25 มิ.ย. 2021 เวลา 09:35 • ไลฟ์สไตล์
พลาดตรงไหน?
วันนี้เราในวัย 25 ปี ตกงาน เงินเก็บ 0 กลับมานั่งทบทวนชีวิตว่าสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างมันดูล้มเหลวไปหมด มันเกิดจากอะไรกัน เราใช้ชีวิตพลาดตรงไหนหรอ? ทำไมไม่เหมือนกับที่คิดเลยสักนิด
เราในวัยเด็กยุคที่อินเทอร์เน็ตยากจะเข้าถึง เราโตมาในครอบครัวที่ไม่มีเลย และแม่กับพ่อค่อยๆสร้างทุกอย่างขึ้นมา ทีวีก็ไม่มีให้ดู กิจกรรมที่เราทำได้และสนุกกับมันคือการอ่าน เราอ่านหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่ในบ้าน เราสนุกกับการอ่านหนังสือของพี่สาวที่โตกว่า มันยาก มันท้าทาย ชอบหาข้อสอบทุกอย่างมาทำ และถูกสอนว่า แม่ไม่มีเงิน สิ่งเดียวที่จะทำให้เราใช้ชีวิตสบายได้คือการเรียน เราตั้งใจเรียนมาก ได้ที่1 มาโดยตลอด แต่แม่ไม่เคยชมเราเลย เวลาเกรดออก เราได้สามปลายๆ ขาดแค่วิชาเดียว แต่แม่ก็จะบอกว่าจะให้ดีต้องได้ 4.00 สิ เราพยายามมาตลอด
พอขึ้นม.ต้น เราสอบเข้าโรงเรียนได้เป็นอันดับที่2 จากทั้งชั้น เปลี่ยนสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ เทอมแรกเป็นเด็กหลังห้องเกรดตกลงมาก แต่แม่ก็ไม่ได้ซ้ำเติม พอขึ้นมาอีกเทอมเราอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่ สนใจการเรียนมากขึ้น เกรดเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่เมื่อจบม.ต้นแล้ว ก็ยังถือว่าน้อยกว่าที่คิดเพราะตอนม.1 เกรดเราต่ำมากจึงทำให้ภาพรวมต่ำลง ขึ้นม.ปลาย เราเบือกที่จะทำกิจกรรมไปด้วย อยากได้ portfolio เพื่อสมัครต่อมหาลัย ทั้งกิจกรรม กีฬา การเรียนเราเต็มที่หมด และทำมัน ออกมาไ้ด้ดีทั้งหมด แถมยังมีความรักด้วย ได้รับประกาศนียบัตรเรียนดีเกือบทุกเทอม และจบม.ปลายเทอมสุดท้ายด้วยเกรดที่มากที่สุดในระดับชั้น ตอนเลือกมหาวิทยาลัยและสิ่งที่อยากเป็น ด้วยความอยู่บ้านนอก ทุกอย่างไม่ได้เปิดกว้างเราไม่รู้จักทุกสาขาในมหาวิทยาลัย และด้วยความที่เราไม่รู้ว่าตัวเอง หรือตัวตนจริงๆ ชอบทำอะไร หรือมีความสุขกับอะไร อยากเป็นอะไร การเลือกเรียนต่อจึงเป็นการตามเพื่อนซะมากกว่า ครั้งแรก สอบโค้วต้ามหาวิทยาลัย ด้วยเราประเมินตัวเองไม่เป็นทั้งความสามารถ และคะแนนแต่ละคณะ ทำให้เราลงเลือกแต่คณะที่มีคะแนนสูงเช่น แพทย์ศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ในสาขาที่แข่งขันสูง เพราะต้องการตามเพื่อน เพื่อนบอกจะลงอันนี้ เราก็ลงด้วย สุดท้ายคือไม่ติด แต่ก็มีมหาวิทยาลัยสำรองที่เรายื่นโค้วต้าเรียนดีไป แต่ในใจเราไม่ได้อยากเรียนจริงๆ ยื่นเพียงแค่เพราะเพื่อนๆ ก็ยื่นกัน แต่เราในวัยนั้นไม่รู้ตัวหรอก แค่ทำ ๆ ไปให้มีที่เรียนก่อนจบ และติดโค้วต้าเรียนดีของที่นี่ไปแต่เราไม่ได้อยากเป็นครู จึงลงแอดมิชชั่นอีกที เลิอกมหาลัยที่เพื่อนเราติดเลย เพราะติดเพื่อนคนนี้มากอยากใช้ชีวิตมหาลัยด้วยกัน ตอนเลือกสาขา ก็ยังรั้นที่จะลงสาขาที่แข่งขันค่อนข้างสูง เพราะเพื่อนเราติดที่ดีกว่าเราก็ต้องทำได้ แต่ก็มีสำรองไว้ และสุดท้ายติดสาขาที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรียนอะไรบ้าง แต่ขอแค่เป็นมหาลัยที่เราอยากได้ก็พอ ทั้งที่เราไปรายงานตัวและจ่ายค่าเทอมให้กับมหาวิทยาลัยที่เราได้โค้วต้าเรตียนดีไปแล้ว แต่เราเลือกที่จะบอกแม่ว่า หนูขอได้มั้ย ขอเรียนที่นี่ เรากล่อมแม่จนแม่ยอมเชื่อใจเรา และเชื่อในตัวเรา เพราะเราไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย
การเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยเราตั้งใจจะต้องทำทุกอย่างทุกกิจกรรม และได้อยู่กับเพื่อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราแอดเข้าหอในเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่เพื่อนสนิทเราแอดเข้าไม่ทัน เราด้วยความที่เคยสัญญาแล้วว่า ไม่เป็นไรเรายอมออกหอในละมาหารค่าหอด้วย แต่เพื่อนก็ติดต่อจนสุดท้ายมีที่ว่าง แต่อยู่คนละตึก ด้วยความที่สังคมมันใหญ่ และใหม่มากๆ เราตั้งใจจะทำกิจกรรมทุกอย่าง แต่ความกล้าที่เคยคิดไว้มันหายไปหมด มีแต่กลัว เลยเลือกที่จะเข้าชมรมกีฬาเดิมที่เราเคยเล่น เราเข้าคัดเป็นสันทนาการ แต่เวลาจริง มีคนเข้าคัดเยอะมาก ทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่เราก็ดึงความอายที่มันมีอยู่ออกมา ไม่กล้าแสดงออก พอเห็นทุกคนเก่ง เอนจอย เราจึงเงียบไปอัตโนมัติ และไม่ได้ถูกคัดตัว ช่วงปีหนึ่งเป็นครั้งแรก ที่เราออกมาอยู่เอง เราปล่อยปละละเลยตัวเอง เหมือนพอเห็นทุกคนแข่งขัน ตั้งใจ มันทำให้เราหมดความมั่นใจ ไม่ดูแลตัวเอง คลาสที่เข้าเรียแปดโมง ไม่ยอมเข้า ไม่ตั้งใจเรียนไม่สนเกรดเฉลี่ย จนผลลัพท์ที่ได้มันค่อนข้างแย่ ถึงแย่มาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตัว ด้วยความที่เราเคยเจอพี่ๆ เขาบอกไว้ เทอมแรกเกรดจะตกจากมัธยมเยอะมากนะ เราจึงทำใจระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ตื่นจากการใช้ชีวิตอิสระ แม้จะรู้ว่าทำข้อสอบได้ไม่ดี แต่ก็ไม่ดรอป แม้จะรู้ว่าการแข่งขันสูงมาก ก็ปล่อยให้ทุกคนแข่งไปเราไม่อยากแข่ง
เมื่อขึ้นปีสองเริ่มมีเพื่อนสนิท เรียด้วยกัน ออกมาอยู่หอนอกด้วยกัน ความล้มเหลวที่เราเจอตอนปีหนึ่งเราไม่แม้จะคิดรับมือหรือใส่ใจ และต้องมาเจอความล้มเหลวในการคบเพื่อน เราทะเลาะกัน เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยความที่ทุกคนมีวัฒนธรรมที่ต่างกันถูกสอนมาต่างกัน เพื่อนเลือกที่จะเก็บความไม่ชอบเล็กๆนั่น ในตัวเรา จนมันกลายเป็นก้อนใหญ่ที่ทำให้ไม่พอใจ เพื่อนอีกคนต่อหน้าเราเขาพูดอีกแบบ พอสถานการณ์จริง เขากลับหลบหลีกไปเพื่อเอาตัวรอด เราไม่รู้ เราคนบ้านนอก ค่อนข้างจะพูดตรง แสดงตรง ชอบบอกว่าชอบ พูดทุกอยง แต่นับเป็นความล้มเหลวในความสัมพันธ์อีกครั้ง และครั้งนี้มันรุนแรง เราไม่สามารถรับมือได้ เราไม่เข้าใจ ทำให้เหตุการณ์นั้นเป็นแผลที่ค่อนข้างใหญ่ นิสัยเราเปลี่ยนไป จากที่เคยพูดหยอกล้อกับเพื่อน ทำตัวตลก เรานิ่งขึ้น เราเป๋ เพราะไม่ได้คิดว่าจะต้องเลิกคบ ไม่มีเพื่อนกลุ่มอื่นที่สนิทด้วย แต่โชคดีที่เราเคยรู้จักกับเพื่อนที่เคยเรียนร่วมกันเมื่อตอนปีหนึ่ง เราพูดคุย เล่าเรื่อง และเขาก็ใจกว้างและไม่ได้ติดอะไร จึงทำให้เราเข้ามาอยู่อีกกรุ๊ปได้ และสนใจการเรียนมากขึ้น(แต่เอาเข้าจริงคือไม่ทันแล้ว) เพราะจะขึ้นปีสามแล้ว เราเรียนไปด้วยความรู้สึกฝืน เราไม่ชอบประจบ ไม่ชอบเข้าหาอาจารย์ งานไม่ค่อยส่ง อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้อยากเรียนแล้ว และอึดอัดกับเพื่อนที่เคยมีปัญหากันด้วย และด้วยความที่ปีหนึ่งพื้นฐานทั้งหมดนั้นเราไม่ตั้งใจเรียน การแก้ปัญหาแระยุกต์ใช้ ต่างๆ ในปีต่อๆ มา เรียกได้ว่าล้มเหลวแบบโดมิโน เพราะทุกอย่างเชื่อมกันหมด
2
ถึงเวลาเลือกที่ฝึกงาน ใกล้เดทไลน์ส่งที่ฝึกงานแล้วเรายังไม่ได้ และเราน่าจะไม่ให้ความสำคัญมากพอในตอนนั้น คิดแค่อยากได้ที่ฝึกงานใกล้ๆ ขับรถไปกลับได้ยิ่งดี เพราะแม่เราคงไม่สามารถจ่ายค่าหอให้สองที่ได้ แต่ก็ยังหาที่ใกล้ๆ ไม่เจอ ตอนนั้นเพื่อนในกลุ่มก็จะฝึกที่นี่ และเคยโทรไปสอบถามแล้ว ถึงเวลาบจวนตัวแล้ว เราจึงขอยัดชื่อเข้าไปด้วย และสถานที่ฝึกหม่ใช่สเกลที่ใหญ่ ไม่ใช่ห้องแลปแบบที่เราคิด เป็นการไปฝึกทำงนทั่วไป แทบจะไม่มีงานเฉพาะเลย ณ ตอนนั้น ไม่คิดอะไรมาก ขอแค่ที่ใกล้ๆ และมีเงินให้ แต่ส่งผลให้ประสบการณ์ทำงานของเราด้อยกว่าเพื่อนมากๆ (ตอนเรียนจบแล้วหางานยากมาก)
ปีสี่ปีแห่งการทำธีสิส เช่นเคยไม่รู้เพราะความขี้เกียจของตัวเองที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเพราะไม่ใส่ใจ ในการเลือกหัวข้อและอาจารย์ เราก็เลือกที่เราสนใจ แต่ก็ไม่ได้มากที่สุด เมื่อต้องทำงาน จะร่วมกับพี่ๆป.โท และเอก ของอาจารย์ในห้องแลป เราเข้าไปทำความรู้จักเขา แค่ช่วงวันแรก เข้าไปทำโปรเจค แต่พี่ทุกคนดูน่ากลัวสำหรับเรา ไม่รู้เพราะสกิลการเข้าสังคมของเรา หรือเหตุการณ์ทะเลาะกับเพื่อนทำให้เราค่อนข้างจะมีกำแพงสูง ไม่จำเป็นเราจะไม่คุยกับพี่ๆ หรือแม้แต่การเข้าปรึกษาอาจารย์ เราแทบจะไม่เข้าหาเขาเลย ด้วยบรรยากาศต่างๆ ทำให้เรากลัวการทำแลป เราอยากหยอกล้อกับพี่ๆที่แลปเหมือนเพื่อน แต่ดูเหมือนเขาไม่จอยกับเรา ทุกครั้งที่เดินเข้าไปเหมือนเขานินทาเราอยู่ เราจึงคิดว่าไม่จำเป็นแทบจะไม่เข้าเลย แต่เอาจริงๆ เราก็ทำแลปตลอด แต่ด้วยความที่เรามักไม่ชอบเข้าหาอาจารย์ เขาจึงคิดว่าเราไม่ทำงาน เพราะเข้าไปทุกอย่างดูไม่คืบหน้า เราจึงได้ประโยคเด็ดมาก จนน้ำตาคลอ "ทำแบบนี้จะจบพร้อมเพื่อนได้ยังไง" และเราไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร ทุกอย่างหยุด เราฉุกคิดเพราะเราต้องจบสี่ปีให้ได้ที่บ้านค่อนข้างหวัง และรอคอยมากๆ และทุกอย่างก็จบด้วยความทุลักทุเล
หลังจากจบได้ประมาณสามเดือนก็มีงานทำ ซึ่งขอไม่เอ่ยรายละเอียดที่มันค่อนข้างเซ้นซิทีฟ และออกจากงานหลังจากทำได้1 ปี 9 เดือน ตอนนี้ตกงานเกือบเดือนแล้ว ไม่มีเงินเก็บ มีแต่หนี้ และยังขอเงินแม่เหมือนเดิม TT ชีวิตไร้จุดหมาย ไม่มีความชัดเจน
พอเขียนมาสักพักแล้วรู้สึกว่าตัวเราเองล้มเหลวมาโดยตลอดและไม่รู้วิธีรับมือ ได้แต่คิดว่าก็ทำได้แค่นี้ อะ ทั้งที่เคยทำได้ดีมากๆ ตอนนี้ มันกลายเป็นปมที่ถูกขอดไว้ ทีละขอด และไม่ยอมแก้ จนตอนนี้มันไม่เหลือเชือกให้ขอดแล้ว ต้องมาทวนและนั่งแก้ตั้งแต่ต้นซึ่งบางอย่างมันกลับไปแก้ไม่ได้แล้ว เช่น เราตั้งใจจะต่อโท เราสนใจในเรื่องหนึ่งมากๆ อยากทำ แต่เพิ่งรู้ตัว และเมื่อหาข้อมูลดูปรากฏว่า เกรดเฉลี่ยตอนป.ตรี ที่เรามีไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่พอที่จะเรียนต่อโท ในไทยด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่ามันคือความผิดพลาด แต่เราอยากเริ่มและตั้งใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว พอมานึกย้อนไปรู้สึกว่า เหตุการณ์ผิดพลาดทุกอย่างเรารับทือไม่ได้เลย ถึงแม้จะบอกว่าเราจะทำให้ดี แต่ความกลัวที่เกิดจากวามผิดพลาดครั้งก่อนมันเกาะกิน ทำให้เราคิดว่าเราคงทำไม่ได้ เราทำอะไรดีๆ ไม่ได้หรอก ทำให้เราเริ่มต้นยากมาก เพราะเราสงสัยในตัวเองเสมอ ว่าเราจะประสบความสำเร็จได้หรอ เราจะได้เกรดที่ดี ได้หรอ ระหว่างที่เรามัวพะวง และเกิดความกังขาในใจตัวเอง มันเป็นสิ่งที่เหมือนไม้ที่จะคอยมาทำให้เราสะดุด และทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็บอกตัวเองว่านั่นเองพลาดอีกแล้ว ฉันพลาดอีกแล้ว และทุกอย่างก็เป็นแบบนั้นตลอด หลังจากนี้เราจะพยายามอย่างมาก ที่จะไม่เป็นไม้มาทำให้ตัวเองล้มลงอีก เราจะมองความผิดพลาดให้เป็นเรื่องเล็กและต้องรับมือกับมันให้ได้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ก็จะพยายาม ด้วยความคาดหวังชีวิตที่เพอร์เฟค และความคิดที่ขัดตัวเองว่าไม่สามารถทำได้ เราจะต้องสลัดออกไปให้ได้ ก้าวออกมาดูโลก และไม่ยึดติดคอมฟอร์ดโซน
วันศุกร์ ที่ 25 มิถุนายน 2564
#milestonezone
โฆษณา