Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
13 Story
•
ติดตาม
23 มิ.ย. 2021 เวลา 16:22 • นิยาย เรื่องสั้น
เสียงไวโอลีนโหยหวนลอยฝ่าความมืด มาจากตึกดนตรีที่อยู่ติดๆกัน นี่มันก็ปาเข้าไปจะตี3อยู่แล้ว! ใครหนอช่างมามีอารมณ์สุนทรีย์ตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงหัวค่ำ
ผมและเพื่อนร่วมชั้นเรียนศิลปกรรมปี1
ยี่สิบกว่าคนนัดรวมตัวกันมาวาดรูปที่ช็อปของคณะ เนื่องจากอาจารย์มอบหมายงานให้วาดรูปพระราชกรณียกิจของในหลวง ร.9 ซึ่งจะเอาไปติดหน้ามหาวิทยาลัยในวันที่5 ธันวาคมที่กำลังจะมาถึง
เนื่องจากรูปมีขนาดใหญ่มาก1.20 x 2.40 เมตร ซึ่งพวกเราก็คงไม่มีปัญญาแบกกลับไปวาดที่บ้านหรือหอพักได้ จึงจำเป็นต้องมาทำงานและนอนค้างคืนกันที่นี่
รูปนี้ผู้เขียนถ่ายสมัยเรียนอยู่ปี2 ที่ด้านหน้าตึกคณะ ด้านซ้ายของรูปถัดออกไปราว10เมตรคือตึกภาควิชาดนตรี
ผมซึ่งหอพักอยู่ไม่ห่างมหาวิทยาลัยมากนัก จึงขนมาแต่อุปกรณ์วาดรูปเฉพาะพวกสีกับภู่กัน จับยัดใส่กระเป๋าสะพายใบย่อมๆมาใบเดียวก็เป็นอันจบ
แต่สำหรับเพื่อนบางคนที่ไม่ได้อยู่หอ แต่บ้านอยู่ต่างอำเภอนี่สิ หอบข้าวของพะรุงพะรังกันมาเลย
"แม่เจ้าโว้ย!!..นี่ย้ายของมา กะจะอยู่จนเรียนจบปี4เลยรึไงครับน้องหญิง"
เพื่อนเอ่ยปากแซวทันทีที่เห็นน้องหญิงสะพายเป้ใบมหึมา มือขวาหิ้วพัดลม มือซ้ายหิ้วกระติกน้ำร้อนเดินโซซัดโซเซเข้ามาในช็อป
( ขอนอกเรื่องนิดนึงนะครับ ชื่อน้องหญิงนี่คือชื่อจริงๆของเพื่อนผมนะครับ เธอชื่อน.ส.น้องหญิง ผมยังเคยแซวเธออยู่เลยว่า ถ้าแก่ตัวไปนี่คงตลกน่าดู ลูกหลานจะเรียกแกว่ายังไงวะเนี่ย คุณยายน้องหญิง ฮ่าๆ ฟังแล้วจั๊กกะจี้พิกล )
1
ตึกศิลป์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีที่ผมเรียนอยู่ในสมัยปี2539 เป็นอาคาร2ชั้นเล็กๆ ชั้นบนใช้เป็นห้องเรียน ด้านล่างแบ่งเป็นห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชา และห้องปฏิบัติการต่างๆรวมทั้งช็อปทำงาน เป็นอาคารเรียนเก่าๆที่อยู่ท้ายสุดของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่เคียงคู่กับตึกภาควิชาดนตรี ตึก2หลังนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ราวกับพี่น้องฝาแฝดที่คลานตามกันออกมา
ใครที่เลือกเรียนวิชาเอกดนตรีหรือศิลปะแล้วไม่มีมอเตอร์ไซค์ ควรพกยาดมติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะคุณมีสิทธิ์เป็นลมตายระหว่างทางที่เดินมาเรียน เนื่องจากระยะทางจากปากประตูทางเข้ามาถึงตึกเรียน บอกได้คำเดียวเลยว่า โครตไกล!
1
คืนนั้นพวกเราต่างคนต่างทำงานของตัวเองกันไป เมื่อยก็พักเดินยืดเส้นยืดสายดูรูปของคนอื่นบ้าง บางคนดูไม่ดูเปล่าเอาสีไปป้ายใส่รูปเขาอีก คือมันกลัวเพื่อนจะเสร็จเร็วเดี๋ยวไม่มีใครอยู่ทำงานเป็นเพื่อน
ทำไปเล่นไปจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงตี2กว่าๆ
ช่วงนั้นทุกคนต่างคนต่างง่วนอยู่กับรูปของตัวเอง ก้มหน้าก้มตาทำงานกันไปเงียบๆ บรรยากาศตอนนั้นมันเงียบสงัดเข้าขั้นวังเวงเลยทีเดียว เงียบซะจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของเพื่อนคนที่อยู่ข้างๆ
"ไอ้เอมึงเปลี่ยนช่องวิทยุทีสิวะ รายการอะไรวะเนี่ย แม่งเปิดเพลงโครตหลอนเลย ดึกๆดื่นๆดันมาเปิดเพลงเดี่ยวไวโอลีน"
ไอ้เหนาะหันไปตะโกนบอกไอ้เอที่นั่งอยู่ข้างๆวิทยุ ไอ้เอหันไปมองวิทยุ แล้วมันก็จ้องเขม็งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลุกเดินมาพูดกับไอ้เหนาะว่า
"วิทยุมันปิดอยู่ จริงๆมันไม่ได้เปิดเลยนะคืนนี้ เพราะกูลืมหยิบปลั๊กมา"
"อ้าว..แล้วเสียงเพลงมันดังมาจากไหนวะเนี่ย อย่าบอกนะ...ว่ากูได้ยินอยู่คนเดียว!!!"
ไอ้เหนาะทิ้งภู่กันในมือเริ่มเดินเบียดมาทางผมที่วาดรูปอยู่ติดๆกับมัน
"ไม่หรอก กูก็ได้ยิน"ผมบอกพร้อมกับหันไปถามไอ้เอ "มึงได้ยินเปล่าวะเอ"
"เออกูก็ได้ยิน!"
แค่นั้นแหละ...ยี่สิบกว่าชีวิตในภายในช็อปต่างพร้อมใจกันวิ่งกรูไปอัดแน่นเป็นปลากระป๋องกันอยู่ตรงมุมห้อง เนื่องจากตอนที่เรา3คนคุยกัน ทุกคนมันก็ตั้งใจฟังกันอยู่แล้ว และที่สำคัญพวกมันก็ได้ยินเสียงเพลงกันทุกคน
ถ้าใครนึกภาพพวกเราตอนนี้ไม่ออก ขอให้นึกถึงพวกกวางหนีตายที่โดนฝูงสิงโตต้อนเข้าไปเจอทางตันในช่องเขาแคบๆ คืออารมณ์มันจะบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียวเลย ทั้งๆที่รู้ก็รู้ว่ามันไปไม่ได้
"เฮ้ย..! ขอแทรกเข้าไปหน่อย" ไอ้คนที่อยู่นอกสุดตะกุยตะกายพยามยามจะยัดตัวเองเข้าไปอยู่ตรงกลางให้ได้
"โอ้ย...จะเบียดกันเข้ามาทำไมนักหนาเนี่ย แยกย้ายไปแอบตรงอื่นกันมั่งก็ได้ " เสียงของไอ้คนที่อยู่ตรงกลางร้องเอะอะ
"ใครจับนมกู!!!!!"เสียงน้องหญิงโวยวาย
1
กว่าจะสงบและตั้งสติกันได้ ก็ชุลมุลวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ คราวนี้ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเพื่อจะตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นมันยังดังอยู่หรือไม่..? และมันดังมาจากทิศทางไหน..?
ปรากฏว่ามันยังดังอยู่!!!
ซึ่งพวกเราได้ยินกันทุกคน และลงความเห็นตรงกันว่ามันดังมาจากทางตึกดนตรีที่อยู่ติดๆกัน
ซึ่งตึกดังกล่าวตอนนี้ไม่มีไฟเปิดอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว ถ้ามีคนอยู่อย่างน้อยก็ต้องมีแสงไฟเล็ดลอดออกมาให้เห็นกันบ้างล่ะ
"หรือว่ามีใครในตึกลืมเปิดเทปเพลงทิ้งเอาไว้ "
เพื่อนคนหนึ่งพยายามเสนอทฤษฎี แต่ก็เป็นต้องอันตกไปเพราะเทปคาสเซทสมัยนั้นหน้านึงมีความยาวเต็มที่แค่60 นาที แต่นี่มันดังมาเกือบ3ชั่วโมง ฉะนั้นเรื่องเปิดเทปตัดทิ้งไปได้เลย
แล้วจู่ๆผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้มีอาจารย์ประจำภาควิชาดนตรีท่านหนึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป แกชื่ออาจารย์บริวรรณ เป็นผู้ชายตัวเล็กๆท่าทางใจดี อายุแกตอนที่เสียชีวิตน่าจะราวๆ40กว่า แกเสียชีวิตด้วยโรคหอบหืดหรืออะไรประมาณนี้แหละเท่าที่ผมทราบ
พอผมนำเรื่องนี้มาเล่าให้ทุกคนฟัง คราวนี้งานการไม่เป็นอันต้องทำกันล่ะ จับกลุ่มสุมหัววิเคราะห์กันเป็นการใหญ่
เพราะเมื่อเทอมที่แล้วห้องเรามีลงเรียนวิชาของแกด้วย ดังนั้นทุกคนจึงรู้จักแกดี ชั่วโมงที่แกสอนแกจะชอบเปิดพวกเพลงคลาสสิคให้เราฟัง ของโมสาทบ้าง บีโทเฟ่นบ้าง แต่ศิลปินที่แกโปรดปรานเป็นพิเศษกลับกลายเป็น ศุ บุญเลี้ยง แปลกว่ะ..ผมจำได้ไงก็ไม่รู้ อาจจะเพราะเทอมนั้นมีผมคนเดียวที่ได้Aวิชาของแก (และภายหลังผมภาคภูมิใจในเกรดAตัวนี้มาก เพราะได้รู้ว่าตั้งแต่แกสอนที่นี่มา แกไม่เคยให้Aใครเลยแม้แต่คนเดียว พูดแล้วก็ขนลุก)
คืนนั้นพวกเรานั่งคุยกันยันสว่าง ไม่มีใครสังเกตเลยว่าเสียงไวโอลีนนั่นเงียบไปตอนไหน แต่ที่แน่ๆคืนต่อมาไม่มีใครกล้าไปวาดรูปที่ช็อปกันสักคน
ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้นะ แต่ผมว่าอาจารย์แกเป็นศิลปิน แกคงจะมาบรรเลงไวโอลีนขับกล่อมให้พวกเราฟังเป็นครั้งสุดท้าย เสมือนเป็นการบอกลา
13story
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย