22 มิ.ย. 2021 เวลา 11:00 • การตลาด
[สรุปหนังสือ] Marketing 5.0 - การตลาดยุคใหม่ ที่ใครไม่ปรับตัวคือแพ้สถานเดียว
Marketing หรือการตลาดคือหัวข้อที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ เพราะนอกเหนือจากการที่เราต้องเจอกับมันในชีวิตประจำวันแล้ว มันยังเป็นหัวข้อ Business ที่เข้าถึงง่ายที่สุดอันนึงของมนุษย์ด้วย (แหงล่ะ ง่ายกว่า Finance เยอะแหละ 🤣)
ถ้าใครได้ลองศึกษาศาสตร์ของการตลาดแล้วก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้จัก Philip Kotler - Father of Modern Marketing “บิดาแห่งการตลาดยุคใหม่” ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือซีรี่ส์ Marketing X.0 มาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเล่มที่ 5.0 แล้วครับ
1
ซึ่งทุกเล่มก็จะถูกยกย่องให้เป็นหนังสือการตลาดที่ดีที่สุดเล่มนึงของแต่ละยุคนั้นเลยครับ เพราะจะมีการอัพเดทเนื้อหาและเทรนด์ใหม่ๆมาตลอด อย่างเล่ม 5.0 นี้ก็เน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีทันสมัยเข้ากับการตลาดที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1
เกริ่นมาถึงตรงนี้แล้วคาดว่าทุกคนน่าจะอยากรู้เนื้อหาด้านในกันแล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเองครับ
*** เนื้อหาที่สรุปจะคัดมาในส่วนที่ผมชอบ และอยากนำมาแบ่งปัน ซึ่งจะครอบคลุมเนื้อหาเพียง 20% เท่านั้น ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถไปตามหามาอ่านกันได้เลยครับ
ท้าวความ Concept ของซีรี่ส์ Marketing X.0 กันซักหน่อย ว่าแต่ละเล่มมีเนื้อหาคร่าวๆอย่างไรบ้าง
Marketing 1.0 - Product Driven
เน้นความมีประสิทธิภาพของสินค้า พยายามยัดเยียดความพิเศษให้เยอะไว้ก่อน
Marketing 2.0 - Customer Oriented
เริ่มใส่ใจกับความรู้สึกของลูกค้า ว่าลึกๆแล้วต้องการอะไรจริงๆ
Marketing 3.0 - Human Centric
เริ่มให้คุณค่าที่มากกว่าสิ่งของ นั่นคือความมีคุณค่าทางใจ
Marketing 4.0 - The Pivot to Digital
เป็นการเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลในช่วงแรกๆ ซึ่งตอนนั้นเครื่องเทคโนโลยีต่างๆยังไม่ก้าวหน้าเหมือนตอนนี้
และก็มาถึงเล่มนี้ Marketing 5.0 นั้นจะเปรียบเสมือนการรวมร่างกันของ Marketing 3.0 กับ 4.0 เข้าด้วยกัน เพราะมันคือการการเข้าถึงลูกค้า เพิ่มคุณค่าทางจิตใจทั้งในรูปแบบของ Product และ Service รวมถึงนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยอย่างเต็มที่ และจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้นนั่นเองครับ
🟢🟢 Challenges in Digital World - ความท้าทายที่นักการตลาดจะต้องเจอ
ความท้าทายอันดับแรกที่สำคัญที่สุดของยุคนี้ก็คือ Generation Gap หรือช่องว่างระหว่างวัยนั่นเองครับ เพราะในโลกเราปัจจุบันจะมีทั้ง คนสูงอายุ (ทั้งที่ใช้อินเตอร์เน็ตได้ , ใช้ไม่ได้ และไม่คิดจะใช้) ลากยาวไปจนถึงวัยรุ่น/วัยเด็กที่เกิดมาพร้อมอินเตอร์เน็ต (จนไม่รู้จักการใช้ชีวิตที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตแล้วด้วยซ้ำ)
ดังนั้นการทำการตลาดเพื่อเข้าถึงทุกคนทุกวัยอาจจะเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในยุคนี้เลยก็เป็นได้ครับ เราลองมาดูลักษณะของแต่ละ Generation กันซักนิดนึง
👴🏻👵🏻 Baby Boomer (1946-1964)
Gen คือรุ่นที่มีอายุมากที่สุด และในขณะเดียวกันก็มี Purchasing Power (กำลังซื้อ) มากที่สุดในระบบด้วย แต่ปัญหาคือจะไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลได้อย่างเต็มที่
🧔🏻‍♂️👩🏻‍🦳 Generation X (1965-1980)
เป็น Gen ที่ถูกพูดถึงน้อย ด้วยปริมาณที่น้อยกว่า และถึงจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะ Boomers ได้ เป็นกลุ่มที่ผ่านการเปลี่ยนถ่ายทางเทคโนโลยีมาครบทุกสมัย ตั้งแต่เพจเจอร์ มาจนถึงสมาร์ทโฟน
1
👨🏻‍🦰👩🏻‍🦰 Generation Y (1981-1996)
ลูกของเหล่า Boomers (แอดก็วัยนี้เช่นกัน) เป็น Gen ที่เริ่มใช้ Social Media เป็นรุ่นแรกๆ และเป็นวัยที่ชอบอวด ชอบโพสต์ และเปรียบตัวเองกับเพื่อในวัยเดียวกัน เป็น Gen ที่ชอบการครอบครอง อยากได้อะไรต้องซื้อมาเก็บไว้
2
🧑🏻👩🏻 Generation Z (1997-2009)
วัยรุ่นที่ผ่านช่วงยากลำบากของพ่อแม่มา (เป็นวัยเด็กที่จะเห็นพ่อแม่ลำบากจากพิษเศรษฐกิจต่างๆ) จึงจะมีความรู้ในการบริหารเงินมากกว่ารุ่นก่อนหน้า เกิดมาพร้อมอินเตอร์เนต และเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้ สามารถเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้นได้
*** ฟังดูพระเอกเนอะ แต่จริง จากประสบการณ์ที่เห็นรุ่นน้องวัยนี้หลายคนเลือกทำงานเพื่อสังคมมากกว่าเพื่อตัวเองซะอีก
👦🏻👧🏻Generation Alpha (2010-2025)
Gen สุดท้ายที่เป็น Pure Tech คือเกิดมาพร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากมายจนไม่สามารถจินตนาการชีวิตแบบพ่อๆแม่ๆได้แล้ว เป็นวัยที่มี Screentime การอยู่หน้าจอสูงมากๆ และมีแนวโน้มจะเป็นวัยที่เชื่อการรีวิวของ Influencers สูง
💥 ความยากและท้าทายอย่างแรกก็คือจะทำการตลาดแบบไหน จึงจะสามารถเจาะทุก Gen ได้ หรือต่อให้อยากจะเจาะแค่บาง Gen ให้ได้ประสิทธิภาพ ก็จะต้องเข้าใจ Lifestyles ของแต่ละ Gen เป็นอย่างมากด้วยครับ
💥💥 ความยากที่สองคือความแตกต่างของฐานะ เพราะ Gen ที่มีฐานะร่ำรวยพร้อมเปย์ที่สุดอย่าง Boomers จะเข้าถึงด้วย Digital ยาก ส่วน Gen ที่เข้าถึงง่ายที่สุดนั้นก็จะยังไม่มีฐานะอะไรนัก ทำให้การวางแผนต่างๆจะต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย
1
🔵🔵 New Strategies - แบบแผนใหม่เพื่อตีตลาดยุคดิจิตอล
แบบแผนใหม่ที่ว่านี้จะต้องเป็นการปฏิวัติการวางแผนที่มีมาในอดีตทั้งหมด เป็นแผนใหม่ที่พร้อมต่อการลุยด้านดิจิตอลอย่างเต็มตัวครับ โดยจะมีการปรับเปลี่ยน Core Strategy ทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่
1
— — — — — — — — — — —
🏬 The Digital Ready Organization - ปรับองค์กรให้พร้อมกับความเป็นดิจิตอล
การที่จะประสบความสำเร็จใน Marketing 5.0 ได้นั้นจะต้องปรับองค์กรให้พร้อมต่อการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใบ้ให้เกิดประสิทธิภาพ ถ้าองค์กรใดยังคงใช้ระบบเก่าๆ และไม่มีการ Train พนักงานให้คุ้นเคยกับเครื่องมือใหม่ๆ ก็จะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
ถ้าใครนึกภาพไม่ออกลองนึกถึงบริษัทที่มีระบบทันสมัยมาก แต่พนักงาน Frontline ใช้โปรแกรมอะไรไม่เป็นเลย สุดท้ายระบบที่ดีก็เป็นแค่ซอฟต์แวร์ราคาแพง ที่ไม่ได้สร้างมูลค่าใดๆ
การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลนั้นก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร บางที่พร้อมและปรับตัวได้เร็ว แต่บางที่ก็ยังมีความ Analog และปรับตัวได้ยาก ซึ่งเราน่าจะเห็นความแตกต่างกันแล้วกับช่วง Pandemic ที่ผ่านมานี้ ในส่วนนี้ไว้จะมาเล่าให้ฟังในโอกาสหน้านะครับ
4
— — — — — — — — — — —
🚀 The Next Tech - เทคโนโลยีใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนออกมาในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมานี้เอง ทำให้มีการพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ๆที่ก้าวหน้าไปมากกว่าเล่ม 4.0 เรามาดูกันว่าเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญนั้นมีอะไรบ้าง
Open-Source Software : ซอฟต์แวร์ที่เปิดให้หลายๆคนเข้าไปร่วมพัฒนา เป็นอีกเทคโนโลยีที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และช่วยประหยัดต้นทุนอีกด้วย
Cloud Computing : ระบบการเก็บข้อมูลแบบก้อนเมฆนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องมี Harddisk ขนาดใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญๆขององค์กร แต่สามารถฝากข้อมูลดังกล่าวไว้บนเครือข่าย Internet
นอกจากจะช่วยประหยัดต้นทุนแล้ว ยังช่วยให้เกิดการกระจายข้อมูลที่ดี และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานทุกๆคนได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศ ซึ่งเราจะเห็นจากช่วง Work from Home ที่ผ่านมาชัดเจนมากว่าองค์กรที่ใช้ Cloud Computing ได้ดีจะมีปัญหาในการทำงานน้อยมากๆ
2
Big Data : การเก็บข้อมูลแบบ Big Data และนำมาวิเคราะห์นั้นเป็นอีกเครื่องมือที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าองค์กรใดนำมาใช้ได้ดีก็จะได้เปรียบองค์กรอื่นอย่างมาก
*** นอกเหนือจาก 3 ตัวนี้ก็ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆอีกนะครับ ใครสนใจสามารถหาอ่านจากในหนังสือได้เลยครับผม
— — — — — — — — — — —
1
📲 The New Customer Experience (CX) - ประสบการณ์ใหม่ที่จะช่วยดึงดูดลูกค้า
การทำการตลาดในยุคดิจิตอลนั้นไม่ใช่ว่าคุณจะสามารถโยนทุกอย่างให้เทคโนโลยีเป็นคนจัดการ เพราะ บางอย่างหุ่นยนต์หรือซอฟต์แวร์ต่างๆก็ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้อย่างเต็มที่
1
การจัดการ CX โดยการผสมผสานมนุษย์และหุ่นยนต์เข้าด้วยกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม จึงเป็นทางเลือกที่ดีสุดในการให้บริการกับลูกค้าในยุคนี้
1
ทีนี้อัตราส่วนที่เหมาะสมหมายความว่าอย่างไรนั้น ผมขอสรุปสั้นๆง่ายตรงนี้ว่า ปัญหาอะไรที่ง่ายๆ และไม่ต้องความรู้สึก ปัญหานั้นโยนให้หุ่นยนต์ (เช่น Chatbot) ในการจัดการได้เลย ส่วนปัญหาอะไรที่ซับซ้อน และมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า ปัญหานั้นต้องเป็นมนุษย์จัดการเท่านั้นครับ
*** แต่ Chatbot ที่นำมาใช้แก้ปัญหาง่ายๆ ก็ต้องใช้ง่ายด้วยนะครับ ส่วนตัวผมมีประสบการณ์จากการยกเลิกตั๋วเครื่องบินผ่าน Chatbot เจ้านึง แล้วไม่มีประสิทธิภาพเลย เจอแบบนี้ก็จะทำให้ผู้บริโภคเสียความรู้สึกเพิ่มได้ด้วยเช่นกันครับ
🔴🔴 New Tactics - แทคติคใหม่ที่พลิกโฉมการตลาดแบบเก่าๆ
การตลาดแบบเดิมๆที่เคยใช้ในอดีต จะต้องถูกพลิกโฉมและปฏิวัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นครับ และสิ่งที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากตรงนี้คือการเลือกใช้ Tech ต่างๆในการตอบสนองลูกค้า และอำนวยความสะดวกแก่พนักงานเพื่อยกระดับความพึงพอใจให้ได้มากยิ่งขึ้น
1
การตลาดแบบใหม่ๆที่จะถูกอัพสกิลให้เหนือกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยีนั้นแบ่งคร่าวๆออกมาได้ 5 ประเภท พร้อมตัวอย่างจากบริษัทระดับโลก ตามนี้เลยครับ
— — — — — — — — — — —
💻 Data-Driven Marketing : การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
การนำข้อมูลแบบ Big Data มาวิเคราะห์และต่อยอดให้เกิดประสิทธิภาพ ก็จะสร้างความแตกต่างได้อย่างมากครับ
ตัวอย่าง : ในปี 2012 Target เคยใช้ข้อมูลการซื้อสินค้าและสามารถวิเคราะห์ได้ว่าลูกค้าคนไหนกำลังตั้งครรภ์ และสามารถแนะนำสินค้าให้ได้ก่อนที่สามีจะรู้อีกว่าภรรยาของตนตั้งท้อง
💡 Predictive Marketing : การตลาดคาดเดา
การคาดเดาในที่นี้หมายถึงคาดเดาว่าผลิตภัณฑ์ / บริการต่างที่บริษัทกำลังจะนำเสนอนั้นมีแนวโน้มจะขายได้มากน้อยแค่ไหน โดยใช้ข้อมูลในอดีตช่วย การ Predict แบบนี้จะทำให้หลายๆองค์กรลดความล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการออกผลิตภัณฑ์โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุนได้
ตัวอย่าง : ทีมเบสบอล Oakland Athletic เคยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเลือกเซ็นสัญญากับนักกีฬาที่มีผลงานในเชิงสถิติที่ดี แต่ค่าตัวไม่แพง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทีม Liverpool ทำตามจนสามารถประสบความสำเร็จได้
🏠 Contextual Marketing : การตลาดแบบมีบริบท/เนื้อหา
การตลาดแบบนี้จะช่วยเพิ่มความหมายให้กับผลิตภัณฑ์ เพิ่มความสะดวกสบาย และเพิ่มคุณค่าทางใจให้แก่ผู้บริโภคได้ด้วย
ตัวอย่าง : Walgreen ใช้ Smart Cooler ซึ่งเป็นตู้เย็นที่มีหน้าจออยู่ และใช้เซนเซอร์ในการวิเคราะห์ลูกค้าก่อนจะนำเสนอสินค้าที่คาดว่าเหมาะสมกับลูกค้า ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้ในเกือบทุกสาขาที่มีการติดตั้ง Smart Cooler นี้ไว้เลย
🤖 Augmented Marketing : การตลาดแบบใช้เทคโนโลยีเสริม
1
การตลาดแบบใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการให้บริการ และตอบสนองแก่ลูกค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้งสองฝ่าย
ตัวอย่าง : Sephora ใช้ซอฟต์แวร์ Digital Makeover Guide ในการช่วยเลือกเครื่องสำอางค์เบอร์ต่างๆให้แก่ Makeup Artist ใช้บริการลูกค้า อีกทั้งยังมีระบบในการจดจำสินค้าเหล่านั้นให้แก่ลูกค้าเพื่อเอาไว้ซื้อใช้ในอนาคตอีกด้วย
🛩 Agile Marketing : การตลาดแบบรวดเร็ว/ว่องไว
การตลาดแบบรวดเร็ว และว่องไว ใช้ทีมที่มาจากหลายๆภาคส่วน มีอิสระในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายด้วยเวลาที่สั้นที่สุด
ตัวอย่าง : Zara ที่สามารถใช้ Agile Marketing ในการออกแบบ ตัดเย็บ และวางขายสินค้าแฟชั่นได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่าเพิ่งจัดงานแฟชั่นวีคไปไม่นาน เสื้อผ้าแบบคล้ายกันก็วางขายที่ Zara ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
Conclusion - สรุปเนื้อหา
ใจความสำคัญที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ในฐานะผู้บริโภคคนนึงคือเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้นกำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแย่งชิงลูกค้าและพื้นที่โฆษณาอย่างมาก และผู้บริโภคอย่างเราก็จะถูกยิงโฆษณาที่เป็น Personalized มากขึ้น และจะเข้าถึงตัวเราได้หลายทางมากขึ้นอีกด้วย
*** มันจะตามหลอกหลอนเราไปทุกที่ครับ จะเป็น Application ไหนก็ได้ ในบ้านหรือนอกบ้านมันจะตามเราไปจนหมด 🤣🤣
ถ้าจะมองว่าดี ก็ดีครับ เพราะเราจะได้รับแต่ Messages ที่คัดเลือกมาแล้วว่าเหมาะกับ / ที่เราสนใจ รวมไปถึงอาจจะเกิดการแข่งขันกันจนผู้บริโภคอย่างเราได้ประโยชน์จากบริการที่ดีขึ้น หรือราคาสินค้าที่ถูกลง แต่สำหรับใครที่ชอบความ Privacy ก็อาจจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
ถ้ามองในมุมของคนทำธุรกิจ ก็จะเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ต้องข้ามไปให้ได้เลยครับ เพราะถ้าไม่ปรับตัวนำเทคต่างๆเหล่านี้มาใช้ในการเข้าหาลูกค้า เราก็จะไม่สามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นๆได้อย่างแน่นอน
ใครที่สามารถสร้างระบบที่ดี เร็ว และมีประสิทธิภาพได้ก็มีโอกาสกินรวบ และสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้าได้ยาวๆเลยครับผม
🌟 แนะนำส่วนลด Marketing Courses สำหรับว่าที่นักการตลาด 5.0 🌟
📌 ทักษะเดิมที่คุณมีอยู่...อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
วันนี้เพจเล่า มีแจกโค้ดลด 50% ให้กับแฟนเพจครับ !!
คลิกรับสิทธิ์ และดูรายละเอียดได้ที่ : https://page.futureskill.co/fsxlao
2
โค้ดลด 50% : FSXLAO50
หากต้องการความช่วยเหลือหรือมีข้อสงสัยใดสามารถสอบถามทางเจ้าหน้าที่โดยตรงได้ที่ http://m.me/futureskill.co
สำหรับวันนี้จบเพียงเท่านี้ครับ
ถ้าใครชอบเนื้อหาเน้นๆตามสไตล์เพจ “เล่า” ของผมก็สามารถกด Like เพจเพื่อติดตามเนื้อหาใหม่ๆของทางเพจได้นะครับ จะมีมาเล่าให้ในหลายๆเรื่องเลย ตามเพจเล่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะแอดมินขี้โม้ หามาเล่าได้ทุกเรื่องครับ 😂😂
อยากให้เล่าเรื่องไหน รีเควสได้ ถ้าไม่นอกเหนือความสามารถก็จะไปหามาให้ครับ 😎😎
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
Clubhouse : @withptns , เล่า’s Bookclub
Facebook “เล่า” : https://www.facebook.com/lao.unfold
Instagram “เล่า” @withptns : https://instagram.com/withptns
Twitter “เล่า” @withptns : https://twitter.com/withptns
ติดต่อโฆษณา ฝากลิ้งค์สั่งหนังสือ หรือ ติดต่อร่วมงานกับเพจ “เล่า” ได้ที่อีเมล์ ptns81@gmail.com ครับ
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #Marketing5.0 #PhilipKotler
โฆษณา