Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หิมพานต์และสัตว์วิเศษ
•
ติดตาม
22 มิ.ย. 2021 เวลา 05:14 • ปรัชญา
บทที่ 1 มงคลจักรวาล
1
จักรวาลนั้นช่างแสนกว้างใหญ่ พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ได้ตรัสว่ามีอยู่หลายจักรวาลและในแต่ละจักรวาลจะมีเขาพระสุเมรุเป็นของตัวเอง โดยเขาพระสุเมรุของเรานั้นจะมี 7 ขุนเขาล้อมรอบ แต่ละขุนเขาถูกขั้นด้วยมหาสมุทร เมื่อเริ่มอธิบายแบบนี้หลายท่านก็คงเริ่มคิดแล้วว่า นี่ก็คงเป็นบทความแนวๆ ภาพเขาพระสุเมรุบนผนังวัดต่างๆ ละสิ แต่ผมจะอธิบายให้ท่านได้เห็นความจริง
จักรวาลแต่ละแห่งจะมีอายุของตัวมันเอง ตั้งแต่เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ในระยะแรกก็จะเกิดการระเบิดขึ้นเป็นกลุ่มควันและก๊าซมีลักษณะคล้ายเมฆที่เรียกกันว่าเนบิวล่า ระยะนี้ภาษาบาลีเรียกว่า “สังวัฏฏฐายีกัป” ถ้าท่านจำภาษาบาลีได้ก็ถือว่ามีไว้ประดับความรู้ แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปจำให้ยุ่งยาก
ทวีปทั้ง 4 แห่งมงคลจักรวาล
ระยะถัดมาเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปนานแสนนานเนบิวล่าก็จะเริ่มวิวัฒนาการกลายเป็นหมู่ดาวต่างๆ จำนวนมาก เกิดเป็นกาแล็กซี่มีระบบดาวบริวารย่อยๆในวงโคจรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเกิดขึ้น ดำรงชีวิตด้วยการสังเคราะห์สารเคมีจากฝุ่นเนบิวล่าที่รวมตัวกันเป็นดวงดาวให้กลายเป็นน้ำตาลแสนหวานเพื่อใช้เป็นอาหาร ระยะนี้ภาษาบาลีเรียกว่า “วิวัฏฏกัป” ระยะต่อจากนั้น เมื่อทุกอย่างถึงจุดสูงสุดยอมเสื่อมลง จักรวาลก็จะค่อยๆเริ่มทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ กาแล็กซี่และดวงดาวบางส่วนเกิดการสูญสลายกลับเป็นฝุ่นควันและก๊าซที่เรียกว่าเนบิวล่าอีกครั้ง ซึ่งก็ใช้เวลานานเช่นกัน แต่สิ่งมีชีวิตกลับยังคงวิวัฒนาการตัวเองไปเรื่อยๆ ในดาวที่ทุกอย่างยังเหมาะสมเกื้อกูลอยู่ ระยะนี้เรียกว่า “วิวัฏฏัฏฐายีกัป”
จนถึงระยะสุดท้าย กาแล็กซี่และดวงดาวต่างๆเริ่มเข้าสู่การทำลายตัวเองในระยะสุดท้ายซึ่งก็ใช้ระยะเวลาอีกนานแสนนานเช่นกัน แต่สิ่งมีชีวิตในระยะนี้ ได้เกิดการวิวัฒนาการตัวเองจนถึงขีดสูงสุดแล้ว นั้นคือมีมนุษย์เกิดขึ้นในช่วงที่จักรวาลกำลังเริ่มสลายตัวมันเอง การสลายตัวของจักรวาลเกิดจากการเผาไหม้บ้าง จากก๊าซและสารเหลวต่างๆบ้าง รวมถึงลมจากรังสีและแรงระเบิดของกาแล็กซี่ที่เหวี่ยงกาแล็กซี่ให้มาปะทะกันเองบ้าง ระยะนี้เรียกว่า “สังวัฏฏกัป” จนกลับเข้าสู่ความไม่มีอีกครั้ง แล้วจักรวาลก็หมุนเวียนเกิดดับอย่างนี้ไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด
ซึ่งตั้งแต่จักรวาลเกิดขึ้นวิวัฒนาการจนดับไป พระพุทธเจ้าเรียกว่า “1 มหากัป” และวงจรการวิวัฒนาการจนดับสูญที่แบ่งเป็น 4 ระยะ ตามที่อธิบายไปแล้วนั้น พระพุทธเจ้าเรียก 4 ระยะนี้ว่า “4 กัป” ดังนั้น ใน 1 มหากัป จึงมี 4 ระยะหรือ 4 กัปนั่นเอง เพียงแต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นจะนับช่วงระยะเวลาหรือกัปที่มีมนุษย์เกิดขึ้น (ระยะสังวัฏฏกัป) เป็นระยะที่ 1 แทนที่จะให้เป็นระยะที่ 4 เพราะถือว่าเป็นระยะที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติเพื่อนำพามนุษย์ออกจากสังสารวัฏก่อนที่จักรวาลจะสูญสลายอย่างสมบูรณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติในจักรวาลนี้และในช่วงกัปที่มีมนุษย์เท่านั้น จึงเรียกจักรวาลที่เราอยู่นี้ว่าเป็น “มงคลจักรวาล” แต่ในบางมหากัป ถึงแม้จะเป็นกัปที่มีมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว ก็อาจจะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นเลยก็ได้ ในบางกัปอาจจะมีแค่ 1 พระองค์ ในบางกัปถือว่าเป็นกัปที่ประเสริฐที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติในจำนวนสูงสุด คือ 5 พระองค์ เพื่อนำพาหมู่สัตว์ออกจากวงจรเกิดดับที่ไม่สิ้นสุดนี้ เรียกกัปเช่นนี้ว่า ”ภัทรกัป” ซึ่งเป็นกัปที่เรากำลังอยู่กันในปัจจุบันนี่เอง
1
เมื่อจักรวาลสลายไปจนหมดกลายเป็นความว่างความไม่มี แล้วเริ่มเกิดเนบิวล่าใหม่ เริ่มมีสิ่งมีชีวิตเริ่มเกิดขึ้นใหม่ และเมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาในการควบคุมสัญชาตญาณของตัวเองที่เรียกว่า”มนุษย์”เกิดขึ้นใหม่ จึงถือว่าเป็นการเริ่มมหากัปใหม่อีกครั้ง ซึ่งในช่วงที่มีสิ่งมีชีวิตนั้น ดาวต่างๆ ก็ยังเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา โลกก็มีเกิดดับหมุนเวียนไป มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆต่างเกิดขึ้นและสูญพันธุ์ไปพร้อมกับโลก แล้วอาจจะกลับมาเกิด มาวิวัฒนาการกันใหม่อีกครั้ง มีสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาจนเป็นมนุษย์จะเกิดขึ้นอีกครั้งในกัปเดียวกันก็ได้ เพราะแค่ 1 กัป ก็ถือว่านานมากๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องใช้ถึง 4 กัป จึงจะรวมกันเป็น 1 มหากัปด้วยซ้ำ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ก็อาจจะมีรูปร่างหน้าตา ขนาด อายุหรืออาหารที่แตกต่างกันมากได้ โดยสิ่งที่วัดความเป็นมนุษย์ก็ด้วยมีปัญญาที่มีธรรมสัญญา นอกนั้นอาจแตกต่างกันจนมนุษย์ธรรมดาในวัฏจักรใหม่ นึกไม่ออกเลยว่ามนุษย์ในวัฎจักรเดิมมีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นใหม่อาจจะเกิดขึ้นบนดาวดวงเดิมที่ธรรมชาติกลับมาพร้อมให้มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นอีกครั้งหรือดาวดวงอื่นๆที่มีทุกอย่างพร้อมและเหมาะสมจะให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น
ในภพนั้นมีหลายจักรวาลโดยพระพุทธเจ้าทรงแบ่งจักวาลออกเป็น 3 แบบ ตามขนาด ดังนี้
1. จักรวาลขนาดเล็ก มีกาแล็กซี่นับพัน
2. จักรวาลขนาดกลาง มีกาแล็กซี่นับล้าน
3. จักรวาลขนาดใหญ่ มีกาแล็กซี่เป็นล้านล้านนับไม่ถ้วน
โดยมีแกนกลางของจักรวาล เรียกแกนกลางนั้นว่า"เขาพระสุเมรุ" มีกาแล็กซี่และก๊าซเป็นดั่งขุนเขาและมหาสมุทร อนันตจักรวาลต่างเกิดดับหมุนเวียนกันไปเรื่อยไม่รู้จักจบสิ้น
จักรวาลแต่ละแห่งต่างมีเขาพระสุเมรุเป็นของตนเอง แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงแต่เขาพระสุเมรุนี้ อันมีพื้นที่จักรวาลด้านใต้เป็นหมู่มวลมหากาแล็กซี่ที่เรียกว่า"ชมพูทวีป"ซึ่งเป็นสมัยที่มีพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 พระนาม "พระโคตมพุทธเจ้า" มาอุบัติและตรัสรู้ หรือก็คือกาแล็กซี่ที่เราสมมติชื่อให้ว่า Milky Way หรือเรียกอย่างไทยว่าทางช้างเผือกที่เรากำลังอยู่กันในปัจจุบันนี้เท่านั้น
หากจะกล่าวถึงเรื่องสวรรค์หรือนรก เราคงจะเข้าใจได้โดยง่ายว่าดินแดนเหล่านั้นเป็นดินแดนแห่งความเชื่อ ว่าหากเราทำดีจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วจะต้องตกนรก โดยมีโลกมนุษย์อยู่ตรงกลางระหว่างสวรรค์กับนรก ทว่าความจริงกลับมีภูมิต่างๆ มากมายที่ท่านทั้งหลายอาจจะไม่รู้จักหรือรู้จักยังไม่ดีพอ หากจะแบ่งเป็นภูมิต่างๆ ในที่นี้จะขอแบ่งเป็น 4 ภูมิ คือ
1. อบายภูมิ มี 4 แห่ง หลักๆ เป็นแดนเกิดของเหล่าสัตว์นรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรตและอสุรกาย
2. กามสุคติภูมิ มี 7 แห่ง คือ โลกมนุษย์ และสวรรค์อีก 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี เรียงถัดกันขึ้นไปตามลำดับ
3. รูปาวจรภูมิ เป็นที่อยู่อันสงบของเหล่าพรหมที่มีรูปกายทั้งหลาย มี 16 แห่ง เรียงสูงขึ้นไป
4. อรูปาวจรภูมิ เป็นที่อยู่ของเหล่าพรหมที่ไม่มีรูปกายทั้งหลายอีก 4 แห่ง ที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือรูปาวจรภูมิ
ภูมิบางภูมิอาจจะใช้ดินแดนร่วมกัน เช่น โลกมนุษย์และโลกของสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น แล้วแบบนี้ ท่านคิดว่าภูมิไหนจะวุ่นวายที่สุดละ คงหนีไม่พ้นกามสุคติภูมิ เพราะกามสุคติภูมิถือเป็นดินแดนแห่งความปรารถนาและความหวัง ส่วนเราจะได้ไปอยู่ดินแดนใดก็แล้วแต่บุญกรรมและกำลังจิตที่ทำมา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเหล่าดวงจิตนั้นเมื่อจะเดินทางไปยังภูมิต่างๆ จะต้องผ่านดินแดนแห่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนเกตเวย์ที่เชื่อมโยงภูมิต่างๆ เข้าด้วยกัน ดินแดนอันเป็นศูนย์รวมของจิตต่างๆ ที่สามารถมาพบปะกันได้ บางดวงจิตแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่แวะพักแต่อย่างใด บางดวงจิตต้องติดแหงกอยู่ที่นี่เพราะบุญกุศลไม่ถึงพอจะไปยังแดนสวรรค์ หรือกรรมชั่วไม่มากพอจะนำลงสู่นรกภูมิได้ ดินแดนที่เหล่าเทวดาสามารถลงมาเที่ยวเล่นพักผ่อน ดินแดนแห่งคมเขี้ยวน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ที่สามารถฉีกกระชากเนื้อของสัตว์ที่ถึงคราวเคราะห์ ดินแดนที่เหล่าดวงจิตอันน่าส่งสารที่สุดสามารถเดินมาขอส่วนบุญได้ หรือดินแดนที่ดวงจิตอันหลุดพ้นแล้วที่กำลังเฝ้ารอเวลาสู่การสละร่างเพื่อเข้าสู่นิพพานอย่างสงบ ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกว่า “หิมพานต์”
ผมจะขอพาทุกท่านไปท่องเที่ยว ณ ดินแดนหิมพานต์ เพื่อไปพบกับดวงจิตต่างๆ ที่อุบัติและได้เข้ามาเยี่ยมเยียนดินแดนอันเป็นส่วนหนึ่งของภูมิแห่งความหวังแห่งนี้ ดินแดนที่พวกเรากำลังรอคอยมหาดวงจิตที่จะลงมาอุบัติเป็นครั้งสุดท้ายแห่งมหากัปนี้ เพื่อนำพาความหวังของเราให้สัมฤทธิ์ผลอีกครั้ง หากท่านได้เห็นธรรมบางประการจากสิ่งที่กำลังจะเล่า ก็ขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วย แต่ถ้าท่านคิดว่านี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่แต่งขึ้น ก็ขอให้ท่านได้เพลิดเพลินกับนิยายเรื่องนี้ ด้วยความยินดี
บทหน้าคือตอนแรกที่เราจะย่างก้าวสู่โลกหิมพานต์ไปด้วยกัน โดย ลามะน้อย
11 บันทึก
27
9
18
11
27
9
18
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย