21 มิ.ย. 2021 เวลา 12:36 • หนังสือ
รัฐฉาน
ตั้งแต่เมื่อครั้งได้อ่าน ‘สิ้นแสงฉาน’ หนังสือที่แปลจาก Twilight over Burma : My life as a Shan Princess แปลเป็นไทยโดย ‘มนันยา’ นักแปลมือหนึ่งระดับแถวหน้าของเมืองไทย ก็ฝังใจถึงดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่นั้นมา
เกี่ยวกับรัฐฉานนั้น เราจะเจอหลายๆคำที่เกี่ยวข้องกับรัฐฉาน เช่น ไทยใหญ่ ไท ไต เชียงตุง แสนหวี ฯลฯ จนเกิดความสับสนถึงความเกี่ยวพันของคำเหล่านี้ ถึงกับต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม กว่าที่จะทำความเข้าใจเวลาอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้
รัฐฉาน หรือบางทีก็เขียนว่ารัฐชานนั้น คือคำที่ถอดมาจากคำ ‘Shan State’ ที่ฝรั่งใช้เรียกดินแดนนี้ในยุคที่อังกฤษล่าอาณานิคม สำหรับคนไทยแล้ว รัฐฉานก็คือดินแดนที่เราคุ้นชินกันดีในชื่อ ‘ไทยใหญ่’ นั่นเอง เป็นรัฐอิสระที่มีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่ต่างไปจากทิเบต ภูฏาน สิกขิมในอดีต แต่ไทยใหญ่เป็นรัฐที่ประกอบไปด้วยเมืองหลายๆเมือง และในแต่ละเมืองนั้นมี ‘เจ้าฟ้า’ เป็นผู้ปกครองเมือง อาทิ เชียงตุง แสนหวี และสีป่อ ก่อนที่ภายหลังจะกลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
ถึงแม้อังกฤษได้ล้มล้างระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยของพม่า แต่อังกฤษไม่ได้ทำลายราชวงศ์เจ้าฟ้า อีกทั้งยังสนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมือง มีอำนาจปกครองบ้านเมืองของตนเอง และได้สถาปนาให้เมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐชาน และได้รับเอกราชพร้อมกับพม่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ต่อมาพม่าภายใต้รัฐบาลทหารของนายพลเนวิน ใช้ระบอบเผด็จการ ทำการโจมตีและยึดครอง จนรัฐฉานตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่า และทำลายการปกครองระบอบเจ้าฟ้าแบบเดิม ส่งผลให้ดินแดนแถบนี้ในพม่ายังคงมีปัญหายืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
ใน ‘สิ้นแสงฉาน’ เราจึงได้อ่านเรื่องราวของเจ้าจาแสง และเจ้านางสุจันทรี มเหสีชาวออสเตรีย ที่เป็นเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายของสีป่อ และถือได้ว่าเป็นเจ้าฟ้าของรัฐฉานองค์สุดท้าย ในขณะที่คนไทยเอง ก็คุ้นชินกับเรื่องราวของเจ้าจายหลวง เจ้าฟ้ารูปงามที่ทรงปกครองเชียงตุงเป็นองค์สุดท้าย ถือได้ว่าเป็นเจ้าฟ้าของรัฐฉานองค์สุดท้ายเช่นกัน
‘จดหมายจากรัฐฉาน แผ่นดิน 19 เจ้าฟ้า’ เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติและความเป็นไปของรัฐฉาน เป็นผลงานการเขียนและเรียบเรียงของ ‘ภราดร ศักดา’ อดีตนักหนังสือพิมพ์ที่ใช้เวลานานกว่า 30 ปีในการค้นคว้าเรื่องนี้ ก่อนที่จะตีพิมพ์ลงเป็นตอนๆครั้งแรกในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ และรวมพิมพ์เป็นเล่มโดยสำนักพิมพ์ ร.ศ.๒๒๙
โดยภาพหน้าปก คือภาพหอหลวง ที่ประทับของเจ้าฟ้าเชียงตุง ที่เจ้าก้อนแก้วอินแถลงทรงสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2449 เป็นวังคอนกรีตที่งดงามด้วยศิลปะยุโรปผสมอินเดีย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หอหลวงแห่งนี้ได้ถูกรัฐบาลทหารพม่าย่ำยีจิตใจชาวไทยใหญ่ ด้วยการรื้อหอหลวงนี้ทิ้งในปีพ.ศ.2535 โดยอ้างว่าต้องการพื้นที่ตรงนี้ เพื่อสร้างโรงแรมไว้สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันนี้ คือโรงแรมเชียงตุง และนิวเชียงตุงนั่นเอง
ฟังแล้วก็ให้นึกถึงเมืองไทยในยุคหนึ่ง ที่รัฐบาลในยุคคณะราษฏร์ทุบวังลิตเติ้ล วินด์เซอร์ วังที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ที่จำลองแบบมาจากพระราชวังวินด์เซอร์ของราชวงศ์อังกฤษทิ้ง เพื่อสร้างสนามกีฬาศุภชลาศัยขึ้นมาแทนเช่นเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนสารคดีหรือจดหมายเหตุ ที่ผู้เขียนๆบอกเล่าเรื่องราวของรัฐฉานทั้งในอดีตและปัจจุบันผ่านทางบรรณาธิการ แนวเดียวกับที่ ‘สุวรรณี สุคนธา’ เขียนจดหมายถึงคุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์ บรรณาธิการนิตยสารฟ้าเมืองไทย เมื่อครั้งเขียน ‘จดหมายจากโรม’ ต่างกันตรงที่เรื่องนี้มีสาระมากกว่าความบันเทิง และไม่มีความต่อเนื่องของเนื้อหาในแต่ละตอน
บอกตามตรงว่าหนังสือเล่มนี้ไม่สนุก อ่านแล้วเหมือนกำลังอ่านตำราเรียน แต่เมื่อเทียบกับความรู้เกี่ยวกับรัฐฉานที่ได้มา ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
โฆษณา