29 มิ.ย. 2021 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ “การกินเนื้อ”
หลายท่านที่ติดตามบทความของผม คงมีทั้งผู้ที่เป็นมังสวิรัติ และไม่ได้เป็นมังสวิรัติ
ท่านที่กินเนื้อ คงมีเนื้อ มีเมนูโปรดที่กินเป็นประจำ อาจจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อไก่ ก็ต้องแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
แต่ประวัติศาสตร์การกินเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” นั้นมีมาเป็นเวลานานมากแล้ว
และทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิวัฒนาการการกินของมนุษย์ โดยเฉพาะการกิน “เนื้อ” และก็มีทฤษฎีมากมายว่าทำไมมนุษย์ถึงเริ่มกินเนื้อในปริมาณมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และจุดเริ่มต้นมาจากไหน
บทความนี้จะนำทุกท่านไปสู่ประวัติศาสตร์ที่หลายคนอาจจะมองข้ามครับ
1
ระหว่าง 2.6-2.7 ล้านปีก่อน โลกนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยก่อนหน้าที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ บรรพบุรุษของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า “โฮมินินส์ (hominins)” ยังไม่ได้กินเนื้อ หากแต่กินผลไม้ ใบไม้ เมล็ดต่างๆ รวมทั้งพวกใบไม้ ใบหญ้า
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ป่าที่เขียวชอุ่มก็เริ่มหดหาย หากแต่ทุ่งหญ้านั้นกลับเจริญเติบโต
เมื่อป่าหดหาย พืชต่างๆ เริ่มหายาก มนุษย์จึงจำเป็นต้องปรับตัว หาอาหารจากแหล่งใหม่
ในเวลานั้น ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ผุดขึ้นไปทั่วแอฟริกา ทำให้สัตว์กินพืชเริ่มเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ออกไปอย่างต่อเนื่อง
นักโบราณคดีได้พบกระดูกของสัตว์กินพืช อายุกว่า 2.5 ล้านปี และมีร่องรอยการหั่นโดยใช้เครื่องมือหิน โดยเครื่องมือหินที่ใช้หั่นก็เป็นเครื่องมือหยาบๆ ทำให้คาดเดาได้ว่าโฮมินินส์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ในช่วงแรกคงยังไม่รู้จักหรือชำนาญการล่าสัตว์ หากแต่ได้เนื้อจากซากศพของสัตว์ที่ตายอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อมนุษย์เริ่มเปลี่ยนจากการกินพืช เป็นกินเนื้อสัตว์ ทำให้เนื้อสัตว์กลายเป็นอาหารหลักในเวลาต่อมา
มีหลักฐานทางโบราณคดีที่พบว่าเมื่อสองล้านปีก่อน มนุษย์กลุ่มแรกๆ ก็ได้กินเนื้อเป็นปกติแล้ว
นอกจากนั้น จากการตรวจสอบทางโบราณคดีในเคนยา ซึ่งบริเวณที่ตรวจสอบนั้นมีอายุกว่าสองล้านปี ก็พบมีดที่ทำจากหินจำนวนมาก รวมทั้งเครื่องมือต่างๆ อีกมากมายที่ทำมาจากกระดูกสัตว์
เครื่องมือที่ทำจากหินในยุคดึกดำบรรพ์นั้น
อาจจะเหมาะหากนำมาใช้ในการหั่นซากสัตว์ แต่ไม่เหมาะที่จะใช้ในการล่าสัตว์ นักโบราณคดีจึงเชื่อว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์เมื่อกว่าหนึ่งล้านปีที่แล้ว ได้เนื้อมาจากการหั่นซากศพของสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ได้ไปล่าสัตว์มาเอง
1
หนึ่งในทฤษฎีที่ว่าทำไมจึงมีการค้นพบกระดูกสัตว์ที่มีอายุราวๆ 1.8 ล้านปีก่อน นั่นก็คือ ถึงแม้มนุษย์ในยุคแรกๆ จะยังไม่สามารถล่าสัตว์เองได้ แต่พวกเขาก็ได้อาศัยร่วมโลกกับสัตว์กินเนื้อที่ดุร้ายที่สุดชนิดหนึ่ง
นั่นก็คือ “เสือเขี้ยวดาบ”
เสือเขี้ยวดาบ
ในช่วงระหว่างหนึ่งล้าน-สองล้านปีก่อน สัตว์กินเนื้อที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในแอฟริกา ไม่ได้มีเพียงเสือชีตาห์ เสือดาว สิงโต หรือพวกไฮยีนาเท่านั้น แต่ยังมีเสือเขี้ยวดาบอีกอย่างน้อยสามสายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสิงโตแอฟริกาที่ตัวใหญ่ที่สุดอีกด้วย
3
เสือเขี้ยวดาบเหล่านี้อาจจะล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ ทำให้เหลือซากสัตว์ขนาดใหญ่ มากพอที่มนุษย์ในยุคแรกจะมาเก็บไปกินต่อได้
ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามนุษย์ในยุคแรกจัดการกับเศษเนื้อที่เป็นเหยื่อของเสือเขี้ยวดาบโดยการรอให้เสือเขี้ยวดาบฆ่าเหยื่อก่อน จากนั้นจึงหาทางทำให้เสือเขี้ยวดาบกลัวด้วยการโยนหินใส่ หรือทำเสียงดังเพื่อให้มันหนีไป จากนั้นจึงออกมาเก็บสัตว์ที่เป็นเหยื่อของเสือเขี้ยวดาบ
1
หรืออาจจะเป็นได้ว่ามนุษย์รอให้เสือเขี้ยวดาบจัดการกับเหยื่อให้เสร็จก่อน พอมันจากไป จึงค่อยออกมาเก็บเศษเนื้อที่เหลือ
สมองของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ในยุคแรกมาก ซึ่งขนาดสมองที่ใหญ่นี้ ก็ต้องการพลังงานจำนวนมาก
“เนื้อ” จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างพลังงานแก่สมองและร่างกาย และทำให้สมองมีวิวัฒนาการ
1
นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงกับแสดงความเห็นว่า “เนื้อคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ได้อย่างทุกวันนี้”
1
โฮมินินส์ในสมัยโบราณ ล้วนกินแต่ผลไม้และพืช ทำให้พลังงานถูกใช้ไปกับการย่อยอาหาร และเนื่องด้วยพลังงานถูกใช้ไปกับการย่อยเป็นส่วนใหญ่ สมองจึงมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบัน
เมื่อเทียบกับพืช นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเนื้อนั้นอุดมด้วยแคลอรีและโปรตีน และเมื่อมนุษย์เริ่มกินเนื้อ ความต้องการพืชและผลไม้ก็ค่อยๆ ลดลง
เมื่อเวลาผ่านไป ระบบภายในของมนุษย์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามอาหารที่กิน พลังงานถูกนำไปหล่อเลี้ยงสมองมากขึ้น และสมองก็มีขนาดใหญ่ขึ้น
เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการทำอาหาร รู้จักนำเนื้อมาประกอบอาหาร ก็ยิ่งทำให้การทานอาหารและระบบการย่อยอาหารนั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลักฐานว่ามนุษย์เริ่มมีการประกอบอาหาร สามารถย้อนกลับไปได้กว่า 800,000 ปีเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า เนื้อสัตว์นั้นเป็นสิ่งสำคัญในวิวัฒนาการของสมองมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อจะยังคงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาอย่างอื่นมาทดแทนได้ อาหารอื่นๆ ที่มีแคลอรีก็อาจจะมาทดแทนเนื้อได้ และส่งผลให้เกิดการวิวัฒนาการได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเนื้อนั้นมาก่อนอาหารอื่นๆ
1
และสาเหตุที่เราทานเนื้ออีกข้อ ก็อาจจะมาจากวัฒนธรรมของแต่ละที่ๆ ต่างกัน
บางวัฒนธรรมก็ไม่นิยมทานเนื้อ รวมทั้งเรื่องของ “เงิน” ก็อาจจะมีส่วน ดังจะเห็นได้จากประเทศที่พัฒนาแล้วทางตะวันตก มีการบริโภคเนื้อเฉลี่ยราวๆ 100 กิโลกรัมต่อคน/ต่อปี ในขณะที่ประเทศยากจนในแอฟริกา มีการบริโภคเนื้อเฉลี่ยราวๆ 10 กิโลกรัมต่อคน/ต่อปี
แต่จะอย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อก็ควรจะบริโภคแต่พอดีนะครับ เพราะหากบริโภคเนื้อสัตว์มากจนเกินไป ก็จะทำให้เกิดโรคหลายโรคเช่นกัน
โฆษณา