24 มิ.ย. 2021 เวลา 05:06 • กีฬา
ยูโร 2020 รอบแบ่งกลุ่มจบลงไปแล้ว สำหรับคนที่อาจไม่ได้ดูทุกเกม ผมขออนุญาตสรุปทุกอย่างที่ควรรู้เอาไว้ในโพสต์นี้นะครับ
2
คิดว่ามีหลายๆ คน ที่มีความรับผิดชอบอื่นๆ เยอะ ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องการงาน เลยอาจจะไม่ได้ดูครบทุกคู่ ยิ่งบวกกับ การที่ทัวร์นาเมนต์นี้ มีแข่ง 24 ทีม เอาเข้ารอบตั้ง 16 ทีม ตกรอบไปแค่ 8 ทีมเอง บางคนก็เลยรู้สึกว่า เออ เดี่ยวรอบลึกๆกว่านี้ ค่อยตั้งใจดูก็ได้
1
ดังนั้นโพสต์นี้จะสรุปสาระสำคัญที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้เราพอเห็นภาพทั้งหมดนะครับ
1
แน่นอนครับ ว่าพอเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกเกมมีความหมายหมด แพ้ปั๊บก็จบเลย ต้องรออีก 4 ปี ความรู้สึกของแฟนบอลก็จะตื่นเต้นตามไปด้วย
5
ดังนั้นก่อนที่เราจะไปออกสตาร์ตในรอบน็อกเอาต์ คืนวันเสาร์นี้ เราจะไปสรุปทุกอย่างที่เห็น จากรอบแบ่งกลุ่มกัน ว่ามี Talking Points อะไรบ้าง ที่น่าจดจำในยูโรครั้งนี้
[ 1- อิตาลีร่างใหม่ ไม่มีคาเตนัคโช่ ]
เมื่อเราพูดถึงทีมชาติอิตาลี เราจะคิดถึงเกมรับอันเหนียวแน่น การป้องกันให้แข็งไว้ก่อน แล้วเอาชนะคู่แข่งด้วยเกมโต้กลับเร็ว ให้จบด้วยสกอร์ 1-0 แต่อิตาลีในชุดปัจจุบันของโรแบร์โต้ มันชินี่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย พวกเขาคือทีมจอมบุก แนวรุกโจมตีดาหน้าใส่คู่แข่ง แถมไล่เพรสซิ่งแดนบนกันอย่างน่ากลัว ชนิดที่นึกไม่ออก ว่าเป็นอิตาลีที่เรารู้จัก
2
อิตาลีชนะรวด 3 เกม ยิง 7 เสีย 0 พวกเขาเป็นทีมที่มีลูกได้เสียดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ (+7) ตอนนี้ที่อิตาลีกำลังเครซี่กันสุดเหวี่ยง บอกว่าใน 1 ทศวรรษ พวกเขาจะได้เข้าชิงยูโรอย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนหน้านี้เคยเข้าชิงในปี 2000 ตามด้วยปี 2012 และคราวนี้ปี 2021 ก็เชื่อว่าชะตาฟ้าลิขิต จะผลักดันพวกเขาสู่นัดชิงชนะเลิศได้
2
อิตาลี เล่นได้น่าประทับใจมากๆ ในรอบแรกก็จริง จนกระโดดขึ้นมาเต็ง 4 ที่จะได้แชมป์ (จากตอนเริ่มทัวร์นาเมนต์อยู่เต็ง 7) เกมรุกดี เกมรับยอด แม้สตาร์จะไม่มีใครเด่นสุดๆ เหมือนทีมอื่นก็ตาม แต่เอาจริงๆ บททดสอบยากๆ ของอิตาลี ยังไม่มาถึง รอบแบ่งกลุ่ม อิตาลีเจอ ตุรกี เวลส์ และ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เล่นในบ้าน 3 เกมรวดอีกด้วย
คำถามคือในรอบน็อกเอาต์ เมื่อไม่ได้เล่นในบ้านตัวเองแล้ว แถมต้องอยู่สายบน ที่เจอโปรแกรมหนักๆ ตลอดทาง อิตาลีจะยังคงสร้างความประทับใจต่อไปได้อีกหรือไม่?
[ 2 - เลวานดอฟสกี้ ฝันสลาย ]
1
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ มีลุ้นจะได้บัลลงดอร์เหมือนกัน เพราะในปีนี้เขายิงประตูกระจุยให้บาเยิร์น มิวนิค จนเป็นสถิติบุนเดสลีกา ดังนั้นหลายคนบอกว่า ถ้าหากโปแลนด์ ทะลุเข้าถึงสักรอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือรอบรองชนะเลิศ ก็มีโอกาสดีที่เลวานดอฟสกี้ จะได้ลุ้นบัลลงดอร์เต็มๆ ในปีนี้
แต่สุดท้ายโปแลนด์ก็ตกรอบแรกไปแล้ว แม้เลวานดอฟสกี้จะยิงได้ 3 ประตู ก็ไม่มีความหมายอะไร ในฟุตบอลทีมชาติ เป็นไปไม่ได้เลยที่นักเตะคนเดียวจะแบกทีมได้ ถ้าองค์ประกอบไม่ดีพอ ทีมก็รอดยาก
[ 3 - จิตใจสุดแกร่งของเดนมาร์ก ]
2
เดนมาร์ก เจอมรสุมตั้งแต่เกมแรกสุดของทัวร์นาเมนต์ เมื่อคีย์แมนเบอร์ 1 ของทีม คริสเตียน อีริคเซ่น หัวใจหยุดเต้นกะทันหันระหว่างแข่งขัน จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด บรรยากาศในทีมเต็มไปด้วยความหดหู่ และเกมแรกสุดก็แพ้ ฟินแลนด์คาบ้านไป 1-0 จากนั้นเกมต่อมา เจอเต็งแชมป์เบลเยี่ยม ก็ต้านไม่ไหวอีก แพ้ไป 2-1 กลายเป็นแพ้ 2 เกมแรก โอกาสเข้ารอบต่อไปริบหรี่มาก
อย่างไรก็ตาม เดนมาร์กไม่ยอมแพ้ และนำเรื่องของอีริคเซ่นมาเป็นแรงกระตุ้นให้กับทีม จนเข้าสู่เกมที่ 3 ที่เจอกับรัสเซีย เดนมาร์กเอาชนะได้ขาดลอย 4-1 ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ และเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ยูโร ที่แพ้ 2 เกมแรก แต่เข้ารอบน็อกเอาต์ได้ ด้วยการชนะนัดสุดท้ายแค่เกมเดียว
1
ขณะที่คริสเตียน อีริคเซ่น ตอนนี้ ไม่สามารถกลับมาเล่นได้แล้วทั้งทัวร์นาเมนต์ แต่เขาก็ส่งใจให้เพื่อนๆจากข้างสนาม
1
อีกสิ่งที่น่าทึ่งมากของเดนมาร์ก ที่คนพูดถึงกันอยู่ คือกระบวนการช่วยชีวิตอีรีคเซ่น ทีมแพทย์ และทุกคนที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่จะเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนทั้งโลกได้เห็นว่า ความสำคัญของการ CPR มันมีคุณค่าแค่ไหน
[ 4 - อังกฤษ ไม่ใช้เจดอน ซานโช่ ]
1
เจดอน ซานโช่ คือ Rising Star เป็นผู้เล่นที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้เล่นแชมเปี้ยนส์ลีกทุกปี ใครๆก็มองว่าเขาการันตีตำแหน่งตัวจริงทีมชาติอังกฤษแน่ แต่เอาเข้าจริงๆ ซานโช่ เป็นชอยส์ท้ายๆ ที่แกเร็ธ เซาธ์เกต จะนึกถึง
1
ในสองเกมแรกของอังกฤษ เซาธ์เกตใช้งาน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ฟิล โฟเด้น เล่นปีกซ้ายขวา จากนั้นในเกมกับเช็ก นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เขาเลือกใช้งาน สเตอร์ลิ่ง กับ บูกาโย่ ซาก้า ว่ากันง่ายๆ ไม่มีพื้นที่ให้ซานโช่เลย มีได้ลงมาเป็นสำรองราวๆ 5 นาที แต่ไม่มีบทบาทอะไรกับเกมของทีม
1
หลายคนตั้งคำถามว่าทำไม? เพราะถ้าวัดที่ประสบการณ์ ซานโช่ เหนือกว่าซาก้าแน่ๆ จึงมีการโยงไปที่ประเด็นเรื่องสมาธิในการซื้อขายย้ายตัว ที่ซานโช่ตกเป็นข่าวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนหลัง ซึ่งมีนักวิเคราะห์บางคนบอกว่า เรื่องนี้อาจทำให้ซานโช่เสียสมาธิ และเซาธ์เกตก็ไม่อยากเสี่ยง
3
แต่บางคนก็บอกว่า อาจจะไม่เกี่ยวกับประเด็นซื้อขายก็ได้ แต่เซาธ์เกตไว้ใจคนอื่นมากกว่าก็แค่นั้น
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ที่แน่ๆ ซานโช่ ต้องรอคอยโอกาสของตัวเองต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่
1
[ 5 - อังกฤษเวอร์ชั่นเน้นเกมรับ มากกว่ารุก ]
ทั้งๆที่ อังกฤษทีมนี้ มีตัวรุกเกรดเอ มากมายไปหมด แต่แกเร็ธ เซาธ์เกต ยังวางแนวทางการทำทีมชัดเจน เหมือนตั้งแต่ในฟุตบอลโลก 2018 นั่นคือ เกมรับต้องมาก่อน ความเหนียวแน่น คือคีย์สำคัญสู่ความสำเร็จ ในบรรดา 16 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ อังกฤษคือทีมที่ยิงประตูได้น้อยที่สุด แค่ 2 ลูกเท่านั้น
ถ้าเราดูจากการจัดแผนของอังกฤษ พวกเขาจะใช้มิดฟิลด์ตัวรับ 2 คนเสมอ นั่นคือ ดีแคลน ไรซ์ และ คาลวิน ฟิลลิปส์ เน้นตรงกลางให้ปึ้กก่อน ตัวรุกมีน้อยๆ ไม่เป็นไร แต่ต้องมีตัวรับเยอะ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งเข้ามายิงได้
นักเตะเอาต์ฟิลด์คนเดียวในทีมของเซาธ์เกต ที่ได้ลงเล่นทุกนัดทุกนาที คือคาลวิน ฟิลลิปส์ แสดงให้เห็นเลยว่าในสไตล์การทำทีมของเซาธ์เกตคือ กลุ่มตัวรับ มีความสำคัญมากจริงๆ
2
แน่นอน การโฟกัสที่เกมรับ อาจจะเล่นไม่สวยแต่มันก็มีความแน่นอน ที่ผ่านมา อังกฤษยุคตัวรุกเทพๆ อย่างโอเว่น รูนี่ย์ แลมพาร์ด เจอร์ราร์ด สุดท้ายไม่เคยไปถึงไหนสักที ดังนั้นก็น่าลุ้นเหมือนกันว่า เมื่อทีมสิงโตคำรามเลือกเส้นทางเกมรับ มากกว่าเกมรุก คราวนี้จะประสบความสำเร็จได้แล้วหรือยัง
[ 6 - เยอรมันคือกล่องช็อกโกแลต ]
แดร์ สปีเกล สื่อชื่อดังของเยอรมัน ตั้งเฮดไลน์ว่า "ทีมชาติเยอรมันเหมือนกล่องช็อกโกแลต คุณไม่มีวันรู้ว่าจะเปิดเจออะไรข้างใน" นี่เป็นประโยคที่เลียนแบบมาจากหนังดัง ฟอเรสต์กัมป์ โดยความหมายของมันคือ ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ คุณไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไร เหมือนกับกล่องช็อกโกแลต ที่เปิดกล่องออกมา จะเจอช็อกโกแลตรสไหนก็ไม่รู้
1
ที่ถูกเปรียบเทียบแบบนั้น เพราะทีมชาติเยอรมัน ในชั่วโมงนี้ ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยสักอย่าง บทจะเล่นดีก็ดีเหลือเชื่อ นัดชนะโปรตุเกส 4-2 ไม่มีใครเดาได้เลยว่าจะได้ชัยชนะสวยๆ แบบนั้น จากนั้นในเกมต่อมา ที่เจอกับฮังการีในบ้านตัวเอง ก็ควรเอาชนะได้ง่ายๆ แต่ก็ตามตีเสมออย่างหืดจับ 2-2
2
เมื่อพูดถึงเยอรมัน เมื่อก่อนเราจะนึกถึงความชัวร์ ความไว้ใจได้ แต่เยอรมันยุค 2021 นั้นไม่ใช่แบบเดิมอีกเลย กลายเป็นทีมที่คาดเดายากที่สุด ว่าจะเล่นฟอร์มไหน ในทัวร์นาเมนต์นี้
สำหรับโยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ นี่เป็นทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเขาแล้ว ตามปกติเลิฟ มีผลงานที่สุดยอดเสมอในยูโร 3 ครั้งที่ผ่านมาเขาได้รองแชมป์ 1 ครั้ง และทะลุถึงรอบรอง 2 ครั้ง แต่ในยูโรครั้งนี้ ที่เยอรมันเป็นเหมือนกล่องช็อคโกแลต ก็เดาไม่ได้จริงๆ ว่าจะผีเข้าหรือผีออก ถ้าจะลุ้นแชมป์ต้องหวังให้ผีเข้าติดๆกัน 3-4 นัด ซึ่งอาจไม่ง่ายขนาดนั้น
1
[ 7 - แจ้งเกิดโรบิน โกเซนส์ ]
โรบิน โกเซนส์ เป็นนักเตะทีมชาติเยอรมันเพียงคนเดียวที่เล่นในเซเรีย อา โดยสังกัดอยู่กับอตาลันต้า แน่นอน เราเคยได้ยินว่าเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดี การช่วยทีมได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องมีฝีมืออยู่ล่ะ แต่มาในยูโร 2020 ครั้งนี้ เขาพุ่งทะยานขึ้นมาเลย กลายเป็นวิงแบ็กซ้ายที่น่าจับตามองที่สุดในทัวร์นาเมนต์
1
เกมกับโปรตุเกส เขาแอสซิสต์ 1 ยิง 1 เติมกระจุยอย่างเมามันส์ จนเกมรับโปรตุเกสมึนงงไปหมด หรือในเกมกับฮังการี จังหวะชิ่ง 1-2 กับโทนี่ โครส มันเพอร์เฟ็กต์เสียจนไม่คิดว่าเป็นนักเตะตำแหน่งวิงแบ็ก จบทัวร์นาเมนต์นี้ ก็รับรองได้ว่าค่าตัวของโกเซนส์จะพุ่งกระฉูดมาก
สำหรับโกเซนส์ เคยตกเป็น meme ให้คนแซว ในปี 2019 เมื่อไปขอแลกเสื้อกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ของยูเวนตุส แต่โดนปฏิเสธไม่ให้แลก โรนัลโด้บอกว่า "ไม่" แล้วก็ไม่มองหน้าโกเซนส์ด้วยซ้ำ ทำให้เขาอับอายมาก เพราะหน้าแหก ที่รวมความกล้าไปขอแลกแล้วเขาไม่ให้แลก แต่หลังเกมชนะโปรตุเกส 4-2 โกเซนส์บอกว่าคราวนี้ "ผมไม่ขอแลกเสื้อกับเขาแล้ว ผมอยากมีความสุขกับชัยชนะของทีมมากกว่า" เรียกได้ว่าเป็นการล้างแค้นในสนามอย่างแท้จริง
1
[ 8 - ดราม่าโค้ก ]
1
ในห้องเพรส คอนเฟอเรนซ์ ก่อนเกมโปรตุเกสกับฮังการี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หยิบขวดโค้กออกไปจากเฟรมกล้อง แล้วพูดคำว่า "กินน้ำเปล่าสิ!" (อะ-กวา!) ซึ่งนั่นกลายเป็นประเด็นดราม่าของยูโรครั้งนี้ทันที โดยโรนัลโด้ โดนวิจารณ์ว่าไม่มีกาละเทศะ ที่ไปหยิบของสปอนเซอร์ออกตามใจชอบ ถ้าอยากชวนคนอื่น ให้รักสุขภาพ ไปทำที่อื่นก็ได้ ไม่เห็นต้องมาทำในห้องแถลงข่าวเลย
จากนั้น เรื่องขวดโค้กก็กลายเป็นประเด็นไปพักหนึ่ง มานูเอล โลคาเตลลี่ นักเตะทีมชาติอิตาลีก็หยิบขวดโค้กออกไปจากเฟรมอีกคน ขณะที่สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ โค้ชทีมชาติรัสเซีย หยิบขวดโค้กขึ้นมาดื่มกลางงานแถลงข่าว ส่วนอันเดรย์ ยาร์โมเลนโก้ หยิบขวดโค้ก พร้อมขวดไฮเนเก้นเข้ามาใกล้ๆตัว แล้วบอกว่า "มาเป็นสปอนเซอร์ให้ผมสิ"
การตกเป็นข่าวบ่อยๆ อาจทำให้แบรนด์ชอบ เพราะยังอยู่ในกระแสตลอด แต่ในมุมของยูฟ่า กลายเป็นว่าในช่วงแถลงข่าว คนไปโฟกัสที่สินค้ากันหมด จนไม่ได้สนใจว่านักกีฬาจะพูดอะไร ดังนั้นยูฟ่าจึงตัดปัญหาด้วยการสั่ง ห้ามขยับขวดของสปอนเซอร์ ยกเว้นแต่มีเหตุผลทางศาสนา อย่างตอนพอล ป็อกบา ขยับขวดเบียร์ไฮเนเก้น อันนั้นก็อีกกรณีหนึ่ง
1
[ 9 - การทดลองของฝรั่งเศส เบนเซม่า-เอ็มบัปเป้-กรีซมันน์ ]
ความท้าทายของทีมชาติฝรั่งเศส ในยูโร 2020 ครั้งนี้ คือการที่ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ เรียกคาริม เบนเซม่ากลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ซึ่งน่าสนใจดี เพราะที่ผ่านมาสองหัวหอก ที่เป็นคีย์แมนของฝรั่งเศสมาตลอด ตั้งแต่ยูโร 2016 มาจนถึงฟุตบอลโลก 2018 คือ กรีซมันน์-ชิรูด์
ในยูโร 2016 มีดิมิทรี ปาเยต เล่นริมเส้น จากนั้นในฟุตบอลโลก 2018 เปลี่ยนจากปาเยต เป็นคีลียัน เอ็มบัปเป้ แนวทางนี้คือสูตรสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศส แต่ในยูโรครั้งนี้ เดส์ช็องส์ ตัดสินใจว่าจะใช้งาน เบนเซม่า-เอ็มบัปเป้-กรีซมันน์ เล่นร่วมกัน
สิ่งที่เห็นๆ คือการ gel หรือ ความเข้าใจกันในจังหวะเซ็ตเกมรุกหายไป ผ่านไป 3 เกม เอ็มบัปเป้ยังยิงไม่ได้เลยสักลูก การเปลี่ยนมาใช้ 3 ประสานตัวใหม่ ยังต้องใช้เวลาจูนกันสักพัก
และในภาพรวม ฝรั่งเศสยังไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด จริงอยู่ว่าได้แชมป์กลุ่ม แต่ก็ชนะคู่แข่งได้แค่ 1 นัดเท่านั้น เกมเจอฮังการีก็ชนะไม่ได้
ฝรั่งเศสยังคงเป็นเต็ง 1 ที่จะได้แชมป์ในยูโรครั้งนี้ แต่เส้นทางในรอบน็อกเอาต์จะเริ่มวิบากมากขึ้น เกมรอบ 2 กับสวิสยังไม่เท่าไหร่ แต่จากนั้น มีสิทธิ์เจอทั้ง โครเอเชีย สเปน ตามด้วย เบลเยี่ยม อิตาลี หรือ โปรตุเกส คือถ้าเดส์ช็องส์ฝ่าด่านอรหันต์เหล่านี้ไปถึงแชมป์ได้จริงๆ เขาก็จะกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลฝรั่งเศสเทันที
[ 10 - ประตูยอดเยี่ยมในรอบแรก - แพทริก ชิค ]
มีหลายลูกในยูโร 2020 ที่งดงาม อย่างเช่น ลูก Trivela ของลูก้า โมดริช ที่ยิงสกอตแลนด์ นี่เป็น Trivela ที่สมบูรณ์มากที่สุดลูกหนึ่งที่เคยเห็นมา หรือลูกยิงไกล 25 หลาด้วยเท้าซ้ายของอันเดรย์ ยาโมเลนโก้ในเกมยิงฮอลแลนด์ ก็งดงามมาก
แต่ถ้าพูดถึงลูกที่เป็น The Best และควรได้รางวัลประตูแห่งทัวร์นาเมนต์ด้วย นั่นคือลูกยิงของแพทริก ชิค ดาวเตะของสาธารณรัฐเช็ก ในเกมชนะสกอตแลนด์ 2-0 ที่แฮมพ์เดน พาร์ก จากจังหวะโต้กลับเร็ว บอลอยู่ในระยะ 50 หลา ชิคยิงไกลเปรี้ยงเดียวเข้าประตูไปเลย มันโค้งได้ทิศทางแบบพอเหมาะพอเจาะ จนปัญญาที่นายทวารจะรับได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกนี้ คงจะสวยสุดประจำปีนี้แน่ๆ และจะเข้าชิงปุสกัส อวอร์ดส์ ได้ด้วย และมันทำให้โลกได้รู้จักแพทริก ชิก ดีขึ้น ว่านักเตะคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
สำหรับฮีโร่ในดวงใจของชิค คือเวย์น รูนี่ย์ เจ้าตัวเล่าว่า ตอนเขา 8 ขวบ ไปเชียร์สปาร์ต้า ปราก ในเกมเจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมนั้นรูนี่ย์วิ่งผ่านหน้าของเขา แล้วทำให้เขารู้สึกในใจว่า สักวันอยากจะเติบโตไปยิ่งใหญ่เหมือนนักเตะคนนี้
1
[ 11 - โมราต้า ปืนฝืด ]
นักเตะที่โดนสื่อในประเทศตัวเองรุมสับมากที่สุดในยูโรครั้งนี้ คืออัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าทีมชาติสเปน โดยมาร์ก้า สำนักพิมพ์เจ้าดัง เขียนว่า "โมราต้าไม่ควรได้เล่นกับทีมชาติอีกเลยสักนาที" ขณะที่อิล ชิรินกีโต้ โจมตีว่า "โมราต้าไม่ใช่นักเตะที่ทำให้คนดูมีความสุข เขามีสไตล์การเล่นที่ชวนง่วง แฟนบอลอาจจะหลับได้ง่ายๆ"
ไม่ใช่แค่สื่อเท่านั้น แต่แฟนบอลสเปนในสนาม ลา คาร์ตูย่า ยังตะโกนว่า "โมราต้า แกห่วยอะไรอย่างนี้" ผลงานของเขาในเกมแรกกับสวีเดน หลุดเดี่ยวยิงออก จากนั้นเกมต่อมากับโปแลนด์ ตอนโมเรโน่ยิงจุดโทษชนเสา โมราต้าได้ซ้ำจ่อๆ แต่ยิงหลุดกรอบ ตามด้วยเกมที่ 3 ที่เจอกับสโลวะเกีย โมราต้าก็ยิงจุดโทษพลาดอีก
โมราต้า โดนแรงกดดันถาโถมจริงๆ ต้องมาดูหัวจิตหัวใจของหลุยส์ เอ็นริเก้ ว่าจะใช้งานเขาต่อไปหรือไม่ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ขณะที่ประเด็นเสริมอีกเรื่องของสเปน คือทีมชาติสเปนพลาดจุดโทษมาแล้ว 5 ลูกติดต่อกัน คือในรอบแบ่งกลุ่ม พลาดก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าในรอบน็อกเอาต์ที่คุณอาจจะมีแค่โอกาสเดียว ถ้าได้โอกาสแล้วพลาดล่ะก็ ถึงขั้นหายนะได้เลย
[ 12 - ฮังการี ทีมใจสิงห์แห่งยูโร ]
อีกหนึ่งทีมที่ควรได้รับเครดิตอย่างมาก ในยูโรครั้งนี้คือฮังการี ตอนจับสลากมาอยู่กลุ่มเดียวกับ ฝรั่งเศส (แชมป์โลก 2018), โปรตุเกส (แชมป์ยูโร 2016) และ เยอรมัน (แชมป์โลก 2014) ใครๆก็คิดว่าพวกเขาเละแน่ 3 เกมมี 0 แต้มชัวร์ๆ แต่ไปๆมาๆ ฮังการีเล่นดีกว่าที่หลายคนคิดเยอะมาก
โอเคล่ะ ว่าฮังการีอาจจบด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่มและตกรอบตามคาด แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่า พวกเขาจะยันโปรตุเกสได้ถึงนาทีที่ 84 , ตามด้วยเสมอฝรั่งเศสสุดมันส์ และ ปิดท้ายด้วยการเกือบชนะเยอรมันคาบ้าน ซึ่งถ้าฮังการีไม่โดนลีออน โกเร็ตซ์ก้า ยิงท้ายเกม ป่านนี้พวกเขาเข้ารอบไปแล้ว
ฮังการี เคยยิ่งใหญ่ในอดีต ในยุคของเฟเรนซ์ ปุสกัส จากนั้นก็เงียบหายไป จนมาล่าสุด พวกเขาได้เข้าร่วมยูโรรอบสุดท้ายสองครั้งติดกันแล้ว ถือว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น
4
สำหรับฮังการีในยูโร 2020 แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ต่อให้เป็นทีมเล็ก แต่ถ้ามีการวางแผนที่ถูกต้อง ก็มีสิทธิ์สร้างเซอร์ไพรส์ ทำให้ทีมใหญ่ต้องลำบากได้เหมือนกัน
4
[ 13 - โรนัลโด้ก็คือโรนัลโด้ ]
2
แม้จะมีอายุ 36 ปีแล้ว แต่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ยังเป็นนักเตะที่ไว้ใจได้จริงๆ หน้าปากประตู 3 นัดในยูโรเขายิงไป 5 ลูก ขึ้นนำดาวซัลโวแบบเดี่ยวๆ แม้ 3 จาก 5 จะเป็นการยิงจุดโทษก็ตาม
2
เอาจริงๆ ในยูโรครั้งนี้ เราเห็นคนพลาดจุดโทษเยอะมาก มีถึง 5 คนที่ยิงไม่เข้า แต่การที่โรนัลโด้ได้ยิง 3 ครั้ง เข้า 100% ก็ถือว่าน่าประทับใจมากแล้ว
2
นอกจากนั้นโรนัลโด้ยังสร้างสถิติ ยิงประตูให้ทีมชาติไป 109 ลูก เท่ากับอาลี ดาอี ของอิหร่าน แต่ดาอีแขวนสตั๊ดไปแล้ว นั่นแปลว่า ถ้าโรนัลโด้ยิงเพิ่มได้อีกแค่ 1 ลูก เขาจะกลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูมากที่สุด ในระดับทีมชาติตลอดกาลทันที
1
ถามว่าโอกาสที่โปรตุเกสจะป้องกันแชมป์ยูโรเป็นไปได้ไหม คำตอบคือเป็นไปได้แน่นอน แต่นักเตะคนอื่นๆ ในทีมก็ต้องเร่งฟอร์มมากกว่านี้ด้วย โดยเฉพาะบรูโน่ เฟอร์นันเดส, แบร์นาโด้ ซิลวา และดีโอโก้ โชต้า เพราะในรอบลึกๆ คู่แข่งยิ่งต้องไล่ตามประกบโรนัลโด้มากขึ้น คราวนี้ความหวังในการจบสกอร์ก็จะไปอยู่ที่ตัวอื่นแทน
2
[ 14 - ไวจ์นัลดุมเวอร์ชั่นถล่มประตู ]
ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ส เป็นประเทศที่ยิงประตูเยอะที่สุดในยูโรครั้งนี้ 3 นัด 8 ประตู และคนที่ยิงได้มากที่สุดให้กับทีมอัศวินสีส้ม คือมิดฟิลด์ จินี่ ไวจ์นัลดุม ซัดไปแล้ว 3 ประตู จุดที่น่าสนใจก็คือ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา ไวจ์นัลดุมลงเล่นให้ลิเวอร์พูล 38 นัด ยิงไป 2 ลูก แต่ในยูโรครั้งนี้ ไวจ์นัลดุมใช้เวลาแค่ 3 เกม ก็ยิงได้มากกว่าที่ยิงให้หงส์แดงทั้งปี
2
สิ่งที่แตกต่างคือไวจ์นัลดุม ยืนคนละตำแหน่งกับตอนเล่นให้ลิเวอร์พูล กับลิเวอร์พูลเขาจะเป็นมิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ ออกจะเล่นเกมรับมากกว่าเกมรุกด้วย แต่กับทีมชาติ เขายืนสูงมาก เป็นตำแหน่งหมายเลข 10 แล้วก็จะคอยสอดขึ้นมาในจุดที่เหมาะสมเสมอ นั่นทำให้ไวจ์นัลดุมยิงกระจุย
1
น่าสนใจดีว่าจากนี้ไป เมื่อเล่นให้กับสโมสรใหม่เปแอสเช เขาจะขยับมาเล่นตัวรุกเต็มรูปแบบเลยหรือไม่ เพราะเมื่อยืนแล้วก็เล่นได้ดีนะ
ขณะที่ในภาพรวมของทีมชาติฮอลแลนด์นั้น ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ไม่ใช่ตัวเต็ง หนึ่งสาเหตุคือไม่มีเวอร์จิล ฟาน ไดค์ด้วย แต่พอลงเล่นจริงๆ ฮอลแลนด์เล่นดีมาก เก็บชัย 3 นัดรวด แถมตอนนี้ได้อยู่สายล่าง ถ้าหากรักษามาตรฐานดีๆ สามารถทะลุถึงรอบรองชนะเลิศได้เลยด้วย
1
[ 15 - กรุ๊ป ออฟ เดธ ไม่เดธจริง เมื่อเข้ารอบได้ 3 ทีม ]
1
มีเสียงวิจารณ์เยอะเหมือนกันว่า การที่ยูโรมี 24 ทีม และเอาเข้ารอบถึง 16 ทีม มันทำให้ความเข้มข้นของรอบแบ่งกลุ่มลดลงจากเดิม เพราะแม้แต่คุณจบอันดับ 3 คุณก็ยังมีโอกาสเข้ารอบได้ เดิมพันมันน้อยเกินไป
หลายคนคิดถึงฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล เมื่ออังกฤษ อิตาลี อุรุกวัย จับมาอยู่กลุ่มเดียวกัน (ส่วนอีกทีมคือคอสตาริกา) แล้วสุดท้ายก็เป็นอังกฤษ กับ อิตาลี ที่ร่วงรอบแรกไปพร้อมกัน นี่สิ ถึงจะเป็นกลุ่มแห่งความตายขนานแท้ แต่ในยูโรครั้งนี้ ฝรั่งเศส โปรตุเกส เยอรมัน เข้ารอบครบเซ็ตทั้ง 3 ทีม ไม่มีทีมใหญ่ร่วงเลย มันช่วยไม่ได้ ที่แฟนบอลบางคนจะรู้สึกว่า ยังไม่ค่อยตื่นเต้นนักในรอบแบ่งกลุ่ม
1
จริงๆ ก็เข้าใจในมุมของยูฟ่า จะเอา 16 ทีม ก็น้อยเกินไป จะเอา 32 ทีมก็เยอะเกินไป (แทบจะทั้งทวีปอยู่แล้ว) ดังนั้นก็เลยต้องเคาะที่ 24 ทีม และมันก็ช่วยไม่ได้ ที่ต้องมีอันดับ 3 ดีที่สุดที่เข้ารอบมาด้วย
แต่ก็เอาล่ะ เมื่อจบรอบแบ่งกลุ่มไปแล้ว ทีนี้ความตื่นเต้นของจริงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
[ 16 - ศึกชิงบัลลงดอร์ ก็องเต้ - เดอ บรอยน์ ]
ตอนนี้ ตัวเต็งบัลลงดอร์ อย่างเลวานดอฟสกี้ หลุดโคจรไปแล้ว จึงเหลือตัวเต็งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดยผลงานระดับสโมสรคือแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ อีกคนคือเควิน เดอ บรอยน์ ผลงานระดับสโมสรคือแชมป์พรีเมียร์ลีก บวกรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
2
เชื่อว่าทั้งคู่ ต้องมาตัดสินกันจากผลงานของทีมชาติตัวเองในยูโรครั้งนี้นี่แหละ ซึ่งผลงานในรอบแรก ทั้งสองคนก็เด่นพอๆกัน ก็องเต้ ในเกมกับโปรตุเกส ไล่บี้ตัวพลังเยอะอย่างเรนาโต้ ซานเชซได้อยู่หมัด และช่วยให้ฝรั่งเศสเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนเดอ บรอยน์ ลงมาเป็นสำรองในเกมเบลเยี่ยมเจอเดนมาร์ก พอลงปั๊บก็ยิง 1 แอสซิสต์ 1 ช่วยให้ทีมชนะทันที
1
เบลเยี่ยมจะเจองานยากมากในรอบต่อไป คือดวลกับโปรตุเกส ขณะที่ ฝรั่งเศสจะเจอสวิส และถ้าชนะได้ก็อาจต้องเจอสเปน หรือโครเอเชีย คือก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากัน หนักทั้งคู่
1
แต่ที่แน่ชัดคือ ถ้าหากในสองคนนี้ มีใครสักคนพาทีมชาติตัวเองไปถึงแชมป์ยูโรได้ล่ะก็ ก็แทบจะนอนมา ในการคว้าบัลลงดอร์ประจำปีนี้เลยทีเดียว
[ 17 - นัดชิงชนะเลิศ คอนเฟิร์ม เวมบลีย์เหมือนเดิม ]
ตอนแรกมีข่าวลือว่า ยูฟ่า อาจจะเปลี่ยนสนามนัดชิง จากที่จะใช้เวมบลีย์ที่อังกฤษ เปลี่ยนไปใช้สนามปุสกัสอารีน่า ที่ฮังการีแทน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างคอนเฟิร์มแล้วว่า เวมบลีย์จะยังคงถูกใช้ทั้งรอบรองชนะเลิศ 2 นัด และรอบชิงชนะเลิศ
ในมุมของยูฟ่า ถ้าหากรัฐบาลสหราชอาณาจักร ให้โควต้าจำนวนผู้ชมน้อยเกินไป ก็มองว่ามันไม่สมศักดิ์ศรีของเกมนัดชิงบอลยูโร สู้เปลี่ยนไปสนามที่พร้อมจะดีกว่า โดยในสามเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม รัฐบาลให้คนเข้ามาดูเกมในสนามได้แค่ 22,500 คน เท่านั้น เทียบกับที่ปุสกัสอารีน่า ที่คนเข้ามาดูได้ 67,000 คน
แต่ล่าสุด รัฐบาลสหราชอาณาจักร ก็ยืนยันว่า จะให้แฟนบอลจำนวน 60,000 คน เข้ามาชมในสนามได้ (จากจำนวนทั้งหมด 90,000 ที่นั่ง) ซึ่งจะเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 15 เดือน ของสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่มีวิกฤติโควิดเป็นต้นมา
[ สรุป ]
นี่คือภาพรวมใน Talking Points ที่สำคัญของยูโร 2020 ครั้งนี้ ในรอบแบ่งกลุ่ม และจากนี้ไป ดราม่าที่แท้จริง ที่แฟนฟุตบอลรอคอยกำลังจะเริ่มต้นขึ้น (มีประเด็นอะไรที่แอดมินมองข้ามไหม ลูกเพจบอกหน่อยนะครับ)
และแต่ละทีม จะไม่มีร่มชูชีพใดๆคอยช่วยชีวิตอีกแล้ว มันจะเป็นการวัดกันหมัดต่อหมัด แท็กติกต่อแท็กติก แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก็มันส์แล้ว อังกฤษ vs เยอรมัน, โปรตุเกส vs เบลเยี่ยม, สเปน vs โครเอเชีย
และผมเชื่อจริงๆ ว่าดราม่าที่ตื่นเต้นที่สุดในยูโรครั้งนี้ ยังมาไม่ถึง
1
#EURO2020
โฆษณา