว่าณ.วินาทีนั้นทุกคนต้องคิดเหมือนกันแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์!!!
ใครมันจะไปข่มตาหลับลงกันล่ะครับ ก็เล่นเอาโลงศพมาเก็บอยู่บนบ้านแบบนี้ แถมไอ้คนเจอผีมานั่งทับจะจะมันก็หนีเตลิดไปแล้วพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันเดียวของบ้าน ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ที่แน่ๆคืนนั้นทุกคนหอบที่นอนหมอนมุ้งมาปูนอนรวมกันกลางโถงบ้าน ที่ต้องย้ายออกมานอนข้างนอก เพราะตำแหน่งโลงศพมันดันตั้งอยู่พอดีเป๊ะตรงห้องนอนของพวกเรา
1
ขอรับรองว่าเรื่องที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่ณ.ขณะนี้ เป็นเรื่องจริงล้านเปอร์เซนต์ที่ผมพบเจอมากับตนเอง เหตุการณ์ สถานที่ และตัวบุคคล ไม่ได้สมมุติขึ้นแต่อย่างใด
และหลังจากคืนนั้นให้ทายว่าพวกเราย้ายออกกันไหม?
ตอบลงนี้เลยก็ได้ว่า..ไม่ครับ
ยังอยู่กับผีต่ออีก2ปี จนถึงคราวที่ผมเจอเข้ากับตัวเองแบบจังๆแถมกลางวันแสกๆ แล้วไม่ได้ตาฝาดแน่นอนเพราะเจอพร้อมๆกัน3คน ไว้ตอนหน้าจะเล่าให้ฟังครับ
ส่วนตอนนี้คงไม่ต้องมาถามผมแล้วนะครับว่าผีมีจริงไหม..เพราะคุณคงได้คำตอบแล้ว
13 Story
โฆษณา